.
ต้นเดือนกรกฎาคมอย่างปีนี้ ถือว่าเกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ถึง 2 กรณี กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 เกิดการเปลี่ยน “การปกครอง” ของประเทศฮ่องกง ที่อังกฤษทำสัญญาเช่าจากประเทศจีนเป็นระยะเวลา 99 ปี และในที่สุด “ฮ่องกง” ก็ต้องกลับไปสู่ “อ้อมกอดแม่!” อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปีค.ศ.1997 ซึ่ง “แสงแดด” และทีมงานได้มีโอกาสอยู่กับเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นด้วย
และต่อมาวันรุ่งขึ้นที่ 2 กรกฎาคม 2540 เช่นเดียวกัน เกิดเหตุการณ์สำคัญทาง “เศรษฐกิจ” ของประเทศไทย และได้ส่งผลกระทบสำคัญทางการเมืองแก่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น จนต้องหลุดจากเก้าอี้ในที่สุด
“เหตุการณ์ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท” จนทำให้ค่าเงินสกุลบาทของไทยเรา “ร่วง!” จากระดับ 25-27 บาท ไปแตะอ่อนสุดที่ระดับ 51-52 บาท ภายในระยะเวลาเกือบ 1 เดือน ซึ่งมีการกล่าวเรียกขานกันว่า “ต้มยำกุ้งดีซีส” หรือ “โรคต้มยำกุ้ง!” และลามใหญ่โตสู่ประเทศในกลุ่มเอเชียและทั่วทั้งโลกในที่สุด
“คำถาม” สำคัญของ “วิกฤตเศรษฐกิจ 2540-1997” ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น หนึ่ง ทำไมถึงสาหัสสากรรจ์เพียงนั้น ส่งผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจติดลบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ สอง ทำไมถึงได้ลามเลยเถิดไปสู่ประเทศสำคัญๆ ทั่วทั้งโลก แม้กระทั่งญี่ปุ่น เกาหลี ก็โดนเช่นเดียวกัน หรือแม้กระทั่งไปไกลจนถึงกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ และ สาม กลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปบางประเทศถึงไม่ได้รับผลกระทบ
“วิกฤตเศรษฐกิจ 2540” ครั้งสำคัญครั้งนั้น แน่นอนที่สุดที่ต้องมี “เบื้องหน้าเบื้องหลัง” ที่เจ็บแสบที่สุด โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “กลุ่มกองทุนรวม-Hedge Fund” หรือมักเรียกกันว่า “กลุ่มกองทุนปีศาจ”
“กลุ่มกองทุนปีศาจ” นี้ เสมือน “กลุ่มโจรสลัด” ที่มีการระดมเงินกองทุนจากนานาอารยประเทศ แต่ “น่าเชื่อว่า” จะมี “ศูนย์บัญชาการ” อยู่ที่มหานครนิวยอร์ก ซึ่งต้องมี “กลุ่มนักธุรกิจ-กลุ่มนักการเมือง” ขนาดใหญ่ชาวอเมริกันเป็น “ผู้บัญชาการ” อยู่เบื้องหลัง ทำนอง “ไอ้โม่ง!”
“กลุ่มกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund)” นี้มีการระดมเงินทุนเข้าสู่กองทุนนับหลายล้านล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อมุ่งโจมตีทั้ง “ค่าเงิน” และ “เก็งกำไร” กับบรรดาสินค้าคอมมอดิตี้ (Commodity) ต่างๆ โดยเฉพาะ “น้ำมันดิบ” ตลอดจนเข้าแทรกแซงในวงการตลาดหลักทรัพย์ทั่วทั้งโลก จนทำให้สถานการณ์ และไม่สำคัญเท่ากับ “เสถียรภาพ” ทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ “อ่อนแอ” ต้องมีอัน “พังพาบ” ไปจนบางประเทศต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินที่เรียกว่า “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ : IMF : International Monetary Fund”
“แสงแดด” และอีกหลายๆ ฝ่ายที่ตระหนักและทราบดีถึงเบื้องหน้าเบื้องลึกของ “กลุ่มกองทุน” นี้ เปรียบเสมือน “โจรสลัด” ที่จะคอยเฝ้าติดตามสถานการณ์ทางการเงินของกลุ่มประเทศที่อ่อนแอ โดยมีนโยบายการเงินการธนาคารที่อ่อนปวกเปียก แต่ไม่สำคัญเท่ากับถูกหลอกง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน”
ยุทธศาสตร์ของกลุ่มกองทุนปีศาจนี้จะ “แทรกแซง” หรือเรียกว่า “ร่วมมือ” ก็ได้กับสถาบันการเงินสำคัญทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะ “ธนาคารโลก (World Bank)” และธนาคารต่างๆ ในการปล่อยกู้กับทั้งบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน หรือจะเหตุผลใดก็ตามแต่ หรือไม่ก็กับสถาบันการเงินธนาคารต่างๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เพื่อนำไปพัฒนาประเทศด้านการก่อสร้างโครงการอภิมหายักษ์ต่างๆ เช่น ทางด่วน มอเตอร์เวย์ ตึกคอนโดมิเนียม เป็นต้น
ประเด็นสำคัญของยุทธศาสตร์คือ “ดอกเบี้ยต่ำ” ประมาณไม่เกิน 3-5 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างมาก แล้วอนุมัติให้กู้นับพันนับหมื่นล้านบาท ทำนอง “หลอกล่อ!” ซึ่งบรรดาสถาบันการเงิน ธนาคาร และบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ก็ “ดีใจสุดขีด” ที่มีการปล่อยกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เพื่อที่จะนำมาปล่อยกู้ต่อไปได้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7-8 แต่ถ้าเป็นบริษัทสถาบันการเงิน “ลูก” ก็จะปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10-12 พูดง่ายๆ คือ ปล่อยกู้ซัดดอกเบี้ยแบบแขก
แต่ที่เจ็บแสบไปมากกว่านั้น คือ “กฎเกณฑ์-ระเบียบ” ต่างๆ ในการปล่อยกู้ขณะนั้น ปราศจาก “ความเข้มงวด-กฎเหล็ก” โดยเฉพาะ “หลักทรัพย์ประกันเงินกู้” หรือแม้กระทั่ง มาตรการ “ประกันเงินกู้!” ที่ “ใครอยากกู้...กู้!" ด้วยการอาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคล หรือ “เงินใต้โต๊ะ” ก็สามารถกู้ได้ด้วยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าน้อยกว่าจำนวนเงินที่กู้ไป
ยกตัวอย่าง ถ้า “ผู้กู้” นำหลักทรัพย์มีมูลค่าเพียง 10 ล้านบาท ก็สามารถกู้จากธนาคารได้สูงถึง 100-200 ล้านบาท โดยอาศัยช่องทาง “เกี๊ยะเซี๊ย” ระหว่าง “ผู้กู้-ผู้ให้กู้”
ปัญหาสำคัญที่สุดของนโยบายรัฐบาลในช่วงนั้นคือ “วิเทศเศรษฐกิจ” ที่เรียกว่า “BIBF” ที่เป็น “นโยบายเปิด” สำหรับ “การไหลเข้าไหลออก" ของเม็ดเงิน พูดง่ายๆ คือ “เปิดเสรี!” ทั้งนี้ “แสงแดด” ไม่ต้องการ “ซ้ำเติม” และ “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ” แต่ประการใด แต่ก็ต้องบอกความจริงว่า เกิดขึ้นในสมัย “รัฐบาลชวน 1" ที่มี นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง!”
“โครงการอภิมหาโปรเจกต์” เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่สมัยนั้นและหลังจากนั้น โดยเฉพาะยุคคุณบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ที่มีการนินทากันว่า “ผู้กู้” นอกเหนือจากนักธุรกิจแล้ว “นักการเมือง” ก็กู้มากเช่นเดียวกัน โดยมีการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในการประเมินที่ต่ำกว่ามูลค่าหนี้สูงถึงนับ 100 เท่าตัว
ยุค 2537-2538-2539 จนถึง 2540 นั้น คนไทย “รวยมาก” เพราะสามารถกู้เงินได้มาก ไม่ต้องวางหลักทรัพย์มากมายปราศจาก “กฎเหล็ก” เหมือนปัจจุบัน คนไทยทุกระดับ “ฟุ้งเฟ้อ-ฟุ่มเฟือย” กันมาก เดินทางต่างประเทศ “ชอปปิ้ง” เป็นว่าเล่นทั่วทั้งโลก ราคาที่ดิน “บูมสุดขีด!” ซื้อเช้าขายบ่ายเปลี่ยนมือกลางดึก คล้ายๆ กับช่วงของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ในสมัยปี 2533-35
“ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลตั้งแต่ชุดคุณชวน หลีกภัย ทอดยาวมาจนถึงสมัยคุณบรรหาร ศิลปอาชา และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในที่สุด มิได้ “เฉลียวใจ” เลยว่า “กลุ่มกองทุนปีศาจ” เหล่านี้ จ้องจับตาเราเป็นมันที่ “จะทุบค่าเงินบาท!” ด้วยการค่อยๆ เข้ามาแทรกแซงในวงการตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่สำคัญเท่ากับเข้ามาทยอยซื้อเงินบาทไทยจำนวนมหาศาล แล้วก็ปล่อยให้ค่าเงินบาทไทย “อ่อนตัว!” ลง อย่างที่เราไม่รู้ตัว จนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องนำเงินทุนสำรองต่างๆ ไป “สวอป : แลก (Swop)” กับเงินสกุลดอลลาร์ และเราก็ “อ่อนแอ-ไร้เสถียรภาพ” ที่สุดกับ “ค่าเงินบาทไทย” จนต้องประกาศ “ลอยตัว” จนรูดจาก 25-27 บาท ไปแตะที่ระดับ 51-52 บาท ภายในระยะเวลา 1 เดือนกว่าๆ เท่านั้น
เรา “ปล่อยปละละเลย-ปล่อยตามยถากรรม” โดยไม่มีความไหวทันถึง “เล่ห์เหลี่ยม” ของกลุ่มกองทุนเหล่านี้ ที่ทำทีปล่อยกู้ตามสะดวกด้วยดอกเบี้ยต่ำๆ แต่หารู้ไม่ว่า “เรากำลังถูกทุบ-ถูกโจมตี” แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนไทยเราก็ “ฟุ้งเฟ้อ-ฟอนเฟะ” อย่างน่าอนาถใจ
บุคคลที่มีความสำคัญและบทบาทมากที่สุดในรัฐบาลช่วงนั้นคือ คุณทนง พิทยะ รัฐมนตรีฯ คลัง ที่พอจะรู้ทิศทาง “มรสุมการเงิน” ก่อนหน้านี้แล้วไม่น้อยกว่า 2-3 เดือน คำถามที่ต้องถามว่า ทำไมถึงไม่มี “การเตือน” และ/หรือกำหนด “มาตรการป้องกัน” ล่วงหน้า หรือว่าไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปโปะแลกสวอปได้อีกแล้ว พูดง่ายๆ คือ “หมดกระสุนสู้!” และก็ต้องถามว่า เมื่อรู้แล้ว “ข่าวรั่ว” ไปทำให้ “ใครรวย” กันบ้างหรือปล่าว ซึ่งยังเป็นคำถามสำคัญที่ผู้คนมากมายยังคงตั้งคำถาม “สงสัยคุณทนง” ตราบเท่าทุกวันนี้ “แสงแดด” ว่าน่าจะมีการ “ตรวจสอบย้อนหลัง!”
เมื่อสิบปีที่แล้ว ประเทศไทยเราบอบช้ำอย่างมากทางเศรษฐกิจ และความจริงที่ต้องยอมรับคือ “การเมือง” เป็นปัจจัยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรา “บาดเจ็บ” ด้านเศรษฐกิจยาวนานติดต่อกันมาอีกหลายปี จนเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเมื่อปี 2547
บทเรียนที่สำคัญที่เราต่างเรียนรู้กันแล้ว และเชื่อว่าปัจจุบันเราคงไม่มีทาง “ปล่อยตามยถากรรม” ให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้เหมือนปี 2540 อีกแล้ว เนื่องด้วยสารพัดมาตรการต่างๆ ที่ “ธนาคารชาติ” ในปัจจุบัน “การ์ดสูง” กว่าเดิมเยอะ ซึ่งน่าจะทำให้ประเทศไทยเดินหน้า มั่นคงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป
ส่วน “บทเรียน” ทางการเมืองก็เช่นเดียวกัน ที่จำต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของ “ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์” หรือ “ละโมบโลภมาก” จน “หูตาบอด!” ปล่อยให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แต่ “บทเรียนการเมือง” ล่าสุดที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายนี้ เราทุกคนต้อง “ซึมลึก” และ “ตระหนัก” ให้มากที่สุดว่า “นักธุรกิจการเมือง” ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมานั้น มีพฤติการณ์พฤติกรรมที่ไม่ต่างอะไรไปจาก “กลุ่มกองทุนโจรสลัด-ปีศาจ” ที่คอย “จ้อง-ฮุบ-โกง”ประเทศชาติแบบแนบเนียนสลับซับซ้อนที่สุด!
เราจะปล่อยตามยถากรรมไม่ได้อีกแล้ว!
ต้นเดือนกรกฎาคมอย่างปีนี้ ถือว่าเกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ถึง 2 กรณี กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 เกิดการเปลี่ยน “การปกครอง” ของประเทศฮ่องกง ที่อังกฤษทำสัญญาเช่าจากประเทศจีนเป็นระยะเวลา 99 ปี และในที่สุด “ฮ่องกง” ก็ต้องกลับไปสู่ “อ้อมกอดแม่!” อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปีค.ศ.1997 ซึ่ง “แสงแดด” และทีมงานได้มีโอกาสอยู่กับเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นด้วย
และต่อมาวันรุ่งขึ้นที่ 2 กรกฎาคม 2540 เช่นเดียวกัน เกิดเหตุการณ์สำคัญทาง “เศรษฐกิจ” ของประเทศไทย และได้ส่งผลกระทบสำคัญทางการเมืองแก่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น จนต้องหลุดจากเก้าอี้ในที่สุด
“เหตุการณ์ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท” จนทำให้ค่าเงินสกุลบาทของไทยเรา “ร่วง!” จากระดับ 25-27 บาท ไปแตะอ่อนสุดที่ระดับ 51-52 บาท ภายในระยะเวลาเกือบ 1 เดือน ซึ่งมีการกล่าวเรียกขานกันว่า “ต้มยำกุ้งดีซีส” หรือ “โรคต้มยำกุ้ง!” และลามใหญ่โตสู่ประเทศในกลุ่มเอเชียและทั่วทั้งโลกในที่สุด
“คำถาม” สำคัญของ “วิกฤตเศรษฐกิจ 2540-1997” ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น หนึ่ง ทำไมถึงสาหัสสากรรจ์เพียงนั้น ส่งผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจติดลบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ สอง ทำไมถึงได้ลามเลยเถิดไปสู่ประเทศสำคัญๆ ทั่วทั้งโลก แม้กระทั่งญี่ปุ่น เกาหลี ก็โดนเช่นเดียวกัน หรือแม้กระทั่งไปไกลจนถึงกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ และ สาม กลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปบางประเทศถึงไม่ได้รับผลกระทบ
“วิกฤตเศรษฐกิจ 2540” ครั้งสำคัญครั้งนั้น แน่นอนที่สุดที่ต้องมี “เบื้องหน้าเบื้องหลัง” ที่เจ็บแสบที่สุด โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “กลุ่มกองทุนรวม-Hedge Fund” หรือมักเรียกกันว่า “กลุ่มกองทุนปีศาจ”
“กลุ่มกองทุนปีศาจ” นี้ เสมือน “กลุ่มโจรสลัด” ที่มีการระดมเงินกองทุนจากนานาอารยประเทศ แต่ “น่าเชื่อว่า” จะมี “ศูนย์บัญชาการ” อยู่ที่มหานครนิวยอร์ก ซึ่งต้องมี “กลุ่มนักธุรกิจ-กลุ่มนักการเมือง” ขนาดใหญ่ชาวอเมริกันเป็น “ผู้บัญชาการ” อยู่เบื้องหลัง ทำนอง “ไอ้โม่ง!”
“กลุ่มกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund)” นี้มีการระดมเงินทุนเข้าสู่กองทุนนับหลายล้านล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อมุ่งโจมตีทั้ง “ค่าเงิน” และ “เก็งกำไร” กับบรรดาสินค้าคอมมอดิตี้ (Commodity) ต่างๆ โดยเฉพาะ “น้ำมันดิบ” ตลอดจนเข้าแทรกแซงในวงการตลาดหลักทรัพย์ทั่วทั้งโลก จนทำให้สถานการณ์ และไม่สำคัญเท่ากับ “เสถียรภาพ” ทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ “อ่อนแอ” ต้องมีอัน “พังพาบ” ไปจนบางประเทศต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินที่เรียกว่า “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ : IMF : International Monetary Fund”
“แสงแดด” และอีกหลายๆ ฝ่ายที่ตระหนักและทราบดีถึงเบื้องหน้าเบื้องลึกของ “กลุ่มกองทุน” นี้ เปรียบเสมือน “โจรสลัด” ที่จะคอยเฝ้าติดตามสถานการณ์ทางการเงินของกลุ่มประเทศที่อ่อนแอ โดยมีนโยบายการเงินการธนาคารที่อ่อนปวกเปียก แต่ไม่สำคัญเท่ากับถูกหลอกง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน”
ยุทธศาสตร์ของกลุ่มกองทุนปีศาจนี้จะ “แทรกแซง” หรือเรียกว่า “ร่วมมือ” ก็ได้กับสถาบันการเงินสำคัญทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะ “ธนาคารโลก (World Bank)” และธนาคารต่างๆ ในการปล่อยกู้กับทั้งบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน หรือจะเหตุผลใดก็ตามแต่ หรือไม่ก็กับสถาบันการเงินธนาคารต่างๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เพื่อนำไปพัฒนาประเทศด้านการก่อสร้างโครงการอภิมหายักษ์ต่างๆ เช่น ทางด่วน มอเตอร์เวย์ ตึกคอนโดมิเนียม เป็นต้น
ประเด็นสำคัญของยุทธศาสตร์คือ “ดอกเบี้ยต่ำ” ประมาณไม่เกิน 3-5 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างมาก แล้วอนุมัติให้กู้นับพันนับหมื่นล้านบาท ทำนอง “หลอกล่อ!” ซึ่งบรรดาสถาบันการเงิน ธนาคาร และบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ก็ “ดีใจสุดขีด” ที่มีการปล่อยกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เพื่อที่จะนำมาปล่อยกู้ต่อไปได้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7-8 แต่ถ้าเป็นบริษัทสถาบันการเงิน “ลูก” ก็จะปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10-12 พูดง่ายๆ คือ ปล่อยกู้ซัดดอกเบี้ยแบบแขก
แต่ที่เจ็บแสบไปมากกว่านั้น คือ “กฎเกณฑ์-ระเบียบ” ต่างๆ ในการปล่อยกู้ขณะนั้น ปราศจาก “ความเข้มงวด-กฎเหล็ก” โดยเฉพาะ “หลักทรัพย์ประกันเงินกู้” หรือแม้กระทั่ง มาตรการ “ประกันเงินกู้!” ที่ “ใครอยากกู้...กู้!" ด้วยการอาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคล หรือ “เงินใต้โต๊ะ” ก็สามารถกู้ได้ด้วยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าน้อยกว่าจำนวนเงินที่กู้ไป
ยกตัวอย่าง ถ้า “ผู้กู้” นำหลักทรัพย์มีมูลค่าเพียง 10 ล้านบาท ก็สามารถกู้จากธนาคารได้สูงถึง 100-200 ล้านบาท โดยอาศัยช่องทาง “เกี๊ยะเซี๊ย” ระหว่าง “ผู้กู้-ผู้ให้กู้”
ปัญหาสำคัญที่สุดของนโยบายรัฐบาลในช่วงนั้นคือ “วิเทศเศรษฐกิจ” ที่เรียกว่า “BIBF” ที่เป็น “นโยบายเปิด” สำหรับ “การไหลเข้าไหลออก" ของเม็ดเงิน พูดง่ายๆ คือ “เปิดเสรี!” ทั้งนี้ “แสงแดด” ไม่ต้องการ “ซ้ำเติม” และ “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ” แต่ประการใด แต่ก็ต้องบอกความจริงว่า เกิดขึ้นในสมัย “รัฐบาลชวน 1" ที่มี นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง!”
“โครงการอภิมหาโปรเจกต์” เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่สมัยนั้นและหลังจากนั้น โดยเฉพาะยุคคุณบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ที่มีการนินทากันว่า “ผู้กู้” นอกเหนือจากนักธุรกิจแล้ว “นักการเมือง” ก็กู้มากเช่นเดียวกัน โดยมีการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในการประเมินที่ต่ำกว่ามูลค่าหนี้สูงถึงนับ 100 เท่าตัว
ยุค 2537-2538-2539 จนถึง 2540 นั้น คนไทย “รวยมาก” เพราะสามารถกู้เงินได้มาก ไม่ต้องวางหลักทรัพย์มากมายปราศจาก “กฎเหล็ก” เหมือนปัจจุบัน คนไทยทุกระดับ “ฟุ้งเฟ้อ-ฟุ่มเฟือย” กันมาก เดินทางต่างประเทศ “ชอปปิ้ง” เป็นว่าเล่นทั่วทั้งโลก ราคาที่ดิน “บูมสุดขีด!” ซื้อเช้าขายบ่ายเปลี่ยนมือกลางดึก คล้ายๆ กับช่วงของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ในสมัยปี 2533-35
“ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลตั้งแต่ชุดคุณชวน หลีกภัย ทอดยาวมาจนถึงสมัยคุณบรรหาร ศิลปอาชา และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในที่สุด มิได้ “เฉลียวใจ” เลยว่า “กลุ่มกองทุนปีศาจ” เหล่านี้ จ้องจับตาเราเป็นมันที่ “จะทุบค่าเงินบาท!” ด้วยการค่อยๆ เข้ามาแทรกแซงในวงการตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่สำคัญเท่ากับเข้ามาทยอยซื้อเงินบาทไทยจำนวนมหาศาล แล้วก็ปล่อยให้ค่าเงินบาทไทย “อ่อนตัว!” ลง อย่างที่เราไม่รู้ตัว จนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องนำเงินทุนสำรองต่างๆ ไป “สวอป : แลก (Swop)” กับเงินสกุลดอลลาร์ และเราก็ “อ่อนแอ-ไร้เสถียรภาพ” ที่สุดกับ “ค่าเงินบาทไทย” จนต้องประกาศ “ลอยตัว” จนรูดจาก 25-27 บาท ไปแตะที่ระดับ 51-52 บาท ภายในระยะเวลา 1 เดือนกว่าๆ เท่านั้น
เรา “ปล่อยปละละเลย-ปล่อยตามยถากรรม” โดยไม่มีความไหวทันถึง “เล่ห์เหลี่ยม” ของกลุ่มกองทุนเหล่านี้ ที่ทำทีปล่อยกู้ตามสะดวกด้วยดอกเบี้ยต่ำๆ แต่หารู้ไม่ว่า “เรากำลังถูกทุบ-ถูกโจมตี” แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนไทยเราก็ “ฟุ้งเฟ้อ-ฟอนเฟะ” อย่างน่าอนาถใจ
บุคคลที่มีความสำคัญและบทบาทมากที่สุดในรัฐบาลช่วงนั้นคือ คุณทนง พิทยะ รัฐมนตรีฯ คลัง ที่พอจะรู้ทิศทาง “มรสุมการเงิน” ก่อนหน้านี้แล้วไม่น้อยกว่า 2-3 เดือน คำถามที่ต้องถามว่า ทำไมถึงไม่มี “การเตือน” และ/หรือกำหนด “มาตรการป้องกัน” ล่วงหน้า หรือว่าไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปโปะแลกสวอปได้อีกแล้ว พูดง่ายๆ คือ “หมดกระสุนสู้!” และก็ต้องถามว่า เมื่อรู้แล้ว “ข่าวรั่ว” ไปทำให้ “ใครรวย” กันบ้างหรือปล่าว ซึ่งยังเป็นคำถามสำคัญที่ผู้คนมากมายยังคงตั้งคำถาม “สงสัยคุณทนง” ตราบเท่าทุกวันนี้ “แสงแดด” ว่าน่าจะมีการ “ตรวจสอบย้อนหลัง!”
เมื่อสิบปีที่แล้ว ประเทศไทยเราบอบช้ำอย่างมากทางเศรษฐกิจ และความจริงที่ต้องยอมรับคือ “การเมือง” เป็นปัจจัยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรา “บาดเจ็บ” ด้านเศรษฐกิจยาวนานติดต่อกันมาอีกหลายปี จนเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเมื่อปี 2547
บทเรียนที่สำคัญที่เราต่างเรียนรู้กันแล้ว และเชื่อว่าปัจจุบันเราคงไม่มีทาง “ปล่อยตามยถากรรม” ให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้เหมือนปี 2540 อีกแล้ว เนื่องด้วยสารพัดมาตรการต่างๆ ที่ “ธนาคารชาติ” ในปัจจุบัน “การ์ดสูง” กว่าเดิมเยอะ ซึ่งน่าจะทำให้ประเทศไทยเดินหน้า มั่นคงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป
ส่วน “บทเรียน” ทางการเมืองก็เช่นเดียวกัน ที่จำต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของ “ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์” หรือ “ละโมบโลภมาก” จน “หูตาบอด!” ปล่อยให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แต่ “บทเรียนการเมือง” ล่าสุดที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายนี้ เราทุกคนต้อง “ซึมลึก” และ “ตระหนัก” ให้มากที่สุดว่า “นักธุรกิจการเมือง” ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมานั้น มีพฤติการณ์พฤติกรรมที่ไม่ต่างอะไรไปจาก “กลุ่มกองทุนโจรสลัด-ปีศาจ” ที่คอย “จ้อง-ฮุบ-โกง”ประเทศชาติแบบแนบเนียนสลับซับซ้อนที่สุด!
เราจะปล่อยตามยถากรรมไม่ได้อีกแล้ว!