.
ในโลกนี้ มีมนุษย์จำนวนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ชายหรือหญิงเต็มร้อยทั้งตัวและหัวใจ แต่เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต มีความใฝ่ฝัน มีความรู้สึกนิกคิด และก็มีหัวใจ เหมือนคนทั่วๆ ไป
เพศสภาพของคนกลุ่มนี้ บ้างก็เรียกว่า “เพศที่สาม” บ้างก็เรียกว่า “ความหลากหลายทางเพศ” หรือบ้างก็เรียกว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ”
“อัตลักษณ์ทางเพศ” อธิบายง่ายๆ ว่า “อัตตา” คือ “ตัวตน” ดังนั้น อัตลักษณ์ทางเพศ คือ ตัวตนหรือความรู้สึกนึกคิดในจิตใจของตน จะเป็นตัวกำหนดเองว่ามีลักษณะทางเพศอย่างไร
ในเรื่องอัตตลักษณ์ทางเพศนี้ มีงานศึกษาวิจัยจำนวนมาก บ่งชี้ว่า ไม่ใช่เป็นคนที่มีอาการจิตวิปริต แต่การที่คนเรามีความรู้สึกนึกคิดจนกระทั่งกำหนดอัตตลักษณ์ทางเพศของตนไปในลักษณะของการเป็นกระเทย สาวประเภทสอง เกย์ ฯลฯ นั้น เป็นไปตามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ในยีนและโครโมโซม
พูดง่ายๆ ว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ” จะได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากสิ่งที่ฝังอยู่ในระดับยีน (gene) ขึ้นอยู่กับการจัดเรียงตัวของยีน และการทำงานของโครโมโซม
หากร่างกายหรืออวัยวะเพศ ซึ่งพัฒนาตามมาในภายหลัง เกิดไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ในระดับยีน หรืออยู่ในระดับโครโมโซม ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากในการใช้ชีวิตของคนที่ต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น
เพราะเสมือนถูกจองจำอยู่ในสภาพร่างกายที่ไม่สอดรับกับสภาพความรู้สึกนึกคิดและจิตใจส่วนลึก คนเหล่านี้จึงเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะไม่มีใครต้องการที่จะเกิดมาประสบปัญหาเช่นนี้
ยิ่งหากสังคม แสดงปฏิกิริยาต่อคนเหล่านี้ในทางลบ ก็ยิ่งทำให้คนเหล่านี้ต้องถูกลงโทษซ้ำสองโดยสังคมที่ร่วมอยู่ด้วย
กรณีที่สังคมเลือกปฏิบัติต่อมนุษย์ที่มีอัตตลักษณ์ทางเพศแตกต่างไปจาก “หญิง-ชาย” ทั่วไป ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมของเรา และก็ยังไม่ใช่เรื่องเก่าที่ล้าสมัย แต่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ อย่างในบ้านเรา ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ก็เพิ่งมีกรณีโรงแรมโนโวเทลห้ามสาวประเภทสองเข้า ถึงขนาดเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก
ผู้คนจำนวนไม่น้อย มีความคิดว่า ถ้าเรามีลูก เราก็ไม่อยากให้ลูกเราเป็นแบบนี้ แต่ลืมคิดไปว่า หากลูกเราเกิดเป็นแบบนี้ แล้วถูกสังคมมีปฎิกิริยาเช่นนี้ต่อลูกของเรา ลูกของเราและตัวเราจะรู้สึกอย่างไร ยิ่งลูกของเราจะเจ็บปวดเพียงใด
ในระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พ.ศ. 2550 สภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีการเปิดประเด็นอภิปรายถกเถียงว่าด้วยปัญหาการเลือกปฏิบัติในสังคม โดยอยู่บนพื้นฐานว่า สังคมไทยไม่ควรจะมีการเลือกปฏิบัติต่อความเป็นมนุษย์ของคนทุกคน ไม่ว่าคนๆ นั้น จะมีความแตกต่างในพื้นฐานชีวิตต่างๆ กัน
เดิมในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กำหนดว่า “...ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้..”
ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีการอภิปรายถกเถียงกัน เพื่อจะเพิ่มความคุ้มครองประชาชนในสังคมมิให้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม โดยเพิ่มประเด็นเรื่องความพิการ และอัตตลักษณ์ทางเพศ
กล่าวคือ การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมเป็นว่า “....การเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุของความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อัตตลักษณ์ทางเพศ ความพิการ อายุ สภาพทางกาย สุขภาพทางกาย สุขภาพทางจิต สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้...”
ในเรื่องความพิการ สภาร่างรัฐธรรมนูญให้บัญญัติเพิ่มลงไปในรัฐธรรมนูญแต่โดยดี
กล่าวเฉพาะในประเด็นเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ - อัตตลักษณ์ทางเพศ ในการประชุมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางและหลากหลาย จนกระทั่งมีความเห็นที่ก้ำกึ่งกันระหว่างการจะเพิ่มบัญญัติไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุของความแตกต่างเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ ใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่
ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ ในการอภิปรายของสภาร่างรัฐธรรมนูญประเด็นดังกล่าว ได้มีการพูดคุยด้วยเหตุและผล แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ท่าทีส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจ มองเห็นความเป็นคนของคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศดังกล่าว ส่วนที่ไม่เห็นด้วยก็เพราะเหตุผลในเรื่องปัญหาในทางปฏิบัติ ความยากลำบาก เช่น จะต้องเพิ่มห้องน้ำสาธารณะจากเดิมที่มีชาย-หญิง เป็น ชาย-หญิง-กลุ่มอัตตลักษณ์ทางเพศ จะยุ่งยากลำบากเกินไปหรือไม่ เป็นต้น
ไม่มีการอภิปรายในลักษณะจิกหัวด่า หรือแสดงท่าทีดูหมิ่นเหยียดหยาม รังเกียจเดียดฉันท์ คนที่มีลักษณะอย่างนั้น
ผมมองว่า ตรงจุดนี้ สะท้อนพัฒนาการของสังคมไทยที่น่ายินดี
หากเปรียบเทียบกับในต่างประเทศ นับตั้งแต่วันที่คนกลุ่มนี้เริ่มเปิดตัวออกมา กว่าจะทำให้สังคมเกิดความรู้สึกไม่รังเกียจ ไม่คุกคาม ไม่ทำร้ายบุคคลที่มีลักษณะเช่นนั้น กระทั่งยอมรับในความเป็นคน ก็ต้องใช้เวลาราวๆ 40-50 ปี
แต่ในประเทศไทยของเรา เริ่มมีบุคคลลักษณะนี้เปิดตัวออกมาจนถึงปัจจุบัน ราวๆ 20 ปี ก็ปรากฏว่า มีการนำเรื่องนี้เข้าไปพูดคุยในระดับสภาร่างรัฐธรรมนูญของประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยที่การพูดคุยเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ ไม่มีการแสดงออกที่ทำร้ายจิตใจของคนกลุ่มนี้
แม้แต่ในการลงมติในประเด็นนี้ ก็มีคะแนนก้ำกึ่งกันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวันก่อนสุดท้ายของการประชุม ถึงขนาดได้มีการลงมติผ่านไปแล้วด้วยซ้ำว่าให้แก้ไขเพิ่มเติมโดยบัญญัติห้ามมิให้เลือกปฏิบัติต่อมีอัตตลักษณ์ทางเพศไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย เพียงแต่ในภายหลัง เมื่อนายการุณ ใสงาม สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้เสนอให้สภาร่างรัฐธรรมนูญทบทวนว่า เรื่องใดหากเป็นการแปรญัตติแก้ไขหลักการเดิม จะทำไม่ได้ จะทำได้ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำเท่านั้น จึงนำมาซึ่งการพิจารณารื้อดูว่า การเพิ่มคำว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ” เข้าไว้ในหลักการเรื่อง “การไม่เลือกปฏิบัติ” เป็นการแก้ไขหลักการหรือเป็นเพียงเพิ่มเติมรายละเอียดเข้าไปในหลักการเรื่อง “การไม่เลือกปฏิบัติ” อันเดิม แต่ในท้ายที่สุด สภาร่างรัฐธรรมนูญก็ลงมติว่า เป็นการแก้ไขหลักการ ด้วยมติ 29 ต่อ 29 กระทั่งประธาน สสร. ต้องลงมติชี้ขาด โดยชี้ว่า เป็นการแก้ไขหลักการ และนำมาซึ่งการลงมติอีกครั้ง ทำให้คำว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ” ต้องถูกตัดออกในที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้ท้ายที่สุด ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะไม่มีการกำหนดคำว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ” ไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็ได้นำไปใส่ไว้ในรายละเอียดส่วนที่เป็นเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการห้ามเลือกปฏิบัติทางเพศ ว่าให้ปกป้องคุ้มครองครอบคลุมถึงคนกลุ่มนี้ด้วย นับว่าทำให้เห็นพัฒนาการของสังคมไทยที่มีต่อประเด็นนี้
การที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีการอภิปรายพูดคุยเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง จริงจัง และมีเหตุมีผล โดยมีความเห็นก้ำกึ่งกันมาก และมีแต่ความเห็นที่อยู่บนพื้นฐานความเห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจ นับว่าเป็นพัฒนาการที่น่ายินดีอย่างยิ่ง
ถึงที่สุดแล้ว มันสะท้อนว่า สังคมมองเห็นความเป็นคนของคนที่มีอัตตลักษณ์ทางเพศ ยอมรับในความแตกต่างของคน ซึ่งมีอัตตาต่างๆ กัน มี “ตัวตน” แตกต่างกัน
การยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย นับเป็นสิ่งสำคัญระดับพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย
ในโลกนี้ มีมนุษย์จำนวนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ชายหรือหญิงเต็มร้อยทั้งตัวและหัวใจ แต่เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต มีความใฝ่ฝัน มีความรู้สึกนิกคิด และก็มีหัวใจ เหมือนคนทั่วๆ ไป
เพศสภาพของคนกลุ่มนี้ บ้างก็เรียกว่า “เพศที่สาม” บ้างก็เรียกว่า “ความหลากหลายทางเพศ” หรือบ้างก็เรียกว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ”
“อัตลักษณ์ทางเพศ” อธิบายง่ายๆ ว่า “อัตตา” คือ “ตัวตน” ดังนั้น อัตลักษณ์ทางเพศ คือ ตัวตนหรือความรู้สึกนึกคิดในจิตใจของตน จะเป็นตัวกำหนดเองว่ามีลักษณะทางเพศอย่างไร
ในเรื่องอัตตลักษณ์ทางเพศนี้ มีงานศึกษาวิจัยจำนวนมาก บ่งชี้ว่า ไม่ใช่เป็นคนที่มีอาการจิตวิปริต แต่การที่คนเรามีความรู้สึกนึกคิดจนกระทั่งกำหนดอัตตลักษณ์ทางเพศของตนไปในลักษณะของการเป็นกระเทย สาวประเภทสอง เกย์ ฯลฯ นั้น เป็นไปตามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ในยีนและโครโมโซม
พูดง่ายๆ ว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ” จะได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากสิ่งที่ฝังอยู่ในระดับยีน (gene) ขึ้นอยู่กับการจัดเรียงตัวของยีน และการทำงานของโครโมโซม
หากร่างกายหรืออวัยวะเพศ ซึ่งพัฒนาตามมาในภายหลัง เกิดไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ในระดับยีน หรืออยู่ในระดับโครโมโซม ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากในการใช้ชีวิตของคนที่ต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น
เพราะเสมือนถูกจองจำอยู่ในสภาพร่างกายที่ไม่สอดรับกับสภาพความรู้สึกนึกคิดและจิตใจส่วนลึก คนเหล่านี้จึงเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะไม่มีใครต้องการที่จะเกิดมาประสบปัญหาเช่นนี้
ยิ่งหากสังคม แสดงปฏิกิริยาต่อคนเหล่านี้ในทางลบ ก็ยิ่งทำให้คนเหล่านี้ต้องถูกลงโทษซ้ำสองโดยสังคมที่ร่วมอยู่ด้วย
กรณีที่สังคมเลือกปฏิบัติต่อมนุษย์ที่มีอัตตลักษณ์ทางเพศแตกต่างไปจาก “หญิง-ชาย” ทั่วไป ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมของเรา และก็ยังไม่ใช่เรื่องเก่าที่ล้าสมัย แต่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ อย่างในบ้านเรา ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ก็เพิ่งมีกรณีโรงแรมโนโวเทลห้ามสาวประเภทสองเข้า ถึงขนาดเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก
ผู้คนจำนวนไม่น้อย มีความคิดว่า ถ้าเรามีลูก เราก็ไม่อยากให้ลูกเราเป็นแบบนี้ แต่ลืมคิดไปว่า หากลูกเราเกิดเป็นแบบนี้ แล้วถูกสังคมมีปฎิกิริยาเช่นนี้ต่อลูกของเรา ลูกของเราและตัวเราจะรู้สึกอย่างไร ยิ่งลูกของเราจะเจ็บปวดเพียงใด
ในระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พ.ศ. 2550 สภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีการเปิดประเด็นอภิปรายถกเถียงว่าด้วยปัญหาการเลือกปฏิบัติในสังคม โดยอยู่บนพื้นฐานว่า สังคมไทยไม่ควรจะมีการเลือกปฏิบัติต่อความเป็นมนุษย์ของคนทุกคน ไม่ว่าคนๆ นั้น จะมีความแตกต่างในพื้นฐานชีวิตต่างๆ กัน
เดิมในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กำหนดว่า “...ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้..”
ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีการอภิปรายถกเถียงกัน เพื่อจะเพิ่มความคุ้มครองประชาชนในสังคมมิให้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม โดยเพิ่มประเด็นเรื่องความพิการ และอัตตลักษณ์ทางเพศ
กล่าวคือ การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมเป็นว่า “....การเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุของความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อัตตลักษณ์ทางเพศ ความพิการ อายุ สภาพทางกาย สุขภาพทางกาย สุขภาพทางจิต สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้...”
ในเรื่องความพิการ สภาร่างรัฐธรรมนูญให้บัญญัติเพิ่มลงไปในรัฐธรรมนูญแต่โดยดี
กล่าวเฉพาะในประเด็นเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ - อัตตลักษณ์ทางเพศ ในการประชุมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางและหลากหลาย จนกระทั่งมีความเห็นที่ก้ำกึ่งกันระหว่างการจะเพิ่มบัญญัติไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุของความแตกต่างเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ ใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่
ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ ในการอภิปรายของสภาร่างรัฐธรรมนูญประเด็นดังกล่าว ได้มีการพูดคุยด้วยเหตุและผล แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ท่าทีส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจ มองเห็นความเป็นคนของคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศดังกล่าว ส่วนที่ไม่เห็นด้วยก็เพราะเหตุผลในเรื่องปัญหาในทางปฏิบัติ ความยากลำบาก เช่น จะต้องเพิ่มห้องน้ำสาธารณะจากเดิมที่มีชาย-หญิง เป็น ชาย-หญิง-กลุ่มอัตตลักษณ์ทางเพศ จะยุ่งยากลำบากเกินไปหรือไม่ เป็นต้น
ไม่มีการอภิปรายในลักษณะจิกหัวด่า หรือแสดงท่าทีดูหมิ่นเหยียดหยาม รังเกียจเดียดฉันท์ คนที่มีลักษณะอย่างนั้น
ผมมองว่า ตรงจุดนี้ สะท้อนพัฒนาการของสังคมไทยที่น่ายินดี
หากเปรียบเทียบกับในต่างประเทศ นับตั้งแต่วันที่คนกลุ่มนี้เริ่มเปิดตัวออกมา กว่าจะทำให้สังคมเกิดความรู้สึกไม่รังเกียจ ไม่คุกคาม ไม่ทำร้ายบุคคลที่มีลักษณะเช่นนั้น กระทั่งยอมรับในความเป็นคน ก็ต้องใช้เวลาราวๆ 40-50 ปี
แต่ในประเทศไทยของเรา เริ่มมีบุคคลลักษณะนี้เปิดตัวออกมาจนถึงปัจจุบัน ราวๆ 20 ปี ก็ปรากฏว่า มีการนำเรื่องนี้เข้าไปพูดคุยในระดับสภาร่างรัฐธรรมนูญของประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยที่การพูดคุยเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ ไม่มีการแสดงออกที่ทำร้ายจิตใจของคนกลุ่มนี้
แม้แต่ในการลงมติในประเด็นนี้ ก็มีคะแนนก้ำกึ่งกันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวันก่อนสุดท้ายของการประชุม ถึงขนาดได้มีการลงมติผ่านไปแล้วด้วยซ้ำว่าให้แก้ไขเพิ่มเติมโดยบัญญัติห้ามมิให้เลือกปฏิบัติต่อมีอัตตลักษณ์ทางเพศไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย เพียงแต่ในภายหลัง เมื่อนายการุณ ใสงาม สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้เสนอให้สภาร่างรัฐธรรมนูญทบทวนว่า เรื่องใดหากเป็นการแปรญัตติแก้ไขหลักการเดิม จะทำไม่ได้ จะทำได้ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำเท่านั้น จึงนำมาซึ่งการพิจารณารื้อดูว่า การเพิ่มคำว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ” เข้าไว้ในหลักการเรื่อง “การไม่เลือกปฏิบัติ” เป็นการแก้ไขหลักการหรือเป็นเพียงเพิ่มเติมรายละเอียดเข้าไปในหลักการเรื่อง “การไม่เลือกปฏิบัติ” อันเดิม แต่ในท้ายที่สุด สภาร่างรัฐธรรมนูญก็ลงมติว่า เป็นการแก้ไขหลักการ ด้วยมติ 29 ต่อ 29 กระทั่งประธาน สสร. ต้องลงมติชี้ขาด โดยชี้ว่า เป็นการแก้ไขหลักการ และนำมาซึ่งการลงมติอีกครั้ง ทำให้คำว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ” ต้องถูกตัดออกในที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้ท้ายที่สุด ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะไม่มีการกำหนดคำว่า “อัตตลักษณ์ทางเพศ” ไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็ได้นำไปใส่ไว้ในรายละเอียดส่วนที่เป็นเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการห้ามเลือกปฏิบัติทางเพศ ว่าให้ปกป้องคุ้มครองครอบคลุมถึงคนกลุ่มนี้ด้วย นับว่าทำให้เห็นพัฒนาการของสังคมไทยที่มีต่อประเด็นนี้
การที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีการอภิปรายพูดคุยเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง จริงจัง และมีเหตุมีผล โดยมีความเห็นก้ำกึ่งกันมาก และมีแต่ความเห็นที่อยู่บนพื้นฐานความเห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจ นับว่าเป็นพัฒนาการที่น่ายินดีอย่างยิ่ง
ถึงที่สุดแล้ว มันสะท้อนว่า สังคมมองเห็นความเป็นคนของคนที่มีอัตตลักษณ์ทางเพศ ยอมรับในความแตกต่างของคน ซึ่งมีอัตตาต่างๆ กัน มี “ตัวตน” แตกต่างกัน
การยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย นับเป็นสิ่งสำคัญระดับพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย