ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - มอ.จับมือศึกษาหาพันธุ์สะตอและวิธีการให้ได้ผลผลิตสูงเพื่อปลูกสะตอเป็นการค้า ด้วยการตรวจดีเอ็นเอจากใบสะตอเพื่อศึกษาพันธุกรรม ศึกษาการเปลี่ยนแปลงในรอบปีได้แก่การผลัดใบ การติดฝัก และช่วงระยะการเจริญเติบโตของดอกสะตอที่มีผลต่อการเพิ่มผลผลิต รวมถึงศึกษาการปลูกสะตอร่วมกับการปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ
สะตอ นับว่าเป็นพืชเอกลักษณ์ของภาคใต้ มีถิ่นกำเนิดในภาคใต้ของไทย เป็นพืชยืนต้นพบมากในป่าธรรมชาติของภาคใต้ ในอดีตชาวบ้านเก็บฝักสะตอได้จากป่า มีการนำมาปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจเมื่อไม่นานมานี้ในทั่วทุกภาคของไทย มีพื้นที่ปลูกที่ให้ผลผลิตแล้ว 136,890 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้
ในปัจจุบันสะตอจัดเป็นพืชผักเศรษฐกิจที่มีผู้นิยมบริโภค เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีสรรพคุณในการช่วยลดน้ำตาลในเลือด จึงช่วยป้องกันโรคเบาหวาน แบ่งเป็น 2 พันธุ์ คือ สะตอข้าว มีลักษณะเนื้อเมล็ดไม่แน่น กลิ่นไม่ฉุน ให้ผลผลิตภายใน 3-5 ปี และสะตอดาน มีลักษณะเนื้อเมล็ดแน่น กลิ่นฉุน ให้ผลผลิตภายใน 5-7 ปี ในการปลูกเกษตรกรจะใช้ต้นกล้าเพาะเมล็ดปลูกแซมกับพืชอื่นๆ ต้นสะตอที่ได้ให้ผลผลิตแตกต่างกันและไม่แน่นอน บางครั้งกว่าจะได้ผลผลิตกินเวลานับสิบปี และผลผลิตต่ำ
ทั้งนี้ เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาถึงการผลิตต้นสะตอ จึงขาดข้อมูลพื้นฐานทางด้านวิชาการ ดังนั้น คณะทรัพยากรธรรมชาติ และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.)จึงได้ร่วมกันวิจัยและพัฒนายกระดับการผลิตสะตอเพื่อการค้า เพื่อศึกษาหาข้อมูลพื้นฐาน นำไปใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการผลิตสะตอเชิงการค้าของประเทศไทย ทำการศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2549 - เดือนกันยายน 2550 มี ผศ.ดร.วิจิตต์ วรรณชิต เป็นหัวหน้าโครงการ การศึกษาวิจัยประกอบด้วย
1.การศึกษาพันธุ์สะตอโดยอาศัยเครื่องหมายดีเอ็นเอ โดย รศ. ดร.จรัสศรี นวลศรี คณะทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อศึกษาพันธุ์และลักษณะประจำพันธุ์สะตอโดยอาศัยลักษณะสัณฐานวิทยา และเพื่อศึกษาพันธุกรรมของสะตอ
2.การวิจัยการเปลี่ยนแปลงในรอบปีของสะตอในภาคใต้ โดย ผศ.ดร.วิจิตต์ วรรณชิต คณะทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อศึกษาการผลัดใบ แตกยอดอ่อน ออกดอก และติดฝักของสะตอในรอบปีของภาคใต้ฝั่งตะวันตก แถบจังหวัด นครศรีธรรมราช ตรังและสตูล และภาคใต้ฝั่งตะวันออกของประเทศไทย แถบจังหวัด สุราษฎร์ธานี พัทลุง สงขลา ปัตตานี ผลการศึกษาพบว่า การติดฝักของสะตอในภาคใต้ฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออกของไทยแตกต่างกัน เนื่องจากสภาพอากาศ โดยที่สะตอในภาคใต้ฝั่งตะวันตกให้ผลผลิตฝักตามฤดูกาลออกสู่ตลาดเร็วกว่า และมากกว่าในภาคใต้ฝั่งตะวันออก
3.การวิจัยการเจริญเติบโตของดอกสะตอ โดย ผศ.ช่อทิพย์ ปุรินทวรกุล คณะวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาชีววิทยาของดอกของสะตอ เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาการปรับปรุงพันธุ์สะตอ และทราบถึงช่วงระยะการเจริญเติบโตของดอกสะตอที่ส่งผลต่อการเพิ่มผลผลิตให้สูงกว่าในปัจจุบัน
ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะสัณฐานวิทยาช่อดอกสะตอทั้ง 2 พันธุ์ คือ สะตอข้าว และสะตอดาน ประกอบด้วยดอกย่อย 3ชนิด คือ ดอกย่อยสมบูรณ์เพศ ดอกย่อยเพศผู้ และดอกย่อยเพศผู้ที่เป็นหมัน สำหรับช่วงระยะการเจริญเติบโตของดอกสะตอ พบว่า มี 11 ระยะ ตั้งแต่ระยะที่ช่อดอกเริ่มเกิด จนถึงระยะที่ดอกย่อยบานและติดผลใช้เวลา 50 วัน ดอกสะตอขับน้ำหวานออกมามากที่สุดที่เวลา 20:00น. และมีพาหะ ได้แก่ ค้างคาวเล็บกุด ผึ้ง มด ผีเสื้อกลางคืน และแมลงชนิดอื่นๆ เข้ามาถ่ายละอองเกสร ตั้งแต่เวลา 18:00 น.เป็นต้นไป
4.การวิจัยและพัฒนาการปลูกสะตอเป็นพืชร่วมในระบบวนเกษตร โดย ผศ. ดร.ปราโมทย์ แก้ววงศ์ศรี คณะทรัพยากรธรรมชาติ พบว่า สามารถปลูกสะตอร่วมกับพืชอื่นได้หลายชนิด เช่น ลองกอง มังคุด กาแฟ ทุเรียน และจำปาดะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชที่ไม่ต้องการแสงมาก นับเป็นความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เกื้อกูลต่อวิถีชีวิต และเอกลักษณ์ของคนไทยภาคใต้ สอดคล้องกับนโยบายที่สนับสนุนให้อยู่อย่างพอเพียง เนื่องจากประชาชนจะได้ผลผลิตตลอดทั้งปีจากพืชต่างชนิดกัน
ทั้งนี้ การศึกษาหาข้อมูลพื้นฐาน นำไปใช้ในการแก้ปัญหา และพัฒนาการผลิตสะตอเชิงการค้าของประเทศไทยยังจะต้องมีการศึกษาต่อไปอีกมาก