คิวท์เพรส ยันไม่ปรับรายได้สิ้นปีกวาด 1,200 ล้านบาท ปรับแผนใหม่ลุยครึ่งปีหลังเต็มสูบ เพิ่มความถี่ออกแคตตาล็อกควงโปรโมชันสอดแทรก หวังกระตุ้นยอดขายเข้าเป้า รุกเปลี่ยนระบบงานขาย ชูสมาชิกขายตรงทะลวงรากหญ้า อัพเกรดตัวแทนจำหน่ายสู่พาร์ทเนอร์ โอดยอดขายไตรมาสแรก 282 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย
นายธีระทัศน์ รังสิวรโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอสเอสยูพี กรุงเทพฯ 1991 จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์คิวท์เพรส เปิดเผยว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ที่หดตัวลง ทำให้บริษัทได้ปรับแผนการตลาดใหม่ โดยเพิ่มความถี่ในการออกแคตตาล็อกจากปีละ 1 ครั้งเป็นรายเดือนแทน พร้อมกันนี้ยังได้สอดแทรกการทำโปรโมชันภายในแคตตาล็อก ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นความถี่ในการซื้อสินค้า ขณะเดียวกันบริษัทปรับระบบสมาชิกขายตรงใหม่จาก 3 ระบบ เหลือเพียงระบบเดียว เพื่อป้องกันงานขายที่ซ้ำซ้อนกันตัวแทนจำหน่าย โดยสมาชิกขายตรงเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับรากหญ้า
ส่วนตัวแทนจำหน่ายมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยจะเข้าไปจัดร้านค้าให้ ซึ่งแต่ละแห่งจะมีการจัดสินค้าตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในบริเวณดังกล่าว ขณะที่การเปิดตัวสินค้าใหม่ในปีนี้บริษัทวางไว้ 163 รายการ เปิดตัวไปแล้ว 50 รายการ ด้านงบการตลาดปีนี้บริษัทวางไว้ 200 ล้านบาท มุ่งเน้นการทำบีโลว์เดอะไลน์เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35% ส่วนอะโบฟเดอะไลน์จาก 70% เหลือเป็น 65% พร้อมกันนี้บริษัทยังได้เตรียมปรับปรุงชอปใหม่ให้มีสีสันสดใส เพื่อให้ภาพลักษณ์มีความทันสมัยยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะใช้งบปรับปรุง 3 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท
นายธีระทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทยังได้วางแผนขยายชอปคิวท์เพรสจาก 116 แห่งเพิ่มเป็น 130 แห่งในช่วงไตรมาสที่สามนี้ และครบ 200 แห่งภายในปี 2552 ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนชอปคิวท์เพรสเพิ่มจาก 40% เป็น 50% ขณะที่ตัวแทนจำหน่ายจาก 60% เหลือเป็น 40% ส่วนฐานสมาชิกคาดว่าจะเพิ่มจาก 2 แสนรายเป็น 2.1 แสนราย มีอัตราการเติบโต 5% ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ และคาดว่าภายในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ จะเพิ่มเป็น 3-4 แสนราย โดยปัจจุบันฐานสมาชิกของคิวท์เพรสมีอายุน้อยลงและกว้างมากขึ้นจากเดิม 25 ปี มาอายุระหว่าง 22-28 ปี
ผลพวงจากเศรษฐกิจส่งผลให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกทำได้ราว 282 ล้านบาท โต 30% ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย ขณะที่ยอดขาย 5 เดือนที่ผ่านมานี้ของบริษัทราว 500 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายมีอัตราการเติบโต 22-25% ขณะที่ผลประกอบการทั้งปีบริษั้ทตั้งเป้า 1,200 ล้านบาท โดยไม่มีแผนจะปรับเป้าหมายแม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกรายได้จะต่ำกว่าเป้าหมาย โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากกรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40%
นายธีระทัศน์ รังสิวรโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอสเอสยูพี กรุงเทพฯ 1991 จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์คิวท์เพรส เปิดเผยว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ที่หดตัวลง ทำให้บริษัทได้ปรับแผนการตลาดใหม่ โดยเพิ่มความถี่ในการออกแคตตาล็อกจากปีละ 1 ครั้งเป็นรายเดือนแทน พร้อมกันนี้ยังได้สอดแทรกการทำโปรโมชันภายในแคตตาล็อก ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นความถี่ในการซื้อสินค้า ขณะเดียวกันบริษัทปรับระบบสมาชิกขายตรงใหม่จาก 3 ระบบ เหลือเพียงระบบเดียว เพื่อป้องกันงานขายที่ซ้ำซ้อนกันตัวแทนจำหน่าย โดยสมาชิกขายตรงเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับรากหญ้า
ส่วนตัวแทนจำหน่ายมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยจะเข้าไปจัดร้านค้าให้ ซึ่งแต่ละแห่งจะมีการจัดสินค้าตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในบริเวณดังกล่าว ขณะที่การเปิดตัวสินค้าใหม่ในปีนี้บริษัทวางไว้ 163 รายการ เปิดตัวไปแล้ว 50 รายการ ด้านงบการตลาดปีนี้บริษัทวางไว้ 200 ล้านบาท มุ่งเน้นการทำบีโลว์เดอะไลน์เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35% ส่วนอะโบฟเดอะไลน์จาก 70% เหลือเป็น 65% พร้อมกันนี้บริษัทยังได้เตรียมปรับปรุงชอปใหม่ให้มีสีสันสดใส เพื่อให้ภาพลักษณ์มีความทันสมัยยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะใช้งบปรับปรุง 3 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท
นายธีระทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทยังได้วางแผนขยายชอปคิวท์เพรสจาก 116 แห่งเพิ่มเป็น 130 แห่งในช่วงไตรมาสที่สามนี้ และครบ 200 แห่งภายในปี 2552 ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนชอปคิวท์เพรสเพิ่มจาก 40% เป็น 50% ขณะที่ตัวแทนจำหน่ายจาก 60% เหลือเป็น 40% ส่วนฐานสมาชิกคาดว่าจะเพิ่มจาก 2 แสนรายเป็น 2.1 แสนราย มีอัตราการเติบโต 5% ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ และคาดว่าภายในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ จะเพิ่มเป็น 3-4 แสนราย โดยปัจจุบันฐานสมาชิกของคิวท์เพรสมีอายุน้อยลงและกว้างมากขึ้นจากเดิม 25 ปี มาอายุระหว่าง 22-28 ปี
ผลพวงจากเศรษฐกิจส่งผลให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกทำได้ราว 282 ล้านบาท โต 30% ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย ขณะที่ยอดขาย 5 เดือนที่ผ่านมานี้ของบริษัทราว 500 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายมีอัตราการเติบโต 22-25% ขณะที่ผลประกอบการทั้งปีบริษั้ทตั้งเป้า 1,200 ล้านบาท โดยไม่มีแผนจะปรับเป้าหมายแม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกรายได้จะต่ำกว่าเป้าหมาย โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากกรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40%