"สนธิ" เตือน "วุฒิพงษ์" เลิกอัตตา มีสัมมาคารวะ หยุดสร้างกระแสทำลายคนอื่นเพื่อเพียงต้องการทำความคิดของตัวเอง วอนทุกฝ่ายเห็นใจ"สพรั่ง" การันตีเป็นคนสมถะ ทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมือง พร้อมเผย 9 ประเด็นคาใจ ที่ดินรัชดา ระบุ “แม้ว-อ้อ” ผิดในฐานะผู้ซื้อ “หม่อมอุ๋ย” ต้องผิดในฐานะผู้ขายด้วย กร้าวเตรียมไล่เช็กบิลคิวต่อไป
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ดำเนินรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 22 มิ.ย. โดยได้กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานบอร์ดทีโอที กับ นายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ อดีตกรรมการบอร์ดและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอทีที่เพิ่งถูกปลดพ้นทุกตำแหน่งว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร และรู้สึกเห็นใจ พล.อ.สพรั่ง ขณะเดียวกันต้องให้ข้อคิดกับ นายวุฒิพงษ์ ในฐานะที่เป็นน้องคนหนึ่ง
“ผมอยากจะขอพูดถึงเรื่องของคน 2 คน ที่ผมรัก เป็นคนดี 2 คน แต่ว่าผมจำเป็นต้องพูด ผมเห็นใจ พล.อ.สพรั่ง อย่างมากๆ ในขณะเดียวกันผมคิดว่าผมอยากจะแนะนำแล้วก็ให้ข้อคิดคุณพุฒิพงษ์ ซึ่งผมเองก็รักเหมือนน้องคนหนึ่ง คุณวุฒิพงษ์เป็นอดีตนักเรียนอก สอบได้ที่ 1 ของประเทศไทย ก็ต้องเป็นคนเก่ง แต่ตอนที่ พล.อ.สพรั่ง ตั้งคุณวุฒิพงษ์ ก็ไม่ได้ถามผมสักคำ เพราะถ้าคุณสพรั่ง จะตั้งแล้วถามผมสักคำผมจะบอกตรงๆ ว่าอย่าตั้งเลย เพราะว่าคุณวุฒิพงษ์ เป็นคนดี แต่ท่านทำงานกับใครไม่ได้ในโลกนี้”นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ได้ยืนยันความจริงจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สพรั่ง ที่เล่าถึงสาเหตุของการปลด นายวุฒิพงษ์ พ้นจากตำแหน่งกรรมการบอร์ดทีโอทีว่ามีปัญหาในการทำงาน ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่เคารพผู้บังคับบัญชา ไม่ฟังความเห็นของคนอื่น คิดว่าตัวเองเก่งอยู่คนเดียว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ก่อนประชุมบอร์ดทีโอทีเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ในวันพุธได้เชิญนายวุฒิพงษ์ มาคุยกัน ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง ได้บอกนายวุฒิพงษ์ ไปว่า ถ้าเป็นกรรมการบอร์ดแล้วการมีสัมมาคารวะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่นึกจะพูดอะไรก็ไม่เกรงอกเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชา ในกรณีนี้คือรัฐมนตรีสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีคนเดียวที่ไม่ใส่เกียร์ว่าง กล้ารื้อสัมปทานของระบอบทักษิณ แต่นายวุฒิพงษ์ นั้น ในการพูดจากับรัฐมนตรีสิทธิชัยทุกๆ ครั้ง จะพูดอย่างไม่มีสัมมาคารวะ
“เรื่องที่มันปะทุเกิดเหตุขึ้นมาก็คือ วันที่คุณวุฒิพงษ์ ในฐานะผู้รักษาการซีอีโอในบอร์ดองค์การโทรศัพท์ ได้เดินทางไปทางภาคใต้เพื่อไปพูดกับบรรดาพนักงานทีโอที คุณวุฒิพงษ์ ขึ้นไปบนเวที แล้วก็ยอมรับกับผมว่า ลืมตัวไป นึกว่ายืนอยู่ในสนามหลวง ก็เลยไปพูดบอกว่า รัฐมนตรีคนนี้คัดค้านเทเลคอมพูล ถ้าจะทำเทเลคอมพูลให้สำเร็จต้องข้ามศพผมไปก่อน คุณวุฒิพงษ์ก็บอก ในเมื่อเขาต้องการให้ข้ามศพ เราทำให้เขาสมหวังดีไหม ผมถือว่าการพูดเช่นนี้เป็นการพูดที่ไม่มีวุฒิภาวะเลยแม้แต่นิดเดียว ผมถือว่าใช้ไม่ได้ วันนี้ผมจะพูดจาอย่างตรงไปตรงมา เพราะโดยพื้นฐานอย่างนี้แล้ว ต้องลาออก ผมก็บอกคุณวุฒิพงษ์ไป ที่ถูกต้อง ต้องลาออก”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะว่า มีการประชุมลับของบอร์ดทีโอที ในการประชุมลับนั้น พล.อ.สพรั่ง ได้พูดว่าทหารทางใต้นั้นตายเอาทุกวัน มีปัญหาในเรื่องยุทโธปกรณ์ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นอะไรก็ตาม ขอไม่เปิดเผย แต่ถ้ามียุทโธปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์อันนี้ จะลดการตายของทหารลงไปได้ เพราะฉะนั้นก็เสนอว่า ยุทโธปกรณ์อันนี้ทางทีโอทีจะช่วยเหลืออะไรทางทหารได้บ้าง โดยหลักการจะยอมรับไหม บอร์ดก็ยอมรับกัน แต่ว่ายังไม่ได้ตกลงกันเลยว่าจะช่วยเหลือกันแบบไหน จะใช้เงินซื้อของให้ นายวุฒิพงษ์ ก็ลุกขึ้นมาค้านบอร์ดทั้งบอร์ดที่เห็นด้วย และบอกให้บันทึกลงไปเลยว่าเขาคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับมตินี้ ให้ใส่ชื่อลงไปเลย ซึ่งโดยมารยาทแล้วนายวุฒิพงษ์ ไม่ควรทำ
“คุณสพรั่ง เขาต้องการเสนอว่า โดยหลักการแล้วเห็นด้วยไหม คุณวุฒิพงษ์ ไม่ควรค้านเรื่องนี้ หลักการแบบนี้คุณจะเอามาใช้กับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ และที่สำคัญมารยาทคุณไม่มีเลย เพราะว่าเขาประชุมลับกัน คุณเอาความลับอันนี้ออกมาพูด ออกมาทำร้ายทำลาย คุณก็รู้ว่าในขณะนี้ พล.อ.สพรั่ง กำลังเป็นเป้าถูกระบอบทักษิณโจมตี ทำไมระบอบทักษิณถึงเกลียด พล.อ.สพรั่ง ก็เพราะ พล.อ.สพรั่ง เป็นทหารที่กล้าลุกขึ้นมาประจันหน้ากับระบอบทักษิณ ตั้งแต่ทักษิณยังมีอำนาจอยู่”นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อยากให้พันธมิตรฯเข้าใจตรงนี้ อย่าไปตำหนิ พล.อ.สพรั่ง และเห็นใจ พล.อ.สพรั่ง มาก เพราะถูกเตะตัดขาตลอด บอร์ดการท่าอากาศยานฯ กับบอร์ดทีโอที พล.อ.สพรั่ง ไม่อยากรับ เพราะส่วนใหญ่ตั้งมาโดยคนของระบอบทักษิณ แต่ก็ต้องรับ พร้อมย้ำว่า พล.อ.สพรั่ง เป็นคนดี เป็นคนที่รักชาติ รักบ้าน รักเมือง ตัวเองไม่ได้มีอะไรเลย มีบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งเป็นบ้านเมีย ไม่ใช่บ้านตัวเอง ลูกก็ได้ทุนไปเรียนทหารที่เยอรมนีและสเปน เวลาจะไปเยี่ยมลูกที ต้องเก็บเงินเก็บทองแทบเป็นแทบตาย แล้วค่อยบินไป เมียก็ทำมาหากินอย่างสุจริต เปิดร้านอาหารเวียดนามร้านเล็กๆ นอกจากรถประจำตำแหน่งที่ คมช.แล้ว รถที่เมียใช้ก็ฮอนด้าเก่าๆ คันหนึ่ง คนประเภทนี้ยืนยันได้ว่ารับใช้ชาติบ้านเมืองมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
“ผมว่าให้คุณวุฒิพงษ์ อยู่คนเดียว เพราะต่อไปนี้คงไม่มีใครกล้ายุ่งกับคุณแล้ว คุณจะทำสถาบันสหัสวรรษก็ทำของคุณคนเดียวไป เพราะคุณอีโก้ มีอัตตาสูง เป็นอันตรายพอๆ กับพวกที่สนามหลวง แต่อันตรายกันคนละด้าน คุณอันตรายที่หันมาทำลายพวกเดียวกันเองเพียงต้องการทำตามคิดของตัวเอง คิดว่าตัวเองถูกต้อง เข้าทำนองความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด”นายสนธิ กล่าว
*** ที่ดินรัชดา“แม้ว-อ้อ”งกจนได้เรื่อง
ช่วงที่ 2 นายสนธิ ได้กล่าวถึงคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกจำนวน 33 ไร่ ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีความเห็นชี้มูลความผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ว่า ที่ดินเดิมเป็นของบริษัทเอราวัณทรัสต์ ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ที่ล้มไปแล้ว และกลายไปเป็นของกองทุนฟื้นฟูพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพราะกองทุนฟื้นฟูปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทดังกล่าว จึงไปยึดคืนมาเมื่อปี 2538 ซึ่งที่ดินผืนนั้นมีอาถรรพ์ เพราะเมื่อปี 2540-2543 ในช่วงรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จนถึงรัฐบาลชวน หลีกภัย ก็ได้เคยเอาที่ดินนี้ออกมาประมูล แต่ไม่สำเร็จ
จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้ามาเป็นนายกฯ ก็เอาที่ดินนี้มาประมูลใหม่ โดยคนที่เกี่ยวข้องกับการประมูลครั้งนี้มี 1.ร.อ.สุชาติ เชาวน์วิศิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่กำกับกองทุนฯ 2.ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานกองทุน 3.นายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง 4.นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 5.นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ผู้จัดการกองทุนฯ ซึ่งคุณหญิงพจมาน ประมูลได้ 6.นายบัญญัติ จันทน์เสนะ อธิบดีกรมที่ดิน และ 7.นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้น
โดยในขณะนั้นใช้การประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้คอมพิวเตอร์เคาะกันไปเรื่อยๆ จนกว่าใครจะเสนอราคาสูงที่สุด โดยราคากลางขณะนั้นอยู่ที่ 870 ล้านบาท ซึ่งคนที่เข้าประมูลในขณะนั้นมี 3 บริษัท จะต้องวางเงิน 10 ล้านบาทเพื่อเข้าประมูล ปรากฏว่าก็ไม่มีใครได้ที่ดินผืนดังกล่าว เพราะราคาสูงเกินไป
จากนั้นได้มีการเปลี่ยนประธานกองทุนฯ ไปเป็นนางสว่างจิตต์ ซึ่งมีความไม่ชอบมาพากลคือ มีการเปิดประมูลที่ดินผืนดังกล่าวอีกครั้ง แต่กลับบอกว่าเป็นการประมูลครั้งที่ 1 นอกจากนี้ยังลดเนื้อที่ลงจำนวน 2 ไร่ โดยระบุว่าเอาเนื้อที่ดังกล่าวไปสร้างถนน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วต้องการเปลียนสเปก เพื่อให้ราคากลางลดลง อีกทั้งยังใช้วิธีให้ผู้ที่ต้องการประมูลยื่นซองประกวดราคา โดยในขณะนั้นมีบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ บริษัทโนเบิ้ลดิวิลอปเมนท์ บริษัทเอเชียนพรอพเพอร์ตี้ และนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ซึ่งเป็นตัวแทนของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ปรากฏว่านายสมบูรณ์ ประมูลได้ด้วยราคา 772 ล้านบาท ซึ่งผิดปกติ โดยขณะนี้ คตส.กำลังจะยื่นเรื่องฟ้อง 3 บริษัท ว่ามีการฮั้วกัน
แต่นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน มีสิทธิ์ประมูล เพราะเหมือนกับการไปซื้อของ แต่มันผิดตรงที่ว่า เผอิญสามีคุณพจมาน ดันทะลึ่งเป็นนายกฯ ซึ่งกฎหมายมาตรา 100 บอกชัดเจนว่า ผู้ที่มีอำนาจในรัฐนั้น ไม่ว่าญาติพี่น้อง ลูกเมีย หรือพ่อแม่ จะไปทำนิติกรรมอะไรกับรัฐไม่ได้ ดังนั้นศาลจึงไม่ต้องพิสูจน์อะไรเลย พิสูจน์เพียงแค่ว่านายกฯ นั้นใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบใช่หรือไม่
ปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้บัตรประจำตัวนายกฯ เซ็นมอบอำนาจ รวมทั้ง สตง.ก็ตรวจสอบแล้วระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้ที่ดูแลรับผิดชอบ ถ้าอย่างนั้นนายกฯ ก็ผิด 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องไปดูเลยว่าฮั้วประมูล หรือไม่ฮั้วประมูล
ที่น่าสนใจอย่าง มีเรื่องอยู่ 9 ประเด็น ที่คาใจประชาชน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงไม่ได้ คือ ในการประมูลครั้งที่ 2 ที่ คนประมูลก็คือ คุณหญิงพจมาน ประมูลไปได้ราคา 772 ล้าน โดยที่กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่ตั้งราคากลาง โดยครั้งแรกบอกว่าการเข้าประมูลต้องวางมัดจำ 10 ล้านบาท แต่ครั้งที่ 2 ต้องวางมัด 100 ล้านบาท แสดงว่าล็อกเอาไว้ให้พวกตัวเองเข้ามาประมูล อันนี้เห็นได้ชัด เพราะระเบียบสำนักนายกฯ ตั้งเอาไว้ว่า การประมูลนั้น เงินค้ำประกันมัดจำการประมูลนั้นต้องไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์
รวมทั้งในการประกาศประมูลนั้นน่าสนใจมาก มีรายละเอียดการซื้อซองประกวดราคา วันยื่นซองประกวดราคา วันเปิดซองประกวดราคาไว้ครบถ้วน แต่หนังสือชี้ชวนให้บริษัทต่างๆ เข้าร่วมประกวดราคา จะมีเฉพาะวันที่เข้าประมูลทั้งนั้น แต่ไม่มีรายละเอียดตามหนังสือประกาศประมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ระบุวันซื้อซองว่าจะต้องเข้าไปซื้อซองเมื่อไร นี่คือการเตรียมตั้งสัญญาในการเริ่มฮั้วกัน แล้วอยู่ๆ ก็ประกาศวันยื่นซองกันเลย ก็รู้เฉพาะพรรคพวกตัวเองที่เข้ามายื่นเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ คนที่ร่วมประมูล 3 รายนั้น เป็นญาติสนิทมิตรสหายของรัฐบาลทั้งสิ้น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็คือ คุณอนันต์ อัศวโภคิน ซึ่งเป็นคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ บริษัทโนเบิล ดิเวล็อปเมนต์ ของนายกิตติ ธนากิจอำนวย ลูกเขยนายอำนวย วีรวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งใกล้ชิดสนิทสนมอย่างลึกซึ้ง และดูแล ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาตลอด และบริษัทเอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ ที่ไม่ได้เข้าประมูล เจ้าของคือนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน น้องชายนายอนันต์ อัศวโภคิน ซึ่งเป็นคนกันเองทั้งนั้น รู้เห็นเป็นใจกันหมด
พอโอนเสร็จ รีบเร่งโอนที่ดินของกองทุนฯ ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เพราะเอื้อผู้ชนะประมูลไม่ต้องเสียภาษีมาก โกงแม้กระทั่งค่าโอนที่ดินแค่ 10 กว่าล้าน ก็ยังไม่ยอมเสีย คือรัฐบาลตั้งอัตราค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน ซึ่งถ้าโอนภายในปี 2546 ก็จะเสียภาษีแค่ 722,000 บาท ถ้าโอน 47 เสีย 2 เปอร์เซ็นต์ เสีย 15 ล้านบาท เห็นไหม มีเงินเป็นแสนๆ ล้าน แล้วภาษีแค่ 13-14 ล้านบาทก็ไม่ยอมเสีย
นอกจากนี้ การเร่งรีบการขายที่ดินของคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือหรือเอื้อให้กับผู้มีอำนาจทางการเมืองบางกลุ่ม เพราะตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. หลังจากที่โอนมาแล้ว เดิมทีกรมที่ดินตั้งราคากลางเอาไว้ 52,000 บาทต่อตารางเมตร พออีโอนเสร็จ วันที่ 2 กรมที่ดินเพิ่มราคากลางขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์ เป็น 64,000 ทันที เขาเรียกว่ากินไม่รู้จักหยุด
ถามว่าทำไมกองทุนฟื้นฟูฯ ไม่รอขายในช่วงที่ที่ดินปรับตัวสูงขึ้น ขายตอนนี้ได้ตารางวาละ 270,000 บาท แล้วทำไมเร่งขายตอนนั้น เพื่อราคาแค่ 700 กว่าล้าน นี่ไม่เอื้อกันแล้วเขาเรียกว่าอะไร ส่วนสาเหตุที่ไม่มีผู้เข้าร่วมประมูลมาก เพราะว่าที่ดินตรงนั้นเป็นที่ดินที่ติดปัญหาเรื่องอาคารชุด เนื่องจากห้ามไม่ให้ที่ดินทั้ง 2 ฝั่งถนนรัชดาฯ สร้างตึกสูงไม่เกิน 5 ชั้น หรือ 23 เมตร แสดงว่าที่ดิน 35 ไร่ที่ประมูลได้ ติดกฎบทบัญญัติของ กทม.ว่าห้ามสร้างตึกสูงเกิน 5 ชั้น แต่พอหลังจากที่ประมูลได้ กทม.ได้มีการยกเลิก
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ในตอนนั้น เตรียมที่ยื่นอภิปราย ร.อ.สุชาติ ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนั้น จะได้โยงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีการย้าย ร.อ.สุชาติ ไปเป็นรองนายกฯ แล้วตั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขึ้นมาแทน ซึ่งพอจะอภิปรายประธานสภาฯ บอกว่าไม่ได้แล้ว เพราะ ร.อ.สุชาติ เป็นรองนายกฯ แล้ว ไม่สามารถที่จะตอบปัญหาเรื่องของกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ และพอมาถามนายสมคิด นายสมคิดก็บอกว่า เพิ่งเข้ามา ไม่รู้เรื่อง ซึ่งนี่คือวิชามาร
“คุณตอบคำถามผมหน่อย ถ้าคนซื้อผิด ขายขายผิดไหม คนขายต้องผิด ถ้าศาลพิพากษาว่าคนซื้อผิด ถ้าอย่างนั้นคนขายก็ต้องผิด เพราะว่าคนซื้อจะซื้อไม่ได้ ถ้าคนขายไม่ขายให้ แสดงว่าคนขายรู้อยู่แล้วว่าผิด ก็เลยขายให้ ผมอยากให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รับทราบว่า เรื่องนี้ผมไม่ละเว้น ผมต้องตามเช็กบิลคุณ ผมชอบคุณฟ้องผมหมิ่นประมาท ผมจะได้เอาความจริงไปเปิดเผย”นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ดำเนินรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 22 มิ.ย. โดยได้กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานบอร์ดทีโอที กับ นายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ อดีตกรรมการบอร์ดและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอทีที่เพิ่งถูกปลดพ้นทุกตำแหน่งว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร และรู้สึกเห็นใจ พล.อ.สพรั่ง ขณะเดียวกันต้องให้ข้อคิดกับ นายวุฒิพงษ์ ในฐานะที่เป็นน้องคนหนึ่ง
“ผมอยากจะขอพูดถึงเรื่องของคน 2 คน ที่ผมรัก เป็นคนดี 2 คน แต่ว่าผมจำเป็นต้องพูด ผมเห็นใจ พล.อ.สพรั่ง อย่างมากๆ ในขณะเดียวกันผมคิดว่าผมอยากจะแนะนำแล้วก็ให้ข้อคิดคุณพุฒิพงษ์ ซึ่งผมเองก็รักเหมือนน้องคนหนึ่ง คุณวุฒิพงษ์เป็นอดีตนักเรียนอก สอบได้ที่ 1 ของประเทศไทย ก็ต้องเป็นคนเก่ง แต่ตอนที่ พล.อ.สพรั่ง ตั้งคุณวุฒิพงษ์ ก็ไม่ได้ถามผมสักคำ เพราะถ้าคุณสพรั่ง จะตั้งแล้วถามผมสักคำผมจะบอกตรงๆ ว่าอย่าตั้งเลย เพราะว่าคุณวุฒิพงษ์ เป็นคนดี แต่ท่านทำงานกับใครไม่ได้ในโลกนี้”นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ได้ยืนยันความจริงจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สพรั่ง ที่เล่าถึงสาเหตุของการปลด นายวุฒิพงษ์ พ้นจากตำแหน่งกรรมการบอร์ดทีโอทีว่ามีปัญหาในการทำงาน ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่เคารพผู้บังคับบัญชา ไม่ฟังความเห็นของคนอื่น คิดว่าตัวเองเก่งอยู่คนเดียว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ก่อนประชุมบอร์ดทีโอทีเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ในวันพุธได้เชิญนายวุฒิพงษ์ มาคุยกัน ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง ได้บอกนายวุฒิพงษ์ ไปว่า ถ้าเป็นกรรมการบอร์ดแล้วการมีสัมมาคารวะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่นึกจะพูดอะไรก็ไม่เกรงอกเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชา ในกรณีนี้คือรัฐมนตรีสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีคนเดียวที่ไม่ใส่เกียร์ว่าง กล้ารื้อสัมปทานของระบอบทักษิณ แต่นายวุฒิพงษ์ นั้น ในการพูดจากับรัฐมนตรีสิทธิชัยทุกๆ ครั้ง จะพูดอย่างไม่มีสัมมาคารวะ
“เรื่องที่มันปะทุเกิดเหตุขึ้นมาก็คือ วันที่คุณวุฒิพงษ์ ในฐานะผู้รักษาการซีอีโอในบอร์ดองค์การโทรศัพท์ ได้เดินทางไปทางภาคใต้เพื่อไปพูดกับบรรดาพนักงานทีโอที คุณวุฒิพงษ์ ขึ้นไปบนเวที แล้วก็ยอมรับกับผมว่า ลืมตัวไป นึกว่ายืนอยู่ในสนามหลวง ก็เลยไปพูดบอกว่า รัฐมนตรีคนนี้คัดค้านเทเลคอมพูล ถ้าจะทำเทเลคอมพูลให้สำเร็จต้องข้ามศพผมไปก่อน คุณวุฒิพงษ์ก็บอก ในเมื่อเขาต้องการให้ข้ามศพ เราทำให้เขาสมหวังดีไหม ผมถือว่าการพูดเช่นนี้เป็นการพูดที่ไม่มีวุฒิภาวะเลยแม้แต่นิดเดียว ผมถือว่าใช้ไม่ได้ วันนี้ผมจะพูดจาอย่างตรงไปตรงมา เพราะโดยพื้นฐานอย่างนี้แล้ว ต้องลาออก ผมก็บอกคุณวุฒิพงษ์ไป ที่ถูกต้อง ต้องลาออก”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะว่า มีการประชุมลับของบอร์ดทีโอที ในการประชุมลับนั้น พล.อ.สพรั่ง ได้พูดว่าทหารทางใต้นั้นตายเอาทุกวัน มีปัญหาในเรื่องยุทโธปกรณ์ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นอะไรก็ตาม ขอไม่เปิดเผย แต่ถ้ามียุทโธปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์อันนี้ จะลดการตายของทหารลงไปได้ เพราะฉะนั้นก็เสนอว่า ยุทโธปกรณ์อันนี้ทางทีโอทีจะช่วยเหลืออะไรทางทหารได้บ้าง โดยหลักการจะยอมรับไหม บอร์ดก็ยอมรับกัน แต่ว่ายังไม่ได้ตกลงกันเลยว่าจะช่วยเหลือกันแบบไหน จะใช้เงินซื้อของให้ นายวุฒิพงษ์ ก็ลุกขึ้นมาค้านบอร์ดทั้งบอร์ดที่เห็นด้วย และบอกให้บันทึกลงไปเลยว่าเขาคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับมตินี้ ให้ใส่ชื่อลงไปเลย ซึ่งโดยมารยาทแล้วนายวุฒิพงษ์ ไม่ควรทำ
“คุณสพรั่ง เขาต้องการเสนอว่า โดยหลักการแล้วเห็นด้วยไหม คุณวุฒิพงษ์ ไม่ควรค้านเรื่องนี้ หลักการแบบนี้คุณจะเอามาใช้กับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ และที่สำคัญมารยาทคุณไม่มีเลย เพราะว่าเขาประชุมลับกัน คุณเอาความลับอันนี้ออกมาพูด ออกมาทำร้ายทำลาย คุณก็รู้ว่าในขณะนี้ พล.อ.สพรั่ง กำลังเป็นเป้าถูกระบอบทักษิณโจมตี ทำไมระบอบทักษิณถึงเกลียด พล.อ.สพรั่ง ก็เพราะ พล.อ.สพรั่ง เป็นทหารที่กล้าลุกขึ้นมาประจันหน้ากับระบอบทักษิณ ตั้งแต่ทักษิณยังมีอำนาจอยู่”นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อยากให้พันธมิตรฯเข้าใจตรงนี้ อย่าไปตำหนิ พล.อ.สพรั่ง และเห็นใจ พล.อ.สพรั่ง มาก เพราะถูกเตะตัดขาตลอด บอร์ดการท่าอากาศยานฯ กับบอร์ดทีโอที พล.อ.สพรั่ง ไม่อยากรับ เพราะส่วนใหญ่ตั้งมาโดยคนของระบอบทักษิณ แต่ก็ต้องรับ พร้อมย้ำว่า พล.อ.สพรั่ง เป็นคนดี เป็นคนที่รักชาติ รักบ้าน รักเมือง ตัวเองไม่ได้มีอะไรเลย มีบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งเป็นบ้านเมีย ไม่ใช่บ้านตัวเอง ลูกก็ได้ทุนไปเรียนทหารที่เยอรมนีและสเปน เวลาจะไปเยี่ยมลูกที ต้องเก็บเงินเก็บทองแทบเป็นแทบตาย แล้วค่อยบินไป เมียก็ทำมาหากินอย่างสุจริต เปิดร้านอาหารเวียดนามร้านเล็กๆ นอกจากรถประจำตำแหน่งที่ คมช.แล้ว รถที่เมียใช้ก็ฮอนด้าเก่าๆ คันหนึ่ง คนประเภทนี้ยืนยันได้ว่ารับใช้ชาติบ้านเมืองมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
“ผมว่าให้คุณวุฒิพงษ์ อยู่คนเดียว เพราะต่อไปนี้คงไม่มีใครกล้ายุ่งกับคุณแล้ว คุณจะทำสถาบันสหัสวรรษก็ทำของคุณคนเดียวไป เพราะคุณอีโก้ มีอัตตาสูง เป็นอันตรายพอๆ กับพวกที่สนามหลวง แต่อันตรายกันคนละด้าน คุณอันตรายที่หันมาทำลายพวกเดียวกันเองเพียงต้องการทำตามคิดของตัวเอง คิดว่าตัวเองถูกต้อง เข้าทำนองความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด”นายสนธิ กล่าว
*** ที่ดินรัชดา“แม้ว-อ้อ”งกจนได้เรื่อง
ช่วงที่ 2 นายสนธิ ได้กล่าวถึงคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกจำนวน 33 ไร่ ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีความเห็นชี้มูลความผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ว่า ที่ดินเดิมเป็นของบริษัทเอราวัณทรัสต์ ซึ่งเป็นบริษัทไฟแนนซ์ที่ล้มไปแล้ว และกลายไปเป็นของกองทุนฟื้นฟูพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพราะกองทุนฟื้นฟูปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทดังกล่าว จึงไปยึดคืนมาเมื่อปี 2538 ซึ่งที่ดินผืนนั้นมีอาถรรพ์ เพราะเมื่อปี 2540-2543 ในช่วงรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จนถึงรัฐบาลชวน หลีกภัย ก็ได้เคยเอาที่ดินนี้ออกมาประมูล แต่ไม่สำเร็จ
จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้ามาเป็นนายกฯ ก็เอาที่ดินนี้มาประมูลใหม่ โดยคนที่เกี่ยวข้องกับการประมูลครั้งนี้มี 1.ร.อ.สุชาติ เชาวน์วิศิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่กำกับกองทุนฯ 2.ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานกองทุน 3.นายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง 4.นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 5.นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ผู้จัดการกองทุนฯ ซึ่งคุณหญิงพจมาน ประมูลได้ 6.นายบัญญัติ จันทน์เสนะ อธิบดีกรมที่ดิน และ 7.นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในขณะนั้น
โดยในขณะนั้นใช้การประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้คอมพิวเตอร์เคาะกันไปเรื่อยๆ จนกว่าใครจะเสนอราคาสูงที่สุด โดยราคากลางขณะนั้นอยู่ที่ 870 ล้านบาท ซึ่งคนที่เข้าประมูลในขณะนั้นมี 3 บริษัท จะต้องวางเงิน 10 ล้านบาทเพื่อเข้าประมูล ปรากฏว่าก็ไม่มีใครได้ที่ดินผืนดังกล่าว เพราะราคาสูงเกินไป
จากนั้นได้มีการเปลี่ยนประธานกองทุนฯ ไปเป็นนางสว่างจิตต์ ซึ่งมีความไม่ชอบมาพากลคือ มีการเปิดประมูลที่ดินผืนดังกล่าวอีกครั้ง แต่กลับบอกว่าเป็นการประมูลครั้งที่ 1 นอกจากนี้ยังลดเนื้อที่ลงจำนวน 2 ไร่ โดยระบุว่าเอาเนื้อที่ดังกล่าวไปสร้างถนน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วต้องการเปลียนสเปก เพื่อให้ราคากลางลดลง อีกทั้งยังใช้วิธีให้ผู้ที่ต้องการประมูลยื่นซองประกวดราคา โดยในขณะนั้นมีบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ บริษัทโนเบิ้ลดิวิลอปเมนท์ บริษัทเอเชียนพรอพเพอร์ตี้ และนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ซึ่งเป็นตัวแทนของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ปรากฏว่านายสมบูรณ์ ประมูลได้ด้วยราคา 772 ล้านบาท ซึ่งผิดปกติ โดยขณะนี้ คตส.กำลังจะยื่นเรื่องฟ้อง 3 บริษัท ว่ามีการฮั้วกัน
แต่นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน มีสิทธิ์ประมูล เพราะเหมือนกับการไปซื้อของ แต่มันผิดตรงที่ว่า เผอิญสามีคุณพจมาน ดันทะลึ่งเป็นนายกฯ ซึ่งกฎหมายมาตรา 100 บอกชัดเจนว่า ผู้ที่มีอำนาจในรัฐนั้น ไม่ว่าญาติพี่น้อง ลูกเมีย หรือพ่อแม่ จะไปทำนิติกรรมอะไรกับรัฐไม่ได้ ดังนั้นศาลจึงไม่ต้องพิสูจน์อะไรเลย พิสูจน์เพียงแค่ว่านายกฯ นั้นใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบใช่หรือไม่
ปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้บัตรประจำตัวนายกฯ เซ็นมอบอำนาจ รวมทั้ง สตง.ก็ตรวจสอบแล้วระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้ที่ดูแลรับผิดชอบ ถ้าอย่างนั้นนายกฯ ก็ผิด 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องไปดูเลยว่าฮั้วประมูล หรือไม่ฮั้วประมูล
ที่น่าสนใจอย่าง มีเรื่องอยู่ 9 ประเด็น ที่คาใจประชาชน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงไม่ได้ คือ ในการประมูลครั้งที่ 2 ที่ คนประมูลก็คือ คุณหญิงพจมาน ประมูลไปได้ราคา 772 ล้าน โดยที่กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่ตั้งราคากลาง โดยครั้งแรกบอกว่าการเข้าประมูลต้องวางมัดจำ 10 ล้านบาท แต่ครั้งที่ 2 ต้องวางมัด 100 ล้านบาท แสดงว่าล็อกเอาไว้ให้พวกตัวเองเข้ามาประมูล อันนี้เห็นได้ชัด เพราะระเบียบสำนักนายกฯ ตั้งเอาไว้ว่า การประมูลนั้น เงินค้ำประกันมัดจำการประมูลนั้นต้องไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์
รวมทั้งในการประกาศประมูลนั้นน่าสนใจมาก มีรายละเอียดการซื้อซองประกวดราคา วันยื่นซองประกวดราคา วันเปิดซองประกวดราคาไว้ครบถ้วน แต่หนังสือชี้ชวนให้บริษัทต่างๆ เข้าร่วมประกวดราคา จะมีเฉพาะวันที่เข้าประมูลทั้งนั้น แต่ไม่มีรายละเอียดตามหนังสือประกาศประมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ระบุวันซื้อซองว่าจะต้องเข้าไปซื้อซองเมื่อไร นี่คือการเตรียมตั้งสัญญาในการเริ่มฮั้วกัน แล้วอยู่ๆ ก็ประกาศวันยื่นซองกันเลย ก็รู้เฉพาะพรรคพวกตัวเองที่เข้ามายื่นเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ คนที่ร่วมประมูล 3 รายนั้น เป็นญาติสนิทมิตรสหายของรัฐบาลทั้งสิ้น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็คือ คุณอนันต์ อัศวโภคิน ซึ่งเป็นคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ บริษัทโนเบิล ดิเวล็อปเมนต์ ของนายกิตติ ธนากิจอำนวย ลูกเขยนายอำนวย วีรวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งใกล้ชิดสนิทสนมอย่างลึกซึ้ง และดูแล ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาตลอด และบริษัทเอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ ที่ไม่ได้เข้าประมูล เจ้าของคือนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน น้องชายนายอนันต์ อัศวโภคิน ซึ่งเป็นคนกันเองทั้งนั้น รู้เห็นเป็นใจกันหมด
พอโอนเสร็จ รีบเร่งโอนที่ดินของกองทุนฯ ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เพราะเอื้อผู้ชนะประมูลไม่ต้องเสียภาษีมาก โกงแม้กระทั่งค่าโอนที่ดินแค่ 10 กว่าล้าน ก็ยังไม่ยอมเสีย คือรัฐบาลตั้งอัตราค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน ซึ่งถ้าโอนภายในปี 2546 ก็จะเสียภาษีแค่ 722,000 บาท ถ้าโอน 47 เสีย 2 เปอร์เซ็นต์ เสีย 15 ล้านบาท เห็นไหม มีเงินเป็นแสนๆ ล้าน แล้วภาษีแค่ 13-14 ล้านบาทก็ไม่ยอมเสีย
นอกจากนี้ การเร่งรีบการขายที่ดินของคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือหรือเอื้อให้กับผู้มีอำนาจทางการเมืองบางกลุ่ม เพราะตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. หลังจากที่โอนมาแล้ว เดิมทีกรมที่ดินตั้งราคากลางเอาไว้ 52,000 บาทต่อตารางเมตร พออีโอนเสร็จ วันที่ 2 กรมที่ดินเพิ่มราคากลางขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์ เป็น 64,000 ทันที เขาเรียกว่ากินไม่รู้จักหยุด
ถามว่าทำไมกองทุนฟื้นฟูฯ ไม่รอขายในช่วงที่ที่ดินปรับตัวสูงขึ้น ขายตอนนี้ได้ตารางวาละ 270,000 บาท แล้วทำไมเร่งขายตอนนั้น เพื่อราคาแค่ 700 กว่าล้าน นี่ไม่เอื้อกันแล้วเขาเรียกว่าอะไร ส่วนสาเหตุที่ไม่มีผู้เข้าร่วมประมูลมาก เพราะว่าที่ดินตรงนั้นเป็นที่ดินที่ติดปัญหาเรื่องอาคารชุด เนื่องจากห้ามไม่ให้ที่ดินทั้ง 2 ฝั่งถนนรัชดาฯ สร้างตึกสูงไม่เกิน 5 ชั้น หรือ 23 เมตร แสดงว่าที่ดิน 35 ไร่ที่ประมูลได้ ติดกฎบทบัญญัติของ กทม.ว่าห้ามสร้างตึกสูงเกิน 5 ชั้น แต่พอหลังจากที่ประมูลได้ กทม.ได้มีการยกเลิก
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ในตอนนั้น เตรียมที่ยื่นอภิปราย ร.อ.สุชาติ ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนั้น จะได้โยงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีการย้าย ร.อ.สุชาติ ไปเป็นรองนายกฯ แล้วตั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขึ้นมาแทน ซึ่งพอจะอภิปรายประธานสภาฯ บอกว่าไม่ได้แล้ว เพราะ ร.อ.สุชาติ เป็นรองนายกฯ แล้ว ไม่สามารถที่จะตอบปัญหาเรื่องของกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ และพอมาถามนายสมคิด นายสมคิดก็บอกว่า เพิ่งเข้ามา ไม่รู้เรื่อง ซึ่งนี่คือวิชามาร
“คุณตอบคำถามผมหน่อย ถ้าคนซื้อผิด ขายขายผิดไหม คนขายต้องผิด ถ้าศาลพิพากษาว่าคนซื้อผิด ถ้าอย่างนั้นคนขายก็ต้องผิด เพราะว่าคนซื้อจะซื้อไม่ได้ ถ้าคนขายไม่ขายให้ แสดงว่าคนขายรู้อยู่แล้วว่าผิด ก็เลยขายให้ ผมอยากให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รับทราบว่า เรื่องนี้ผมไม่ละเว้น ผมต้องตามเช็กบิลคุณ ผมชอบคุณฟ้องผมหมิ่นประมาท ผมจะได้เอาความจริงไปเปิดเผย”นายสนธิ กล่าว