xs
xsm
sm
md
lg

สนช.เข้มโฆษณาเหล้า-ห้ามโชว์ขวดหลัง 4 ทุ่ม!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อนุกรรมาธิการมีมติคุมเข้มโฆษณาเหล้า ช่วงตี 5 – 4 ทุ่มห้ามโฆษณาเด็ดขาด ส่วนหลัง 4 ทุ่ม-เที่ยงคืนห้ามโชว์ขวดเหล้า และหลังเที่ยงคืน-ตี 5 ให้โชว์สินค้าได้ แต่ลดเวลาลงเหลือ 3 วินาที ระบุการประชุมนัดหน้าถกการโฆษณาในอินเตอร์เน็ต โรงหนัง งานมหรสพ วิทยุ พิจารณาเพิ่มเติม นักวิชาการหนุนห้ามโฆษณาเหล้าทุกรูปแบบ พร้อมเสนอทางออกคุมโฆษณาช่วงเที่ยงคืนถึงตี 5 เคียงรายการธรรมะ ระบุการใช้พื้นที่โฆษณาขายสินค้าแบ่งครึ่งกับให้ความรู้ไม่ได้ผล
 
วานนี้ ( 20 มิ.ย.) นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวภายหลังการประชุมอนุกมธ. พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมี นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เป็นประธานในการประชุมว่า ในการประชุมหารือเพิ่มเติมจากครั้งที่ผ่านมา มติที่ประชุมสรุปให้โฆษณาทางสื่อโทรทัศน์จะต้องเพิ่มความเข้มในการคุ้มครองเยาวชน หรือนักดื่มหน้าใหม่ โดยห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตั้งแต่ 05.00-22.00 น. อย่างเด็ดขาด โดยระหว่าง 22.00-00.00 น.สามารถโฆษณาได้แต่ห้ามแสดงผลิตภัณฑ์สินค้า นอกจากนี้ในช่วง 00.00-05.00 น. สามารถแสดงผลิตภัณฑ์ได้ แต่จะลดเวลาลงจากเดิม 5 วินาที เหลือ 3 วินาที
 
"อนุกรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว จะมีแพทย์บางท่านเท่านั้น ที่แสดงความเห็นคัดค้าน ยืนยันจะให้ห้ามการโฆษณาทั้งหมด อย่างไรก็ตามในการประชุมครั้งต่อไป ในวัน 26-27 มิ.ย.นี้ จะมีการนำประเด็นการโฆษณาทางสื่อวิทยุ อินเตอร์เน็ต โรงหนัง งานมหรสพต่าง ๆ มาพิจารณาด้วย"
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธรณสุขระบุว่า เมื่อคณะอนุกรรมการมีมติไม่ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สิ้นเชิงในทุกสื่อ คณะกมธ.ชุดใหญ่ สามารถที่จะไม่เห็นชอบได้นั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า การที่รมว.สธ. ให้สัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าว อาจเป็นข้อคิดเห็นส่วนตัว การที่กมธ.วิสามัญฯ ได้ตั้งคณะอนุกมธ.ขึ้นมา เพื่อพิจารณา มาตรา 31 – 34 ที่ว่าด้วยเรื่องการห้ามโฆษณา การใช้ตราสินค้า เป็นการเฉพาะ เนื่องจากที่ประชุมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการห้ามโฆษณาสิ้นเชิง เมื่อสรุปผลออกมาแล้ว ก็จะต้องนำเข้ากมธ.ชุดใหญ่เพื่อฟังความเห็นอีกครั้ง
 
ขณะเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) จัดงานเสวนาเรื่อง "ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทางออกของสังคมไทย” โดย นายธาตรี ใต้ฟ้าพูล อาจารย์ประจำคณะวารศาสตร์ และสื่อมวลชน มธ. และ กมธ.วิสามัญพิจาณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ทางออกที่ดีที่สุดในเรื่องนี้คือ การห้ามโฆษณาทุกรูปแบบ แต่หากร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถูกตัด มาตรา 31-34 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการโฆษณาออก ก็ขอเสนอแนวทางให้สามารถโฆษณาในช่วงเวลา 00.00 – 05.00 น. และต้องไม่แสดงภาพสินค้า ตราสินค้า และชื่อบริษัทผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับสินค้า และควรห้ามการโฆษณาในพื้นที่สาธารณะ โดยให้จัดกิจกรรมเฉพาะพื้นที่ที่จัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สถานบันเทิงเท่านั้น
 
ทั้งนี้ จากข้อมูลทางเว็บไซค์ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) รายงานผลประกอบการ ปี 49 พบว่า ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปลี่ยนไป ปริมาณการบริโภคเหล้าขาวในต่างจังหวัด เริ่มลดลง และคนกลุ่มดังกล่าวหันมาบริโภคเหล้าสีมากขึ้น ส่วนตลาดเบียร์ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 800% ทั้งนี้หากมีการเก็บภาษีตามดีกรีแอลกอฮอล์ ก็จะเข้าทางบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะขณะนี้สามารถเก็บภาษีเบียร์สูงกว่าเหล้าถึงเท่าตัว โดยเหล้าสี มีอัตราการผลิตเพียง 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตเบียร์ โดยปี 49 ปริมาณการผลิตเบียร์สูง 1,983.67 ล้านลิตร ขณะที่เหล้าขาวผลิตได้ 355.38 ล้านลิตร
 
"สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เยาวชนทั้งหญิง ชาย จะเริ่มต้นเป็นนักดื่ม โดยเริ่มจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดีกรีต่ำทั้งสิ้น ดังนั้น ข้อเสนอเรื่องจัดเก็บภาษีตามดีกรี เป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง และยิ่งน่าเป็นห่วงเพราะ ในสนช. มีคณะกรรมาธิการบางคนเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว"
 
นายธาตรี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้การตลาดของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใช้หลักจิตวิทยาชั้นสูง ในการเชื่อมต่อความรู้สึกเยาวชนกับตราสินค้า ด้วยการนำตราสินค้าเข้าไปทุกกิจกรรมของเยาวชน เช่น การออกค่ายกีฬา ดนตรี ฯลฯ ซึ่งเป็นเหมือนการสร้างบุญคุณ และการทำให้เกิดการห้ามโฆษณาทุกรูปแบบเป็นการป้องกันให้เยาวชนไม่ตกเป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการส่งเสริมการขาย ที่สอนให้ดื่มอย่างมีสติ แสดงว่าเรายอมรับว่าการดื่มเป็นเรื่องปกติ และการยอมให้ธุรกิจเหล่านี้เข้ามาในกลุ่มเยาวชน เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างมาก
 
นายธาตรี ยังกล่าวถึงการทำเคาท์เตอร์แอด ( Count Ad.) หรือการโฆษณาให้ความรู้ควบคู่กับการโฆษณาสินค้า ตามที่นายอัมมาร สยามวาลา นักวิจัยเกียรติคุณสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เสนอว่า สิ่งที่น่าห่วงคือ จะมีปัญหาตามมา ทั้งงบประมาณในการผลิตหนังโฆษณาที่จะต้องใช้จำนวนมาก เพื่อแข่งขันกับบริษัทเหล้าที่ไม่สามารถทราบว่าแข่งได้หรือไม่ โดยที่การแข่งขันผ่านสื่ออาจยิ่งทำให้โฆษณาได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น และแทนที่จะเกิดผลดีอาจเกิดทฤษฎีบูมเมอร์แรง ที่ส่งผลเสียเพราะยิ่งห้าม ประชาชนยิ่งสนใจ
 
ด้านนายบุญอยู่ ขอพรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า การโฆษณามีผลต่อการเพิ่มปริมาณการบริโภค กระตุ้นให้เกิดการซื้อ ธุรกิจคงไม่ยอมลงทุนเป็นพัน เป็นหมื่นล้าน ในการโฆษณา หากไม่ได้รับผลตอบแทน สิ่งที่ธุรกิจนำมาขู่ทั้งเรื่องการทำสงครามราคา และการทะลักเข้ามาของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากต่างประเทศ เป็นสิ่งตรงข้ามกับความจริง เพราะขณะนี้สิ่งที่ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องการ คือการสร้างภาพลักษณ์ตราสินค้า เนื่องจากส่งผลโดยตรงกับการเพิ่มปริมาณบริโภค และมูลค่าของสินค้า ไม่มีใครต้องการแข่งขันด้านราคา เพราะเป็นการลดกำไรตัวเอง และคงไม่มีสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาร่วมแข่งขันหากรัฐมีกฎหมายเข้มงวดในการโฆษณา
 
ขณะที่ รศ.ดร.ปาริชาติ สถาปิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ข้อเสนอในการโฆษณาให้ความรู้ควบคู่กับการโฆษณาสินค้า ของดร.อัมมาร ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นแนวทางแบบพี่น้องอย่าทะเลาะกันเหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความขัดแย้งอยู่แล้ว ข้อเสนอนี้ อาจเป็นทางออกที่ยอมรับได้ แต่ในทางวิชาการพบว่า การใช้เคาท์เตอร์ แอด ไม่ได้ผลในการลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากบริษัท สามารถผลิตสื่อโฆษณาที่จูงใจผู้บริโภคได้มากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น