เอสที แกรนด์ ประกาศลุยธุรกิจทีวีเต็มตัว ร่วมแจมเป็นผู้ผลิตรายการอีกราย หวังต่อยอดรายได้จากคอนเท้น และโฮมวิดีโอที่มีอยู่ แย้มป้อนคำหวานจีบช่อง 9 สำเร็จ ขอเวลาลงซีรี่ย์เกาหลีเดือนต.ค.นี้ หลังส่งคอนเท้นท์อื่นลงจอทางช่อง 5 และ ทีไอทีวีไปแล้ว มั่นใจสิ้นปีรายได้ขยับขึ้นกว่า 30 %
นางอำไพ สุธีสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสที แกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ เอสที วีดีโอ ผู้นำทางด้านโฮมวีดีโอ เปิดเผยว่า ปีนี้ทางบริษัทฯจะมุ่งทำธุรกิจด้านสื่อทีวี จากการนำเอาคอนเท้นท์ที่มีอยู่มาต่อยอดธุรกิจ เนื่องจากส่วนใหญ่คอนเท้นต์ที่มีอยู่นี้ จะเป็นการซื้อลิขสิทธ์นำมาเผยแพร่ได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบโฮมวีดีโอ หรือนำมาออกอากาศผ่านฟรีทีวี และเคเบิ้ลทีวี
ล่าสุดบริษัทฯได้จับมือกับบริษัท อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดรายการ เอเชียซีรีย์ สำหรับแพร่ภาพผ่านสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ในวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 13.00-14.00น.และเวลา 17.00-18.00น. กับจำนวนซีรี่ย์ทั้งหมด 6 เรื่อง เช่น เกมแค้นเดิมพันรัก (Queen of the Game), เค เซร่า เซร่า (Que Sera Sera) นอกจากนี้ยังมีวาไรตี้ 1 รายการ ออกอากาศช่อง 5 คือ รายการ “เจาะเด็ดคนดัง สตาร์ ไบโอ” เริ่มออกอากาศตวันที่ 3 ก.ค. นี้ช่วงเวลาไพร์มไทม์ 22.00-23.00 น. นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับบริษัท เอฟ นำเสนอรายการ เนชั่นแนลสเปเชียล ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีอีกหนึ่งรายการ
“ทางบริษัทจะเป็นผู้หาคอนเท้นต์ และเจรจาขอเวลาจากทางสถานีทีไอทีวี และสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ ส่วนบริษัท อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอฟ จะเข้าไปดูเรื่องของการทำตลาด และโปรดักชั่นทั่วไป”
ในอนาคตบริษัทฯมีแผนที่จะผลิตรายการเองด้วย เช่น เกมโชว์ หรือรายการบันเทิงต่างๆ ป้อนให้กับฟรีทีวี ถึงแม้ในช่วงแรกจะมีเวลาเพียง 2 ช่อง คือ ทีไอทีวี และช่อง5 แต่ล่าสุดได้มีการพูดคุยกับทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการที่จะนำซีรีย์เกาหลีออกอากาศในช่วงเดือนตุลาคมนี้
อย่างไรก็ตามบริษัทเอสที แกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เดิมชื่อ บริษัท เอสที วีดีโอ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านโฮมวีดีโอ ในการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย รวมไปถึงเป็นเจ้าของลิขสิทธ์สารคดีระดับโลก อย่าง Discovery Channels, Animal Planet, National Geographic, CSI จาก Paramount Pictures
ที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้เติบโต 10-12% ทุกปี และหลังจากเข้ามาดำเนินธุรกิจด้านสื่อทีวีในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30-50 % ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตจากสื่อทีวีเป็นหลัก ขณะที่สัดส่วนรายได้คาดว่าจะมาจากคอนเท้นต์ต่างๆ 60-70% และทีวี 30% โดยคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนรายได้จากทั้ง 2 ธุรกิจอย่างละเท่าๆกัน
นางอำไพ สุธีสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสที แกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ เอสที วีดีโอ ผู้นำทางด้านโฮมวีดีโอ เปิดเผยว่า ปีนี้ทางบริษัทฯจะมุ่งทำธุรกิจด้านสื่อทีวี จากการนำเอาคอนเท้นท์ที่มีอยู่มาต่อยอดธุรกิจ เนื่องจากส่วนใหญ่คอนเท้นต์ที่มีอยู่นี้ จะเป็นการซื้อลิขสิทธ์นำมาเผยแพร่ได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบโฮมวีดีโอ หรือนำมาออกอากาศผ่านฟรีทีวี และเคเบิ้ลทีวี
ล่าสุดบริษัทฯได้จับมือกับบริษัท อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดรายการ เอเชียซีรีย์ สำหรับแพร่ภาพผ่านสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ในวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 13.00-14.00น.และเวลา 17.00-18.00น. กับจำนวนซีรี่ย์ทั้งหมด 6 เรื่อง เช่น เกมแค้นเดิมพันรัก (Queen of the Game), เค เซร่า เซร่า (Que Sera Sera) นอกจากนี้ยังมีวาไรตี้ 1 รายการ ออกอากาศช่อง 5 คือ รายการ “เจาะเด็ดคนดัง สตาร์ ไบโอ” เริ่มออกอากาศตวันที่ 3 ก.ค. นี้ช่วงเวลาไพร์มไทม์ 22.00-23.00 น. นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับบริษัท เอฟ นำเสนอรายการ เนชั่นแนลสเปเชียล ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีอีกหนึ่งรายการ
“ทางบริษัทจะเป็นผู้หาคอนเท้นต์ และเจรจาขอเวลาจากทางสถานีทีไอทีวี และสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ ส่วนบริษัท อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอฟ จะเข้าไปดูเรื่องของการทำตลาด และโปรดักชั่นทั่วไป”
ในอนาคตบริษัทฯมีแผนที่จะผลิตรายการเองด้วย เช่น เกมโชว์ หรือรายการบันเทิงต่างๆ ป้อนให้กับฟรีทีวี ถึงแม้ในช่วงแรกจะมีเวลาเพียง 2 ช่อง คือ ทีไอทีวี และช่อง5 แต่ล่าสุดได้มีการพูดคุยกับทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการที่จะนำซีรีย์เกาหลีออกอากาศในช่วงเดือนตุลาคมนี้
อย่างไรก็ตามบริษัทเอสที แกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เดิมชื่อ บริษัท เอสที วีดีโอ จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านโฮมวีดีโอ ในการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย รวมไปถึงเป็นเจ้าของลิขสิทธ์สารคดีระดับโลก อย่าง Discovery Channels, Animal Planet, National Geographic, CSI จาก Paramount Pictures
ที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้เติบโต 10-12% ทุกปี และหลังจากเข้ามาดำเนินธุรกิจด้านสื่อทีวีในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30-50 % ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตจากสื่อทีวีเป็นหลัก ขณะที่สัดส่วนรายได้คาดว่าจะมาจากคอนเท้นต์ต่างๆ 60-70% และทีวี 30% โดยคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนรายได้จากทั้ง 2 ธุรกิจอย่างละเท่าๆกัน