คาดกันว่าความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีไทยได้ลงนามร่วมกับนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2550 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านมา จะมีผลบังคับใช้ในราวเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ หลังจากที่ทั้งสองประเทศได้จัดทำกระบวนการภายในเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้ประกอบการไทย ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน รวมไปถึงความร่วมมือด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลง
สิ่งที่ไทยจะได้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดเจนทันที ก็คือ กลุ่มสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป โดยผักและผลไม้เมืองร้อนแช่เย็นแช่แข็งส่วนใหญ่ยกเลิกภาษีใน 7-15 ปี ส่วนที่ยกเลิกภาษีทันที เช่น ฟักทอง ถั่วต่างๆ เห็ด มะกอก กระเจี๊ยบ และผักปรุงแต่งและทำไว้ไม่ให้เสีย ทุเรียนมะละกอ มะม่วง มังคุด มะพร้าว ผลไม้ปอกเปลือก ยกเลิกภาษีทันที สินค้าประมงแปรรูป ปลาแช่เย็นแช่แข็ง เนื้อปลาฟิลเล ทูน่ากระป๋อง ปู หอย และปลาหมึกกล้วยแช่เย็น แช่แข็ง ส่วนใหญ่ยกเลิกภาษีใน 5 ปี ปลาปรุงสุก รวมปลาแซลมอน หรือทำไว้ไม่ให้เสีย ยกเลิกภาษีใน 7 ปี กุ้งสด กุ้งต้ม และกุ้งแปรรูป ยกเลิกภาษีทันที
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังให้โควตากับไทยเพิ่ม เช่น กากน้ำตาล ให้โควตา 4,000 ตันในปีที่ 3 และเพิ่มเป็น 5,000 ตันในปีที่ 4 พร้อมลดภาษีในโควตาจาก 15.3 เยน/กก.เหลือ 7.65 เยน/กก. แป้งมันสำปะหลังแปรรูปที่ใช้ในอุตสาหกรรมให้โควตาปลอดภาษีแก่ไทยปีละ 2 แสนตัน จากภาษีปกติ 6.8% กล้วย ให้โควตาปลอดภาษี 4,000 ตันในปีแรก และทยอยเพิ่มเป็น 8,000 ตัน ในปีที่ 5 จากภาษีปกติ 20-25% สับปะรดสด ให้โควตาปลอดภาษี 100 ตันในปีแรก และเพิ่มเป็น 500 ตันในปีที่ 5 จากภาษีปกติ 17% เนื้อหมูและแฮมแปรรูป ให้โควตา1,200 ตัน ภาษี 16% จากภาษีปกติ 20%
กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นจะยกเลิกภาษีสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มทันที รองเท้าและเครื่องหนัง ยกเลิกภาษีภายใน 7-10 ปี โดยจะยกเลิกโควตาให้กับไทยด้วย ซึ่งภาษีปัจจุบันตั้งแต่ 3.4-60% ปิโตรเคมีและพลาสติก ยกเลิกภาษีทันทีถึง 6 ปี อัญมณีและเครื่องประดับ ยกเลิกภาษีทันที
ในด้านการค้าบริการ ญี่ปุ่นได้เปิดให้คนไทยหรือบริษัทไทยเข้าไปตั้งกิจการ ซึ่งสามารถจะส่งคนเข้าไปให้บริการในสาขาต่างๆ ได้ เช่น ช่างซ่อมรถ โฆษณา ตัวแทนท่องเที่ยวและจัดทัวร์ มัคคุเทศก์ โรงแรม บริหารโรงแรม ร้านอาหารและจัดเลี้ยง จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ ตัดเย็บเสื้อผ้าและแฟชั่นดีไซน์ การออกแบบพิเศษ สอนนาฎศิลป์ไทย มวยไทย ดนตรีไทยและภาษาไทย การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายต่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ สถาปัตยกรรมผังเมืองและภูมิสถาปัตยกรรม ก่อสร้างและวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโยธา โดยตามกฎหมายญี่ปุ่น คนไทยที่จะเข้าไปต้องจบปริญญาตรี
แต่ทั้งนี้ สำหรับผู้ไม่จบปริญญาตรี ไทยไม่ให้อะไรญี่ปุ่นเลย แต่ญี่ปุ่นจะเปิดโอกาสให้พ่อครัว แม่ครัวไทย เข้าไปทำงานได้โดยไม่ต้องจบปริญญาตรี แต่ต้องได้รับการรับรองฝีมือแรงงานจากกระทรวงแรงงานและมีประสบการณ์ทำงานเป็นพ่อครัวในภัตตาคารในไทยอย่างน้อย 5 ปี จากเดิม 10 ปี ส่วนคนดูแลผู้สูงอายุ และพนักงานสปาไทย ญี่ปุ่นจะเริ่มเจรจาหารือกับไทยเรื่องคุณสมบัติเพื่อให้ได้ข้อสรุปภายใน 2 ปี เพื่อให้คนไทยไปประกอบอาชีพในญี่ปุ่นได้
ส่วนในด้านการลงทุนญี่ปุ่นเปิดโอกาสให้ชาวไทยหรือบริษัทไทยเข้าไปลงทุนภาคที่ไม่ใช่บริการได้ในทุกสาขา ยกเว้นการผลิตยา น้ำมัน อุตสาหกรรมอวกาศและยานอวกาศ อุตสาหกรรมพลังงาน เหมืองแร่ ประมง เกษตร ป่าไม้ โดยไทยเปิดให้ชาวญี่ปุ่นหรือบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน 1 สาขา คือ การผลิตรถยนต์ โดยถือหุ้นได้ไม่เกิน 50%
ขณะเดียวกัน ไทยจะได้ประโยชน์จากความร่วมมือต่างๆ ถึง 7 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการค้าการลงทุนภายใต้ “ครัวไทยสู่โลก” โครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเหล็ก โครงการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ โครงการเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โครงการพัฒนาเศรษฐกิจในการสร้างมูลค่าเพิ่ม โครงการหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทย
ที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจะได้รับประโยชน์แต่การจะใช้สิทธิประโยชน์ในเรื่องของการค้าสินค้ามีเงื่อนไขว่าการผลิตสินค้านั้นต้องผลิตได้ตามกฎแหล่งกำเนิดสินค้า เพราะถือเป็นเงื่อนไขสำคัญในการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และป้องกันการแอบอ้างสิทธิ์ (ดูรายละเอียดในเว็บไซต์ www.dft.moc.go.th)
เงื่อนไขการได้แหล่งกำเนิดหลักๆก็จะมีไม่กี่เงื่อนไขเช่น ถ้าเป็นสินค้าที่ผลิตหรือได้จากในประเทศทั้งหมด ก็ได้สิทธิ์โดยอัตโนมัติอยู่แล้วแต่ถ้าเป็นสินค้าที่นำวัตถุดิบจากที่อื่นมาผลิต ก็ต้องเข้าเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านพิกัด การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดและผ่านกระบวนการทางการผลิต
อย่างไรก็ตาม ในข้อตกลง JTEPA ได้มีการกำหนดกฎแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นการเฉพาะสำหรับบางสินค้า ซึ่งผู้ส่งออกต้องปฏิบัติตามให้ถูกต้อง ได้แก่ สินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มต้องผ่านกระบวนการผลิตอย่างน้อย 2 ขั้นตอน และสะสมแหล่งกำเนิดได้จากประเทศในอาเซียน อัญมณีและเครื่องประดับ พิกัดฯ 7113-7115 และ 7117 ใช้กฎเปลี่ยนพิกัดในระดับ 4 หลัก พิกัดฯ 7103.91-7104.10 ใช้กฎเปลี่ยนพิกัดในระดับ 6 หลัก หรือมีต้นทุนการผลิตมากกว่า 40% อาหาร พิกัดฯ 16,23 ใช้กฎเปลี่ยนพิกัดในระดับ 2 หลัก สามารถสะสมแหล่งกำเนิดจากวัตถุดิบที่นำเข้าจาก IOTC ได้ ปิโตรเคมีและพลาสติก พิกัดฯ 27,39 ใช้กฎเปลี่ยนพิกัดในระบบ 2 หลัก หรือ 4 หลัก ใช้กฎการมีต้นทุนการผลิตมากกว่า 40% และใช้กฎการเปลี่ยนแปลงด้านขบวนการผลิต
กฎแหล่งกำเนิดสินค้าถือเป็นประเด็นสำคัญเพราะหากผลิตสินค้าไม่ถูกต้องตามกฎที่กำหนด สินค้านั้นๆก็จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลง แต่หากท่านศึกษาและทำความเข้าใจผลิตได้ถูกต้องโอกาสในการบุกเจาะตลาดญี่ปุ่น โดยใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจาก JTEPA เป็นแต้มต่อเหนือคู่แข่งในตลาดญี่ปุ่นโอกาสทองของผู้ส่งออกไทยก็คงไม่ไกลเกินจริง
ก่อนที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้ประกอบการไทย ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน รวมไปถึงความร่วมมือด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลง
สิ่งที่ไทยจะได้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดเจนทันที ก็คือ กลุ่มสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป โดยผักและผลไม้เมืองร้อนแช่เย็นแช่แข็งส่วนใหญ่ยกเลิกภาษีใน 7-15 ปี ส่วนที่ยกเลิกภาษีทันที เช่น ฟักทอง ถั่วต่างๆ เห็ด มะกอก กระเจี๊ยบ และผักปรุงแต่งและทำไว้ไม่ให้เสีย ทุเรียนมะละกอ มะม่วง มังคุด มะพร้าว ผลไม้ปอกเปลือก ยกเลิกภาษีทันที สินค้าประมงแปรรูป ปลาแช่เย็นแช่แข็ง เนื้อปลาฟิลเล ทูน่ากระป๋อง ปู หอย และปลาหมึกกล้วยแช่เย็น แช่แข็ง ส่วนใหญ่ยกเลิกภาษีใน 5 ปี ปลาปรุงสุก รวมปลาแซลมอน หรือทำไว้ไม่ให้เสีย ยกเลิกภาษีใน 7 ปี กุ้งสด กุ้งต้ม และกุ้งแปรรูป ยกเลิกภาษีทันที
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังให้โควตากับไทยเพิ่ม เช่น กากน้ำตาล ให้โควตา 4,000 ตันในปีที่ 3 และเพิ่มเป็น 5,000 ตันในปีที่ 4 พร้อมลดภาษีในโควตาจาก 15.3 เยน/กก.เหลือ 7.65 เยน/กก. แป้งมันสำปะหลังแปรรูปที่ใช้ในอุตสาหกรรมให้โควตาปลอดภาษีแก่ไทยปีละ 2 แสนตัน จากภาษีปกติ 6.8% กล้วย ให้โควตาปลอดภาษี 4,000 ตันในปีแรก และทยอยเพิ่มเป็น 8,000 ตัน ในปีที่ 5 จากภาษีปกติ 20-25% สับปะรดสด ให้โควตาปลอดภาษี 100 ตันในปีแรก และเพิ่มเป็น 500 ตันในปีที่ 5 จากภาษีปกติ 17% เนื้อหมูและแฮมแปรรูป ให้โควตา1,200 ตัน ภาษี 16% จากภาษีปกติ 20%
กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นจะยกเลิกภาษีสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มทันที รองเท้าและเครื่องหนัง ยกเลิกภาษีภายใน 7-10 ปี โดยจะยกเลิกโควตาให้กับไทยด้วย ซึ่งภาษีปัจจุบันตั้งแต่ 3.4-60% ปิโตรเคมีและพลาสติก ยกเลิกภาษีทันทีถึง 6 ปี อัญมณีและเครื่องประดับ ยกเลิกภาษีทันที
ในด้านการค้าบริการ ญี่ปุ่นได้เปิดให้คนไทยหรือบริษัทไทยเข้าไปตั้งกิจการ ซึ่งสามารถจะส่งคนเข้าไปให้บริการในสาขาต่างๆ ได้ เช่น ช่างซ่อมรถ โฆษณา ตัวแทนท่องเที่ยวและจัดทัวร์ มัคคุเทศก์ โรงแรม บริหารโรงแรม ร้านอาหารและจัดเลี้ยง จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ ตัดเย็บเสื้อผ้าและแฟชั่นดีไซน์ การออกแบบพิเศษ สอนนาฎศิลป์ไทย มวยไทย ดนตรีไทยและภาษาไทย การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายต่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ สถาปัตยกรรมผังเมืองและภูมิสถาปัตยกรรม ก่อสร้างและวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโยธา โดยตามกฎหมายญี่ปุ่น คนไทยที่จะเข้าไปต้องจบปริญญาตรี
แต่ทั้งนี้ สำหรับผู้ไม่จบปริญญาตรี ไทยไม่ให้อะไรญี่ปุ่นเลย แต่ญี่ปุ่นจะเปิดโอกาสให้พ่อครัว แม่ครัวไทย เข้าไปทำงานได้โดยไม่ต้องจบปริญญาตรี แต่ต้องได้รับการรับรองฝีมือแรงงานจากกระทรวงแรงงานและมีประสบการณ์ทำงานเป็นพ่อครัวในภัตตาคารในไทยอย่างน้อย 5 ปี จากเดิม 10 ปี ส่วนคนดูแลผู้สูงอายุ และพนักงานสปาไทย ญี่ปุ่นจะเริ่มเจรจาหารือกับไทยเรื่องคุณสมบัติเพื่อให้ได้ข้อสรุปภายใน 2 ปี เพื่อให้คนไทยไปประกอบอาชีพในญี่ปุ่นได้
ส่วนในด้านการลงทุนญี่ปุ่นเปิดโอกาสให้ชาวไทยหรือบริษัทไทยเข้าไปลงทุนภาคที่ไม่ใช่บริการได้ในทุกสาขา ยกเว้นการผลิตยา น้ำมัน อุตสาหกรรมอวกาศและยานอวกาศ อุตสาหกรรมพลังงาน เหมืองแร่ ประมง เกษตร ป่าไม้ โดยไทยเปิดให้ชาวญี่ปุ่นหรือบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน 1 สาขา คือ การผลิตรถยนต์ โดยถือหุ้นได้ไม่เกิน 50%
ขณะเดียวกัน ไทยจะได้ประโยชน์จากความร่วมมือต่างๆ ถึง 7 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการค้าการลงทุนภายใต้ “ครัวไทยสู่โลก” โครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเหล็ก โครงการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ โครงการเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โครงการพัฒนาเศรษฐกิจในการสร้างมูลค่าเพิ่ม โครงการหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทย
ที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจะได้รับประโยชน์แต่การจะใช้สิทธิประโยชน์ในเรื่องของการค้าสินค้ามีเงื่อนไขว่าการผลิตสินค้านั้นต้องผลิตได้ตามกฎแหล่งกำเนิดสินค้า เพราะถือเป็นเงื่อนไขสำคัญในการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และป้องกันการแอบอ้างสิทธิ์ (ดูรายละเอียดในเว็บไซต์ www.dft.moc.go.th)
เงื่อนไขการได้แหล่งกำเนิดหลักๆก็จะมีไม่กี่เงื่อนไขเช่น ถ้าเป็นสินค้าที่ผลิตหรือได้จากในประเทศทั้งหมด ก็ได้สิทธิ์โดยอัตโนมัติอยู่แล้วแต่ถ้าเป็นสินค้าที่นำวัตถุดิบจากที่อื่นมาผลิต ก็ต้องเข้าเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านพิกัด การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดและผ่านกระบวนการทางการผลิต
อย่างไรก็ตาม ในข้อตกลง JTEPA ได้มีการกำหนดกฎแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นการเฉพาะสำหรับบางสินค้า ซึ่งผู้ส่งออกต้องปฏิบัติตามให้ถูกต้อง ได้แก่ สินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มต้องผ่านกระบวนการผลิตอย่างน้อย 2 ขั้นตอน และสะสมแหล่งกำเนิดได้จากประเทศในอาเซียน อัญมณีและเครื่องประดับ พิกัดฯ 7113-7115 และ 7117 ใช้กฎเปลี่ยนพิกัดในระดับ 4 หลัก พิกัดฯ 7103.91-7104.10 ใช้กฎเปลี่ยนพิกัดในระดับ 6 หลัก หรือมีต้นทุนการผลิตมากกว่า 40% อาหาร พิกัดฯ 16,23 ใช้กฎเปลี่ยนพิกัดในระดับ 2 หลัก สามารถสะสมแหล่งกำเนิดจากวัตถุดิบที่นำเข้าจาก IOTC ได้ ปิโตรเคมีและพลาสติก พิกัดฯ 27,39 ใช้กฎเปลี่ยนพิกัดในระบบ 2 หลัก หรือ 4 หลัก ใช้กฎการมีต้นทุนการผลิตมากกว่า 40% และใช้กฎการเปลี่ยนแปลงด้านขบวนการผลิต
กฎแหล่งกำเนิดสินค้าถือเป็นประเด็นสำคัญเพราะหากผลิตสินค้าไม่ถูกต้องตามกฎที่กำหนด สินค้านั้นๆก็จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลง แต่หากท่านศึกษาและทำความเข้าใจผลิตได้ถูกต้องโอกาสในการบุกเจาะตลาดญี่ปุ่น โดยใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจาก JTEPA เป็นแต้มต่อเหนือคู่แข่งในตลาดญี่ปุ่นโอกาสทองของผู้ส่งออกไทยก็คงไม่ไกลเกินจริง