.
เมื่อคราวที่แล้วได้ร่ายยาวถึง “กรรมโกง” และ “กรรมของชาติ” ไปนั้นที่ “ฟันธง” ว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไป “อุณหภูมิการเมือง” จะ “ร้อนฉ่า!” ไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายนนี้ และอาจจะ “ร้อนตลอด!” ไปจนถึง 2-3 เดือนข้างหน้านี้
เหตุผลที่มีการรณรงค์สารพัด “กลุ่ม-ม็อบ” นี้ออกมา “ขับไล่-ต่อต้าน” ทั้ง “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)” และ “รัฐบาล” นั้น เกิดจาก “ขบวนการเร่ง” ที่ “ระบอบทักษิณ” ต้องการก่อให้เกิด “การปะทะ” กันระหว่าง “ฝ่ายความมั่นคง-ทหาร” กับ “ม็อบ”เพื่อ “ยั่วยุ” ให้เกิด “ความแตกหัก!” เสมือนเหตุการณ์ “ตุลามหาวิปโยค 2516-2519” และ “พฤษภาทมิฬ” ที่ในที่สุด “กองทัพ” ต้อง “พ่ายแพ้!” ไปด้วย “พลังประชาชน”
ถามว่า “พลังประชาชน” นั้นเป็นสิ่งที่ “ถูกต้อง!” หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ถูกต้อง!” และ “ต้องเป็นเช่นนั้น” แต่ก็ต้องถามต่อไปว่า “ความบริสุทธิ์” ของ “พลังประชาชน” ในสภาวการณ์ปัจจุบัน “บริสุทธิ์!” หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ไม่ใช่” เนื่องด้วยเป็น “พลังม็อบ” ที่ถูก “จัดตั้ง” และที่สำคัญที่สุดคือ “จัดจ้าง!” จาก “ท่อน้ำเลี้ยง” เพื่ออาศัย “พลังซื้อ!” ที่จะทำให้ “กองทัพพ่าย” ไปในที่สุด
เพราะถ้าเมื่อใดที่กองทัพ (คมช.) และรัฐบาล ตลอดจนองค์กรตรวจสอบต่างๆ ที่ดำเนินการตามขั้นตอนทางยุติธรรมอยู่นี้ ต้องมีอันเป็นไป “กระบวนการตรวจสอบ-ดำเนินคดี-ฟ้องศาล!” ก็จะจบสิ้นทันที เมื่อเป็นเช่นนั้น “นักโกงบ้านโกงเมือง” ก็จะ “ลอยนวล!” และนี่แหละคือที่มาที่ไปของ “การเร่ง” ให้ทุกอย่างจบเร็วๆ โดยอาศัย “พลังประชาชน” ที่ถูกจัดจ้าง จัดซื้อมา ด้วยความที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง และ/หรือ “โฉมหน้า!” ที่แท้จริงของ “ความปรารถนา” ของ “ไอ้โม่ง!” ที่ “บัญชาการ” อยู่เบื้องหลัง
ดีแล้ว! ที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้อง “เล่นแรง!” บ้างกับการมาสื่อสารการเมืองกับประชาชนทางโทรทัศน์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยแสดงถึงปัญหาของ “ประชาธิปไตย” ในบ้านเราว่า “จอมปลอม” ขนาดไหน เพราะ “ซื้อตั้ง!” มาทั้งนั้น พร้อมกับ “ตอกย้ำ” ถึง “ปัญหาทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง!” ของรัฐบาลคุณทักษิณ ที่เพียรพยายาม “ยักยอก” และแน่นอนที่สุด “ฮุบ!” ทรัพย์สมบัติของชาติ ทุกวิถีทางและทุกอย่างตราบเท่าที่จะทำได้
นี่ถ้าไม่เกิดวันที่ 19 กันยายน 2549 ขอฟันธงได้เลยว่า “เมืองไทย” ในอนาคต จะไม่มีอะไรเหลือ และอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อจาก“Thailand” เป็น “Thaksinland” หรืออาจจะเลยเถิดไปจนถึง “Shin Dynasty” ก็เป็นได้!
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “ระบบการเมืองการปกครองไทย” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น เราอาจมี “ระบบเสรีประชาธิปไตย” จริงๆ ไม่เกิน 2-3 ครั้งเท่านั้น และเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ โดยเฉพาะในช่วงปีพ.ศ.2516-2519 และช่วงสมัยพ.ศ.2531-2533 เท่านั้น ส่วนที่จะ “ประชาธิปไตยบริสุทธิ์-ประชาธิปไตยอุดมคติ” จริงๆ นั้นก็เฉพาะช่วง 2516-2519 เท่านั้น ที่ “ประชาธิปไตยเบ่งบาน!” แบบสุดๆ
ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคก่อนพ.ศ.2475 คนไทยทุกคนมี“ระบอบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ที่ขอกล่าวขานว่า “ราชาธิปไตย” กล่าวคือ การปกครองอยู่ภายใต้ “ระบบกษัตริย์” ทั้งสิ้น และก็ย้อนหลังเป็นอย่างนั้นมานานนับหลายร้อยปี
เหล่าอาณาประชาราษฎร์อยู่กินกันอย่างมีความสุข “คุณภาพชีวิต” ก็สงบร่มเย็น ไม่ได้เดือดร้อนทุกข์ร้อนแต่ประการใด เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ล้วนปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วย “ทศพิธราชธรรม” ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เพราะประชาชนได้รับการปกครองและการบริหารเปี่ยมล้นไปด้วย “คุณธรรม-จริยธรรม”
ถึงแม้จะมี “ระบบขุนนาง” ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยพระมหากษัตริย์บริหารชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะสถาบันทหารและสถาบันข้าราชการ ที่ต้องยอมรับว่า “ระบบศักดินา (Feudalism)” ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของ “ระบบไพร่ฟ้า-ข้าทาสบริวาร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “ระบบชนชั้น” ที่ประชาชนระดับล่างต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ต้องยอมรับสภาพ แต่ก็ไม่ถึงขั้น “ข่มเหง-กดขี่-รังแก” เนื่องด้วย “ระบบศักดินา” ก็ตอบสนอง “ความเป็นธรรม” ให้แก่ประชาชนตาม “อัตภาพ”
และถามว่า ยุคการปกครองการบริหารในอดีตนั้น “ทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” เกิดขึ้นหรือไม่ก็ต้องตอบว่า “เกิดขึ้น” เพียงแต่ โครงสร้างทางสังคมในอดีตนั้น มิได้เปิดกว้างให้“โครงสร้าง-ระบบใหม่!” ผุดเกิดขึ้นอย่างมากมายเหมือนปัจจุบัน พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “โครงสร้างการปกครองการบริหาร” ของไทยในอดีตนั้น เป็น “โครงสร้างเดียว (Single Structure)” ที่มี “อำนาจเบ็ดเสร็จ” และที่สำคัญคือ “ทำหน้าที่ทุกอย่าง” โดยยึดมั่นในหลักการและเป้าหมาย “เพื่อประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์” และ “ความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมือง”
อย่างไรก็ตาม “ราชาธิปไตย” สอดคล้องกับสังคมไทยยุคนั้นสมัยนั้น และที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่มีทั้ง “วิวัฒนาการ” และ “พัฒนา” เป็นไปตามสภาพแวดล้อมของสังคม เศรษฐกิจ การเมืองโลก สถาบันพระมหากษัตริย์จึงมอบและสละ “พระราชอำนาจ” ให้แก่ประชาชนชาวไทย เพื่อก้าวไปสู่ระบบการเมืองการปกครองที่เป็น “ประชาธิปไตย”
นับแต่นั้นมา หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ยอมเสียสละพระราชอำนาจ บ้านเมืองไม่เคยสงบนิ่ง เมื่อ “อำนาจ” ได้ถูก “กลุ่มอำนาจยึดครอง” โดยเฉพาะปัญหาสำคัญคือ “การแก่งแย่งอำนาจ!” จน “ประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลาน” ตั้งแต่นั้นมา ยาวนานจนถึงปัจจุบัน สิริรวม 75 ปี
เอาล่ะ! จาก “ราชาธิปไตย” ในที่สุดก็มาเป็น “ระบบอำมาตยาธิปไตย” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Bureaucratic Polity” ที่ระบบการปกครองการบริหารอยู่ภายใต้ “ระบบขุนนาง-ระบบราชการ” ที่ยังยึดติดอยู่กับ “ระบบศักดินา” เพียงแต่ปัญหาสำคัญของ “ระบบอำมาตยาธิไตย” คือ หนึ่ง “การแก่งแย่งอำนาจ” สอง “การฉ้อราษฎร์บังหลวง” และ สาม “การสืบทอดอำนาจการบริหาร-อำนาจรัฐ” ไว้จนฝังรากลึก ยากแก่การถอนรากถอนโคน และที่สำคัญที่สุดคือ “ธรรมาภิบาล” ไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ จังๆ ดั่งเช่น “ทศพิธราชธรรม” ที่เคยเกิดขึ้นจาก “ระบบราชาธิปไตย”
“อำมาตยาธิปไตย” เป็นโครงสร้างทางการเมืองที่มีบทบาทมากที่สุด สืบทอดยาวนานถึงเกือบ 70 ปี และขอย้ำอีกครั้งว่า ทุกวันนี้ก็ยังเป็น “โครงสร้างมหึมา” ยากที่จะกำจัดให้หมดสิ้นไปได้ ทั้งๆ ที่เราเพียรพยายามเรียกร้อง “คุณธรรม-จริยธรรม” ในหมู่ข้าราชการมาโดยตลอด แต่ก็ยังเป็น “วัฒนธรรม” ที่ฝังลึกอยู่ในผืนแผ่นดินนี้ จนเรียกได้ว่า “วัฒนธรรมโกง (Corrupted Culture)”
ทั้งนี้ “โกงมาก-โกงน้อย” ในแต่ละยุคสมัยขึ้นอยู่กับ “คณะรัฐบาล” ที่สำคัญที่สุดคือ “ผู้นำ” หรือ “นายกรัฐมนตรี” ยึดมั่นใน “ระบบคุณธรรม” มากน้อยเพียงใด ถ้าได้ “นายกรัฐมนตรี-ผู้นำดี” การทุจริตคอร์รัปชันก็หดลดน้อยลง แต่ถ้าได้ “นายกรัฐมนตรี-ผู้นำ” ที่ประเภท “ปากว่าตาขยิบ” และ “ตั้งใจโกง!” อย่างเดียว เมื่อนั้น “การโกงโจ๋งครึ่ม!” ก็ระบาดทั่วหล้า!
จาก “ราชาธิปไตย” มาเป็น “อำมาตยาธิปไตย” และในที่สุดล่าสุดเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เป็น “ธนาธิปไตย” และเลวร้ายสุดๆ คือ “วาณิชยาธิปไตย” ที่ชาติบ้านเมืองปกครองบริหารจัดการโดย “พ่อค้าวาณิช” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เท่านั้นยังไม่พอ“ระบบฮุบอำนาจ-ระบบฮุบผลประโยชน์” ไม่เคยเลวร้ายดั่งเช่น “ระบอบทักษิณ” ที่ในที่สุดก็ต้องถูกโค่นล้มลง และขณะนี้ “ระบอบทักษิณ” ก็ยังไม่จบสิ้นจากผืนแผ่นดินไทย ที่ “วุ่นวาย-แตกแยก” จนอาจถึงขั้น “นองเลือด!” จนชาติบ้านเมืองจะพังมิพังแหล่ ก็เกิดจาก “ความละโมบ” ทั้ง “อำนาจ-ผลประโยชน์" ที่ยังอยาก “ยึดครอง” ประเทศชาติอีกต่อไป!
เราไม่เคยมี “ประชาธิปไตยจริง” หรอก มีแต่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม (Pseudo Democracy)” จาก “อำมาตยาธิปไตย” ที่ต้องยอมรับว่า “ทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ก็แพร่กระจายไปทั่ว จนมาถึง “วาณิชยาธิปไตย” ที่ “โกงเบ็ดเสร็จ” แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ประชาธิปไตยจอมปลอม” ทั้งนั้น ที่ออกมาเดินเต็มถนนเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” อยู่ขณะนี้ก็ “จอมปลอม” เพียงแต่หวังว่า อีก 6-7 เดือนข้างหน้า ถ้ามีการเลือกตั้งขอแค่เพียง “ประชาธิปไตย 70%” ชาติบ้านเมืองก็น่าจะสงบสุขแล้ว
ทั้งนี้ ชาติบ้านเมือง “ปั่นป่วน-วุ่นวาย” ก็เพราะ “หนึ่งคน-หนึ่งคณะ” เท่านั้น เราชาวไทยทุกคนต้องแยกแยะและตระหนักว่า “อะไรจริง-อะไรปลอม”
เมื่อคราวที่แล้วได้ร่ายยาวถึง “กรรมโกง” และ “กรรมของชาติ” ไปนั้นที่ “ฟันธง” ว่าสัปดาห์นี้เป็นต้นไป “อุณหภูมิการเมือง” จะ “ร้อนฉ่า!” ไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายนนี้ และอาจจะ “ร้อนตลอด!” ไปจนถึง 2-3 เดือนข้างหน้านี้
เหตุผลที่มีการรณรงค์สารพัด “กลุ่ม-ม็อบ” นี้ออกมา “ขับไล่-ต่อต้าน” ทั้ง “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)” และ “รัฐบาล” นั้น เกิดจาก “ขบวนการเร่ง” ที่ “ระบอบทักษิณ” ต้องการก่อให้เกิด “การปะทะ” กันระหว่าง “ฝ่ายความมั่นคง-ทหาร” กับ “ม็อบ”เพื่อ “ยั่วยุ” ให้เกิด “ความแตกหัก!” เสมือนเหตุการณ์ “ตุลามหาวิปโยค 2516-2519” และ “พฤษภาทมิฬ” ที่ในที่สุด “กองทัพ” ต้อง “พ่ายแพ้!” ไปด้วย “พลังประชาชน”
ถามว่า “พลังประชาชน” นั้นเป็นสิ่งที่ “ถูกต้อง!” หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ถูกต้อง!” และ “ต้องเป็นเช่นนั้น” แต่ก็ต้องถามต่อไปว่า “ความบริสุทธิ์” ของ “พลังประชาชน” ในสภาวการณ์ปัจจุบัน “บริสุทธิ์!” หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ไม่ใช่” เนื่องด้วยเป็น “พลังม็อบ” ที่ถูก “จัดตั้ง” และที่สำคัญที่สุดคือ “จัดจ้าง!” จาก “ท่อน้ำเลี้ยง” เพื่ออาศัย “พลังซื้อ!” ที่จะทำให้ “กองทัพพ่าย” ไปในที่สุด
เพราะถ้าเมื่อใดที่กองทัพ (คมช.) และรัฐบาล ตลอดจนองค์กรตรวจสอบต่างๆ ที่ดำเนินการตามขั้นตอนทางยุติธรรมอยู่นี้ ต้องมีอันเป็นไป “กระบวนการตรวจสอบ-ดำเนินคดี-ฟ้องศาล!” ก็จะจบสิ้นทันที เมื่อเป็นเช่นนั้น “นักโกงบ้านโกงเมือง” ก็จะ “ลอยนวล!” และนี่แหละคือที่มาที่ไปของ “การเร่ง” ให้ทุกอย่างจบเร็วๆ โดยอาศัย “พลังประชาชน” ที่ถูกจัดจ้าง จัดซื้อมา ด้วยความที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง และ/หรือ “โฉมหน้า!” ที่แท้จริงของ “ความปรารถนา” ของ “ไอ้โม่ง!” ที่ “บัญชาการ” อยู่เบื้องหลัง
ดีแล้ว! ที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้อง “เล่นแรง!” บ้างกับการมาสื่อสารการเมืองกับประชาชนทางโทรทัศน์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยแสดงถึงปัญหาของ “ประชาธิปไตย” ในบ้านเราว่า “จอมปลอม” ขนาดไหน เพราะ “ซื้อตั้ง!” มาทั้งนั้น พร้อมกับ “ตอกย้ำ” ถึง “ปัญหาทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง!” ของรัฐบาลคุณทักษิณ ที่เพียรพยายาม “ยักยอก” และแน่นอนที่สุด “ฮุบ!” ทรัพย์สมบัติของชาติ ทุกวิถีทางและทุกอย่างตราบเท่าที่จะทำได้
นี่ถ้าไม่เกิดวันที่ 19 กันยายน 2549 ขอฟันธงได้เลยว่า “เมืองไทย” ในอนาคต จะไม่มีอะไรเหลือ และอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อจาก“Thailand” เป็น “Thaksinland” หรืออาจจะเลยเถิดไปจนถึง “Shin Dynasty” ก็เป็นได้!
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “ระบบการเมืองการปกครองไทย” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น เราอาจมี “ระบบเสรีประชาธิปไตย” จริงๆ ไม่เกิน 2-3 ครั้งเท่านั้น และเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ โดยเฉพาะในช่วงปีพ.ศ.2516-2519 และช่วงสมัยพ.ศ.2531-2533 เท่านั้น ส่วนที่จะ “ประชาธิปไตยบริสุทธิ์-ประชาธิปไตยอุดมคติ” จริงๆ นั้นก็เฉพาะช่วง 2516-2519 เท่านั้น ที่ “ประชาธิปไตยเบ่งบาน!” แบบสุดๆ
ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคก่อนพ.ศ.2475 คนไทยทุกคนมี“ระบอบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ที่ขอกล่าวขานว่า “ราชาธิปไตย” กล่าวคือ การปกครองอยู่ภายใต้ “ระบบกษัตริย์” ทั้งสิ้น และก็ย้อนหลังเป็นอย่างนั้นมานานนับหลายร้อยปี
เหล่าอาณาประชาราษฎร์อยู่กินกันอย่างมีความสุข “คุณภาพชีวิต” ก็สงบร่มเย็น ไม่ได้เดือดร้อนทุกข์ร้อนแต่ประการใด เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ล้วนปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วย “ทศพิธราชธรรม” ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เพราะประชาชนได้รับการปกครองและการบริหารเปี่ยมล้นไปด้วย “คุณธรรม-จริยธรรม”
ถึงแม้จะมี “ระบบขุนนาง” ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยพระมหากษัตริย์บริหารชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะสถาบันทหารและสถาบันข้าราชการ ที่ต้องยอมรับว่า “ระบบศักดินา (Feudalism)” ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของ “ระบบไพร่ฟ้า-ข้าทาสบริวาร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “ระบบชนชั้น” ที่ประชาชนระดับล่างต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ต้องยอมรับสภาพ แต่ก็ไม่ถึงขั้น “ข่มเหง-กดขี่-รังแก” เนื่องด้วย “ระบบศักดินา” ก็ตอบสนอง “ความเป็นธรรม” ให้แก่ประชาชนตาม “อัตภาพ”
และถามว่า ยุคการปกครองการบริหารในอดีตนั้น “ทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” เกิดขึ้นหรือไม่ก็ต้องตอบว่า “เกิดขึ้น” เพียงแต่ โครงสร้างทางสังคมในอดีตนั้น มิได้เปิดกว้างให้“โครงสร้าง-ระบบใหม่!” ผุดเกิดขึ้นอย่างมากมายเหมือนปัจจุบัน พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “โครงสร้างการปกครองการบริหาร” ของไทยในอดีตนั้น เป็น “โครงสร้างเดียว (Single Structure)” ที่มี “อำนาจเบ็ดเสร็จ” และที่สำคัญคือ “ทำหน้าที่ทุกอย่าง” โดยยึดมั่นในหลักการและเป้าหมาย “เพื่อประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์” และ “ความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมือง”
อย่างไรก็ตาม “ราชาธิปไตย” สอดคล้องกับสังคมไทยยุคนั้นสมัยนั้น และที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่มีทั้ง “วิวัฒนาการ” และ “พัฒนา” เป็นไปตามสภาพแวดล้อมของสังคม เศรษฐกิจ การเมืองโลก สถาบันพระมหากษัตริย์จึงมอบและสละ “พระราชอำนาจ” ให้แก่ประชาชนชาวไทย เพื่อก้าวไปสู่ระบบการเมืองการปกครองที่เป็น “ประชาธิปไตย”
นับแต่นั้นมา หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ยอมเสียสละพระราชอำนาจ บ้านเมืองไม่เคยสงบนิ่ง เมื่อ “อำนาจ” ได้ถูก “กลุ่มอำนาจยึดครอง” โดยเฉพาะปัญหาสำคัญคือ “การแก่งแย่งอำนาจ!” จน “ประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลาน” ตั้งแต่นั้นมา ยาวนานจนถึงปัจจุบัน สิริรวม 75 ปี
เอาล่ะ! จาก “ราชาธิปไตย” ในที่สุดก็มาเป็น “ระบบอำมาตยาธิปไตย” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Bureaucratic Polity” ที่ระบบการปกครองการบริหารอยู่ภายใต้ “ระบบขุนนาง-ระบบราชการ” ที่ยังยึดติดอยู่กับ “ระบบศักดินา” เพียงแต่ปัญหาสำคัญของ “ระบบอำมาตยาธิไตย” คือ หนึ่ง “การแก่งแย่งอำนาจ” สอง “การฉ้อราษฎร์บังหลวง” และ สาม “การสืบทอดอำนาจการบริหาร-อำนาจรัฐ” ไว้จนฝังรากลึก ยากแก่การถอนรากถอนโคน และที่สำคัญที่สุดคือ “ธรรมาภิบาล” ไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ จังๆ ดั่งเช่น “ทศพิธราชธรรม” ที่เคยเกิดขึ้นจาก “ระบบราชาธิปไตย”
“อำมาตยาธิปไตย” เป็นโครงสร้างทางการเมืองที่มีบทบาทมากที่สุด สืบทอดยาวนานถึงเกือบ 70 ปี และขอย้ำอีกครั้งว่า ทุกวันนี้ก็ยังเป็น “โครงสร้างมหึมา” ยากที่จะกำจัดให้หมดสิ้นไปได้ ทั้งๆ ที่เราเพียรพยายามเรียกร้อง “คุณธรรม-จริยธรรม” ในหมู่ข้าราชการมาโดยตลอด แต่ก็ยังเป็น “วัฒนธรรม” ที่ฝังลึกอยู่ในผืนแผ่นดินนี้ จนเรียกได้ว่า “วัฒนธรรมโกง (Corrupted Culture)”
ทั้งนี้ “โกงมาก-โกงน้อย” ในแต่ละยุคสมัยขึ้นอยู่กับ “คณะรัฐบาล” ที่สำคัญที่สุดคือ “ผู้นำ” หรือ “นายกรัฐมนตรี” ยึดมั่นใน “ระบบคุณธรรม” มากน้อยเพียงใด ถ้าได้ “นายกรัฐมนตรี-ผู้นำดี” การทุจริตคอร์รัปชันก็หดลดน้อยลง แต่ถ้าได้ “นายกรัฐมนตรี-ผู้นำ” ที่ประเภท “ปากว่าตาขยิบ” และ “ตั้งใจโกง!” อย่างเดียว เมื่อนั้น “การโกงโจ๋งครึ่ม!” ก็ระบาดทั่วหล้า!
จาก “ราชาธิปไตย” มาเป็น “อำมาตยาธิปไตย” และในที่สุดล่าสุดเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เป็น “ธนาธิปไตย” และเลวร้ายสุดๆ คือ “วาณิชยาธิปไตย” ที่ชาติบ้านเมืองปกครองบริหารจัดการโดย “พ่อค้าวาณิช” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เท่านั้นยังไม่พอ“ระบบฮุบอำนาจ-ระบบฮุบผลประโยชน์” ไม่เคยเลวร้ายดั่งเช่น “ระบอบทักษิณ” ที่ในที่สุดก็ต้องถูกโค่นล้มลง และขณะนี้ “ระบอบทักษิณ” ก็ยังไม่จบสิ้นจากผืนแผ่นดินไทย ที่ “วุ่นวาย-แตกแยก” จนอาจถึงขั้น “นองเลือด!” จนชาติบ้านเมืองจะพังมิพังแหล่ ก็เกิดจาก “ความละโมบ” ทั้ง “อำนาจ-ผลประโยชน์" ที่ยังอยาก “ยึดครอง” ประเทศชาติอีกต่อไป!
เราไม่เคยมี “ประชาธิปไตยจริง” หรอก มีแต่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม (Pseudo Democracy)” จาก “อำมาตยาธิปไตย” ที่ต้องยอมรับว่า “ทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ก็แพร่กระจายไปทั่ว จนมาถึง “วาณิชยาธิปไตย” ที่ “โกงเบ็ดเสร็จ” แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ประชาธิปไตยจอมปลอม” ทั้งนั้น ที่ออกมาเดินเต็มถนนเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” อยู่ขณะนี้ก็ “จอมปลอม” เพียงแต่หวังว่า อีก 6-7 เดือนข้างหน้า ถ้ามีการเลือกตั้งขอแค่เพียง “ประชาธิปไตย 70%” ชาติบ้านเมืองก็น่าจะสงบสุขแล้ว
ทั้งนี้ ชาติบ้านเมือง “ปั่นป่วน-วุ่นวาย” ก็เพราะ “หนึ่งคน-หนึ่งคณะ” เท่านั้น เราชาวไทยทุกคนต้องแยกแยะและตระหนักว่า “อะไรจริง-อะไรปลอม”