ผ่านมาแล้วเกือบ 2 เดือน นับจากวันที่ 6 เม.ย.2550 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่กรมการประกันภัยได้ยกเลิกการใช้เครื่องหมายแสดงว่ามีการรับประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่4) พ.ศ.2550 หรือที่เรียกกันว่า "สติกเกอร์" โดยประชาชนยังเกิดความสับสนและความไม่เข้าใจอีกเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญ ได้มีร้านค้าหรือตัวแทนที่ขายสติกเกอร์เดิม ได้ใช้ช่องว่างช่วงที่ยังเกิดความสับสนนี้ หลอกขายสติกเกอร์ให้กับผู้ใช้รถ ทั้งๆ ที่ได้มีการยกเลิกการใช้สติกเกอร์ดังกล่าวแล้ว
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า จากการประเมินผลในเบื้องต้น หลังจากกรมฯ ได้ยกเลิกการใช้สติกเกอร์ มีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากได้สอบถามมายังสายด่วนประกันภัย 1186 ว่ามีการยกเลิกการใช้สติกเกอร์ดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะยังมีบางร้านค้า โดยเฉพาะตัวแทนที่ขายสติกเกอร์ตามสถานที่ต่อทะเบียนรถ มาบอกให้ซื้อสติกเกอร์ก่อนการต่อทะเบียนรถ ซึ่งกรมฯ ขอยืนยันว่าตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. จะไม่มีการขายสติกเกอร์อีกต่อไป และประชาชนไม่จำเป็นต้องซื้อสติกเกอร์ก่อนไปต่อทะเบียนรถ แต่จะต้องทำกรมธรรม์ประกันภัยตามกฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2550 แทน
"หมายความว่า คนใช้รถยังคงมีหน้าที่ต้องทำประกันภัยตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เพียงแต่จะไม่มีสติกเกอร์ให้มาเพื่อนำไปติดไว้หน้ารถเหมือนเดิม โดยเมื่อไปทำประกันภัยแล้ว บริษัทประกันภัย จะออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย และให้นำหลักฐานอันนี้ไปใช้ยืนยันว่าได้ทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว และให้เก็บหลักฐานนี้ไว้ในรถ หากมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะได้มีหลักฐานแสดง"
ทั้งนี้ แม้จะมีการยกเลิกการใช้สติกเกอร์แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดโอกาสให้คนใช้รถไม่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. เพราะได้มีการอุดช่องว่างตรงจุดนี้โดยได้มีการกำหนดให้กรมการขนส่งทางบก ที่รับจดทะเบียนหรือต่อทะเบียนรถ จะต้องตรวจสอบว่ารถคันนั้นๆ มีการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยตาม พ.ร.บ. แล้วหรือยัง ถ้าไม่มีหลักฐานมาแสดง ก็จะไม่มีการรับจดทะเบียนหรือต่อทะเบียนให้
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการหลอกขายอีกต่อไป กรมฯ ยังกำหนดให้บริษัทประกันภัยต่างๆ ส่งคืนสติกเกอร์ภายใน 120 วัน นับจากวันที่ 12 เม.ย.2550 เพื่อไม่ให้มีสติกเกอร์หลงเหลืออยู่ในท้องตลาดสำหรับเหตุผลในการยกเลิกสติกเกอร์ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถนั้น
นางจันทรากล่าวว่ามีเป้าหมายเพื่อเป็นการลดต้นทุนให้กับบริษัทประกันภัย และไม่ให้เกิดความยุ่งยากแก่ประชาชนผู้เอาประกัน โดยรูปแบบใหม่ในกรมธรรม์จะเป็นกระดาษลายน้ำ ยากต่อการปลอมแปลง และมีการจัดลำดับเลขที่กรมธรรม์ประกันภัย เพื่อสามารถตรวจสอบได้ และจะสะดวกต่อผู้เอาประกัน เพราะผู้เอาประกันจะต้องเก็บรักษากรมธรรม์ไว้ในรถ
ขณะเดียวกัน ยังได้สร้างระบบการรับข้อมูลการประกันภัย ซึ่งบริษัทประกันภัยจะต้องส่งข้อมูลประกันภัยทันที หากมีการรับประกันภัย เพื่อให้นำข้อมูลเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้ตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายขึ้น เพราะต่อไปจะมีการเชื่อมข้อมูลระหว่างกรมฯ บริษัทประกันภัย และกรมการขนส่งทางบกด้วย โดยคาดว่าการตรวจสอบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จะพัฒนาแล้วเสร็จภายในไม่ช้านี้ การปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถดังกล่าว นับข้อดีได้มากมาย ทั้งการช่วยลดต้นทุนให้กับบริษัทที่รับทำประกันภัยจากการไม่ต้องพิมพ์สติกเกอร์ ช่วยดึงให้รถทุกคันเข้าสู่ระบบประกันภัย เพราะถ้าไม่ทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ก็จะไม่ได้รับการต่อทะเบียน จากกรมการขนส่งทางบกแม้จะมีข้อดีตามที่กล่าวไว้ แต่หากประชาชนไม่สนใจที่จะทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะการคุ้มครอง คุ้มภัย ด้วยประกันภัย พ.ร.บ.นั้น ผลประโยชน์จะตกกับผู้ที่ทำประกันภัยเท่านั้น เพราะถ้าไม่ทำ หากมีปัญหาหรือประสบภัยขึ้นมา ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้
ที่สำคัญ ได้มีร้านค้าหรือตัวแทนที่ขายสติกเกอร์เดิม ได้ใช้ช่องว่างช่วงที่ยังเกิดความสับสนนี้ หลอกขายสติกเกอร์ให้กับผู้ใช้รถ ทั้งๆ ที่ได้มีการยกเลิกการใช้สติกเกอร์ดังกล่าวแล้ว
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า จากการประเมินผลในเบื้องต้น หลังจากกรมฯ ได้ยกเลิกการใช้สติกเกอร์ มีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากได้สอบถามมายังสายด่วนประกันภัย 1186 ว่ามีการยกเลิกการใช้สติกเกอร์ดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะยังมีบางร้านค้า โดยเฉพาะตัวแทนที่ขายสติกเกอร์ตามสถานที่ต่อทะเบียนรถ มาบอกให้ซื้อสติกเกอร์ก่อนการต่อทะเบียนรถ ซึ่งกรมฯ ขอยืนยันว่าตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. จะไม่มีการขายสติกเกอร์อีกต่อไป และประชาชนไม่จำเป็นต้องซื้อสติกเกอร์ก่อนไปต่อทะเบียนรถ แต่จะต้องทำกรมธรรม์ประกันภัยตามกฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2550 แทน
"หมายความว่า คนใช้รถยังคงมีหน้าที่ต้องทำประกันภัยตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เพียงแต่จะไม่มีสติกเกอร์ให้มาเพื่อนำไปติดไว้หน้ารถเหมือนเดิม โดยเมื่อไปทำประกันภัยแล้ว บริษัทประกันภัย จะออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย และให้นำหลักฐานอันนี้ไปใช้ยืนยันว่าได้ทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว และให้เก็บหลักฐานนี้ไว้ในรถ หากมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะได้มีหลักฐานแสดง"
ทั้งนี้ แม้จะมีการยกเลิกการใช้สติกเกอร์แล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดโอกาสให้คนใช้รถไม่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. เพราะได้มีการอุดช่องว่างตรงจุดนี้โดยได้มีการกำหนดให้กรมการขนส่งทางบก ที่รับจดทะเบียนหรือต่อทะเบียนรถ จะต้องตรวจสอบว่ารถคันนั้นๆ มีการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยตาม พ.ร.บ. แล้วหรือยัง ถ้าไม่มีหลักฐานมาแสดง ก็จะไม่มีการรับจดทะเบียนหรือต่อทะเบียนให้
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการหลอกขายอีกต่อไป กรมฯ ยังกำหนดให้บริษัทประกันภัยต่างๆ ส่งคืนสติกเกอร์ภายใน 120 วัน นับจากวันที่ 12 เม.ย.2550 เพื่อไม่ให้มีสติกเกอร์หลงเหลืออยู่ในท้องตลาดสำหรับเหตุผลในการยกเลิกสติกเกอร์ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถนั้น
นางจันทรากล่าวว่ามีเป้าหมายเพื่อเป็นการลดต้นทุนให้กับบริษัทประกันภัย และไม่ให้เกิดความยุ่งยากแก่ประชาชนผู้เอาประกัน โดยรูปแบบใหม่ในกรมธรรม์จะเป็นกระดาษลายน้ำ ยากต่อการปลอมแปลง และมีการจัดลำดับเลขที่กรมธรรม์ประกันภัย เพื่อสามารถตรวจสอบได้ และจะสะดวกต่อผู้เอาประกัน เพราะผู้เอาประกันจะต้องเก็บรักษากรมธรรม์ไว้ในรถ
ขณะเดียวกัน ยังได้สร้างระบบการรับข้อมูลการประกันภัย ซึ่งบริษัทประกันภัยจะต้องส่งข้อมูลประกันภัยทันที หากมีการรับประกันภัย เพื่อให้นำข้อมูลเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้ตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายขึ้น เพราะต่อไปจะมีการเชื่อมข้อมูลระหว่างกรมฯ บริษัทประกันภัย และกรมการขนส่งทางบกด้วย โดยคาดว่าการตรวจสอบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จะพัฒนาแล้วเสร็จภายในไม่ช้านี้ การปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถดังกล่าว นับข้อดีได้มากมาย ทั้งการช่วยลดต้นทุนให้กับบริษัทที่รับทำประกันภัยจากการไม่ต้องพิมพ์สติกเกอร์ ช่วยดึงให้รถทุกคันเข้าสู่ระบบประกันภัย เพราะถ้าไม่ทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ก็จะไม่ได้รับการต่อทะเบียน จากกรมการขนส่งทางบกแม้จะมีข้อดีตามที่กล่าวไว้ แต่หากประชาชนไม่สนใจที่จะทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เพราะการคุ้มครอง คุ้มภัย ด้วยประกันภัย พ.ร.บ.นั้น ผลประโยชน์จะตกกับผู้ที่ทำประกันภัยเท่านั้น เพราะถ้าไม่ทำ หากมีปัญหาหรือประสบภัยขึ้นมา ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้