xs
xsm
sm
md
lg

บทบาทที่สับสนของรัฐบาลกับ คมช.

เผยแพร่:   โดย: หมายเหตุผู้จัดการ

สถานการณ์บ้านเมืองในทุกวันนี้เป็นดังที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติท่านหนึ่งได้วิเคราะห์เอาไว้ว่า อยู่ในสภาพกึ่งสงครามและกึ่งปฏิวัติ มีความระส่ำระสายและความตึงเครียดไปทั้งบ้านทั้งเมือง หาความเป็นปกติสุขดังแต่ก่อนมิได้

เพราะทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดล้วนมีกำลังทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด บางครั้งก็มีข่าวเคลื่อนย้ายกำลังทหารจากที่นั่นไปที่นี่ และมีความปั่นป่วนวุ่นวายเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะใจกลางพระนคร

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีความรุนแรงมากขึ้น ฝ่ายตรงกันข้ามเปิดปฏิบัติการรุกทางการทหารอย่างรุนแรงและกว้างขวางกว่าทุกระยะที่ผ่านมา ถึงขนาดสามารถยกกำลังเข้าตีฐานทหารพรานได้แล้ว และแต่ละวันก็มีการสังหารผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับสิบ

เรียกว่าประเทศไทยในวันนี้เหมือนเผชิญกับศึกเหนือเสือใต้ และมีอาการพะว้าพะวังห่วงหน้าพะวงหลังให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น จนไม่มีใครแน่ใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะความไม่เด็ดขาดและความไม่ชัดเจนของทั้งรัฐบาลและ คมช. ประกอบทั้งองค์ประกอบของรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นอดีตข้าราชการประจำที่ไม่รู้จักการบริหารงานเชิงนโยบาย ชั่วชีวิตได้แต่รับคำสั่งจากนักการเมืองให้ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้โดยไม่ต้องมีความคิดอ่านประการใด

เพราะเหตุนั้น ความเฉื่อยชาล้าหลังและความหน่อมแน้มในทุกสิ่งทุกอย่างทุกเรื่องทุกราวจึงเกิดขึ้นให้เห็นโดยทั่วไป

องค์กรบริหารหรือคณะบริหารที่มีลักษณะแบบนี้ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของบ้านเมืองที่กำลังอยู่ในวิกฤตศึกเหนือเสือใต้

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะพ่ายทั้งศึกเหนือทั้งเสือใต้ นั่นคือเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเสี่ยงต่ออำนาจรัฐเก่าที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้วล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เมื่อเป็นเช่นนี้ความไม่เชื่อมั่นทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศจึงเกิดขึ้นและดำรงอยู่ รวมทั้งขยายตัวไป จนในที่สุดก็จะเกิดความระส่ำระสายและเป็นอนาธิปไตย

เป็นเหตุการณ์ที่จะนำพาประเทศไทยและคนไทยไปสู่ความสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ควบคู่ไปกับการสูญเสียดินแดนครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุคนี้สมัยนี้ให้เป็นที่อับอายขายหน้าลูกหลานเหลนโหลนต่อไปในอนาคต

ประเทศไทยจะผ่านพ้นสถานการณ์อย่างนี้ไปได้อย่างไร? นี่คือคำถามใหญ่ที่วางอยู่ต่อหน้าประชาชนชาวไทยและเหนือผืนแผ่นดินไทยของเรา

การที่สภาพยักแย่ยักยันและเสื่อมทรุดเกิดขึ้นนั้นเนื่องจากบทบาทที่สับสนระหว่างรัฐบาลกับ คมช. เป็นบทบาทที่ถูกกำหนดขึ้นจากนักวิชาการเต้าหู้ยี้ ดังที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนั้นแล้ว

คือ คมช.เป็นผู้มีอำนาจเสนอและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลขึ้นรับช่วงภารกิจสี่ประการอันเป็นเหตุผลในการยึดอำนาจให้เป็นผลสำเร็จ และนำพาชาติบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจที่จะปรับเปลี่ยนผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นตำแหน่งที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. ดำรงอยู่

โดยฐานะดังกล่าวนั้น ประธาน คมช. คือนายเหนือรัฐบาล และรัฐบาลต้องมีหน้าที่ปฏิบัติภารกิจสี่ประการที่ คมช. อ้างเป็นเหตุยึดอำนาจให้เป็นผลสำเร็จ หากรัฐบาลไม่ทำหรือทำแบบหน่อมแน้มไม่มีประสิทธิผล คมช. ก็ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาผลงานและจัดการให้เป็นไปโดยถูกควร

ถ้าเห็นว่าดี มีผลงาน ทำการได้สำเร็จ ก็ให้โอกาสบริหารราชการแผ่นดินต่อไปจนกว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามารับช่วง แต่ถ้าเห็นว่าไม่ดี ไม่มีผลงาน สถานการณ์ย่ำแย่ลง คมช.ก็ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาและนำพาชาติบ้านเมืองต่อไป

ส่วนหน้าที่ผู้บัญชาการทหารบกนั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งขึ้นต่อปลัดกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายกรัฐมนตรี

ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกนั้นไม่ใช่ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องผูกพันอยู่กับประธาน คมช. เพราะถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารบกแล้ว หากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวยังใช้บังคับอยู่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก็ยังมีตำแหน่งเป็นประธาน คมช. อยู่นั่นเอง

ความสับสนเกิดขึ้นตรงที่ว่า รัฐบาลได้ปฏิเสธไม่รับภารกิจสี่ประการของ คมช. มาปฏิบัติ และ คมช. เองก็ไม่ทำหน้าที่ของ คมช. แต่ไปทำหน้าที่เป็นข้าราชการประจำ คือเป็นลูกน้องของรัฐบาล

จึงเกิดความสับสนขึ้น เพราะในบทบาทหนึ่ง คมช.เป็นหัวหน้าของรัฐบาล มีหน้าที่ต้องประเมินผลการบริหารงานของรัฐบาล และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่กลับไม่ทำหน้าที่ในบทบาทนี้

คือไม่ทำหน้าที่ประเมินผลการบริหารงานของรัฐบาล ไม่กำกับสั่งการรัฐบาลให้ปฏิบัติภารกิจสี่ประการและการอันควรต้องปฏิบัติ

ทั้งเมื่อสถานการณ์ทรุดหนักลง เกิดวิกฤตอย่างทั่วด้านเป็นศึกเหนือเสือใต้ก็เพิกเฉยละเลยไม่ทำหน้าที่ของตน ปล่อยให้รัฐบาลทำการไปตามอำเภอใจ มิหนำซ้ำยังทำตัวใหญ่กว่าผู้เป็นนายเสียอีก

ไม่ทำหน้าที่อันพึงกระทำแล้ว กลับไปทำเรื่องที่ไม่ควรกระทำ คือไปหลงทำตัวเป็นลูกน้องรัฐบาล เพราะติดยึดอยู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีสายการบังคับบัญชาชั้นล่างห่างไกลจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นึกดูกันเอาเองเถิด คน ๆ หนึ่งที่มีฐานะเป็นหัวหน้าแต่ไม่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า กลับมาทำหน้าที่เป็นลูกน้อง ในขณะที่หน้าที่ของหัวหน้าก็มีอยู่ และบางครั้งก็ต้องทำหน้าที่ของหัวหน้านั้นว่าเป็นอย่างไร

ความสับสนจึงเกิดขึ้นและขยายวงกว้างออกไป และทำให้ปัญหาขยายตัวไปเพราะทำอะไรกันไม่ได้

ในฐานะหัวหน้า มอบหมายสั่งการอะไรลูกน้องก็ไม่ทำ และพอลูกน้องสั่งการเอาบ้างตัวหัวหน้ากลับยอมทำเป็นแมวเชื่อง ๆ แต่บางครั้งบางคราก็ตระหนักรำลึกได้ว่าตัวเองมีหน้าที่เป็นหัวหน้าก็ว่าไปทางหนึ่ง จึงขัดกับที่เคยทำในฐานะลูกน้อง

อย่างนี้ผู้คนทั้งปวงจึงสับสน และความสับสนก็เกิดขึ้นทั้งแก่รัฐบาลและ คมช.ด้วย

อยากจะย้ำว่าในวันนี้ คมช.มีหน้าที่สำคัญอย่างเดียวเท่านั้น คือพิจารณาผลงานของรัฐบาล โดยถือเอาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก หากดีก็ปล่อยให้ทำหน้าที่ไป หากไม่ดีก็ต้องเปลี่ยน นี่คือความรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นอันขาด

จะมานับพี่นับน้องนับเพื่อนนับพ้องโดยทอดทิ้งประโยชน์ของประเทศชาติราชบัลลังก์ย่อมเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะนี่คือการละคำสัตย์ปฏิญาณ ถือเอาแต่เรื่องส่วนตัวเป็นใหญ่กว่าเรื่องของบ้านเมือง ซึ่งมีแต่จะต้องประสบกับสิ่งอัปมงคลเป็นแม่นมั่น

ภาวะสับสนเช่นว่านี้จึงมีผู้เปรียบเทียบว่าเหมือนกับการเล่นละครลิง เดี๋ยวก็เล่นเป็นนาย เดี๋ยวก็เล่นเป็นบ่าว จึงต้องทำความเข้าใจตรงนี้กันให้ชัดเจน

จะเล่นละครลิงกันต่อไป หรือว่าจะแก้ไขปัญหานำพาชาติเข้าสู่ความเป็นปกติสุขก็ตัดสินใจกันเอาเอง ! เพราะว่าตอนนี้แทบไม่มีคนดีหลงเหลืออยู่ในประเทศไทยของเราอีกแล้ว แต่ละคนแต่ละท่านล้วนถูกประจานโจมตีป้ายสีจนไม่มีชิ้นดี

ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ประเทศไทยคงสิ้นชาติแน่!
กำลังโหลดความคิดเห็น