xs
xsm
sm
md
lg

เรื่อง (ของ) เด็กๆ

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

ในสมัยที่ยังเด็กอยู่นั้น ผมกับเพื่อนเด็กด้วยกันจะมีเรื่องที่อิจฉาผู้ใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำได้ แต่เด็ก (อย่างพวกเรา) ทำไม่ได้ หรือไม่ก็ห้ามทำ เพราะยังไม่เป็นผู้ใหญ่

อย่างเรื่องสูบบุหรี่กินเหล้านั้นไม่สู้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะถึงจะรู้สึกว่ามันโก้มันเก๋ก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับไม่ชอบในกลิ่นหรือรสที่ได้สัมผัส เช่น ไม่ชอบกลิ่นควันบุหรี่ หรือไม่ชอบรสขมของเหล้า เป็นต้น

แต่ที่ว่าไม่ชอบนั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากลองนะครับ แต่ไม่ชอบนั้นก็เพราะเป็นการสัมผัสในตอนแรกเท่านั้น ที่ยังไงก็ยากที่จะมาลบความรู้สึกที่อยากจะโก้แบบนั้นบ้างไม่ได้

เรื่องที่เด็กอย่างพวกเราอิจฉาผู้ใหญ่นั้น โดยมากแล้วมักจะเป็นเรื่องการเล่นบางอย่าง การกิน การได้ดูหนัง การเที่ยวในสถานที่บางประเภท รวมตลอดจนการแต่งตัว เป็นต้น

จากความอิจฉาที่ว่า ส่งผลให้พวกเราเด็กๆ มีความอยากที่จะเป็นผู้ใหญ่กันเร็วๆ

บางครั้งก็วางท่าวางทางให้ดูเป็นผู้ใหญ่ เช่นถ้าเดินก็จะเดินให้รู้สึกวางตัวเองสูงใหญ่และมี “ท่า” หรือถ้านั่ง ก็จะนั่งไขว่ห้างหรือยกขาข้างหนึ่งไปก่ายอีกข้างหนึ่ง ถ้ากระดิกปลายเท้าที่ลอยอยู่ได้ด้วยก็ยิ่งดี

เรื่องท่านั่งแบบผู้ใหญ่นี้ผมเห็นรุ่นผมกันค่อนข้างมาก และทำทีไรก็จะถูกผู้ใหญ่ดุทีนั้น คือดุว่าเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรนั่งอย่างนั้น หรือไม่ก็ว่าไม่สุภาพ ซึ่งพวกเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงห้าม ทั้งๆ ที่ที่เราทำนั้น เราเลียนแบบมาจากผู้ใหญ่แท้ๆ

นอกจากกิริยาท่าทางแล้ว การพูดการจาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่พยายามพูดให้ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะเวลาที่พูดกับผู้ใหญ่เท่านั้น กับเด็กด้วยกันก็พยายามที่จะพูดเช่นนั้น

การพูดการจาแบบนี้คงดูตลกไม่น้อยในสายตาของผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่คงจะเห็นความไร้เดียงสาของพวกเรามากกว่าที่จะจริงจังในคำพูดของพวกเรา ส่วนพวกเราเด็กๆ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ต้องยิ้มด้วย (วะ) ในเมื่อเรื่องที่เราพูดอยู่นั้นไม่ตลก แต่เป็นเรื่องจริงจัง

ส่วนเรื่องที่ผู้ใหญ่ห้ามพวกเราได้ยากก็คือ การแต่งตัว เรื่องนี้อย่าได้เผลอเป็นอันขาด ถ้าได้โอกาสก็จะทำทันที เช่น ถ้าเป็นตอนปิดเทอม พวกเราจะแต่งตัวคล้ายกับที่ผู้ใหญ่แต่งกัน โดยเฉพาะเรื่องของทรงผม ที่ไม่มีช่วงเวลาใดที่จะทำให้เราไว้ผมยาวได้ดีเท่ากับช่วงปิดเทอมอีกแล้ว

ถ้าเป็นไปได้และโอกาสเปิดให้ เด็กอย่างพวกเราจะต้องหาครีมมาใส่ผมให้ได้

ด้วยความรู้สึกที่อยากเป็นผู้ใหญ่ระคนกับความรู้สึกแบบเด็กๆ พวกเราเด็กผู้ชายจะรู้สึกชอบสีสันที่สดใสของครีมแต่งผมชาย หรือกลิ่นที่แสนจะหอมของมัน และที่ใส่นั้นก็ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย หากแต่ต้องการที่จะให้ครีมที่เหนียวเหนอะหนะนั้นเกาะเส้นและจัดทรงผมแบบผู้ใหญ่ให้อยู่หมัด โดยในสมัยที่ผมเด็กมากๆ ทรงที่จัดจะเป็นทรงที่หวีเสยขึ้น พอเป็นเด็กโตก่อนวัยรุ่นหรือวัยแรกรุ่น ทรงที่จัดก็จะเป๋ๆ ปรกหน้าผากหน่อยๆ

การหาครีมมาใส่หัวตัวเองนี้เป็นเรื่องของจินตนาการบน “กบาล” ล้วนๆ (หรืออย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งล่ะครับ) คือคิดเห็นภาพไปว่า เส้นผมที่ครีมจัดทรงได้อยู่หมัดนั้นเป็นเส้นผมที่ยาวแบบเส้นผมของผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่มันสั้นกว่าหลายเท่า

ฉะนั้น ทรงที่ออกมาจริงๆ จึงเป็นทรงผมหนึ่งหย่อมเล็กๆ ด้านหน้าที่ถูกเสยไปข้างหลัง และรูปทรงที่ออกมาจึงเป็นยอดแหลมๆ เลยจากหน้าผากขึ้นไป ดูไปแล้วก็เหมือนมีเขาสีดำงอกอยู่บนหัว

แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่ามันมีเรื่องของจินตนาการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น ทรงผมที่แลดูน่าเกลียดหรือตลกทรงนั้น จึงถูกกลบไปด้วยความสุขใจไปเสียสนิท

จะอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่อยากจะเป็นผู้ใหญ่ของเด็กสมัยผมมาบรรลุเอาจริงๆ ก็ตอนที่เป็นวัยรุ่นไปแล้ว ยิ่งอายุใกล้ 20 ก็ยิ่งรู้สึกบรรลุมากขึ้น และพอเรียนจบมัธยมหรือเข้าวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยไปแล้ว ความเป็นผู้ใหญ่ก็อยู่ในความรู้สึกจนแทบจะเต็มเปี่ยม

แต่จะเพราะความพยายามที่จะเป็นผู้ใหญ่หรือรู้สึกจริงๆ ว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ตอนวัยรุ่นนั้น ผมสังเกตได้ว่า สังคมไทยสมัยนั้นก็ออกจะเป็นใจให้กับเด็กสมัยผมหรือรุ่นก่อนหน้าผมอยู่ด้วย ผมเชื่อว่า คงเป็นเหตุนี้ด้วยไม่มากก็น้อย ที่ทำให้เด็กสมัยผมสามารถทำอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้สำเร็จ

เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องการเมือง

การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ดูใหญ่โตและเป็นเรื่องเป็นราวในสมัยนั้น (พุทธทศวรรษ 2510) ส่วนหนึ่งจึงเกิดขึ้นได้เพราะเด็กสมัยนั้นเชื่อว่าตนเป็นผู้ใหญ่ และสังคมก็เชื่อในวุฒิภาวะเสียด้วย

ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าสู่กันฟังก็เพราะผมสังเกตว่าเด็กสมัยนี้ไม่เหมือนเด็กรุ่นผม (หรือก่อนหน้ารุ่นผมประมาณ 3-5 ปี) คือผมเห็นว่าเด็กรุ่นปัจจุบันนี้ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นก็ยิ่งอยากจะเป็นเด็กให้มากขึ้น

ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะทำตัวให้ดูแบบที่เขาเรียกกันว่า “คิกขุ” ให้มากเข้าไว้ ถ้าเป็นผู้ชายก็จะทำตัวให้เป็นแบบที่เรียกว่า “โจ๋” โดยการทำตัวให้ดูเด็กหรืออ่อนวัยนี้ยังมีเครื่องมือหรือตัวช่วยอีกด้วย ตัวช่วยพวกนี้ที่เห็นได้ชัดก็คือ บรรดาครีมโฟมหรือครีมถนอมผิวทั้งหลายแหล่

ตัวช่วยเหล่านี้มีคุณสมบัติตั้งแต่ช่วยทำให้ผิวที่พึงหยาบกร้านตามวัยดูอ่อนนุ่มขึ้น ลบรอยตีนกาหรือริ้วรอยอื่นๆ ที่บ่งชี้ว่ามีวัยสูงขึ้น ทำให้หน้าใสหรือดูสดใสแบบวัยเด็กมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งผิดกับครีมใส่กบาลที่เด็กรุ่นผมใช้ราวฟ้ากับดิน

นอกจากความแตกต่างที่ว่าแล้ว ความแตกต่างอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญกว่าเรื่องข้างต้น (ที่เป็นเรื่องการทำตัวเองให้เป็นเด็กในทางกายภาพหรือรูปโฉมภายนอก) ก็คือ ในขณะที่เด็กในสมัยผมพยายามเป็นผู้ใหญ่อยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นได้หรือไม่ได้ หรือเป็นในโลกของความเป็นจริงหรือโลกจินตนาการก็ตาม ความรู้สึกหรือความเชื่อที่ว่านั้นก็ไม่ได้เอื้อให้เด็กสมัยผมทำอะไรแบบผู้ใหญ่ได้มากนัก ผิดกับเด็กสมัยนี้ (ที่ยิ่งสูงวัยขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตนเองให้ดูเด็กขึ้นนั้น) กลับปรากฏว่า ในความเป็นเด็ก (ในวัยที่เป็นผู้ใหญ่) กลับสามารถทำอะไรที่ผู้ใหญ่เขาทำเป็นปกติได้อย่างสบายมาก

คือทำได้มากกว่าสมัยผมมากมายหลายเท่า ทำอะไรนะหรือครับ? ผมว่าประมวลจากข่าวที่รายงานกันมาจากหลายปีมานี้เราก็คงจะเห็นได้ชัด เช่น การมีเซ็กซ์กันเป็นว่าเล่น การใช้ยาเสพติด การดื่มสุรา การเล่นการพนัน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างหลังนี้มีผลการสำรวจออกมาแล้วว่า ปัจจุบันเมืองไทยมีเด็กติดการพนันประมาณ 2 ล้านคนเข้าไปแล้ว

ปรากฏการณ์ที่ขัดแย้งกันเองตามยุคสมัยไม่ได้ทำให้ผมอิจฉาแต่อย่างไร เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมโตเป็นผู้ใหญ่มานานนับสิบปีแล้ว ซึ่งยาวนานพอที่จะบอกตัวเองได้ว่า นี่ไง...การเป็นผู้ใหญ่ที่มึงอยากจะเป็น ที่พอเอาเข้าจริงแล้วมันไม่ได้น่าอิจฉาแม้แต่น้อย แถมหลายเรื่องยังเป็นทุกข์อีกต่างหาก (แหะๆ...สู้ตอนเป็นเด็กไม่ได้ สบายดี...ฮา)

แต่ก็ด้วยปรากฏการณ์ที่ขัดแย้งกันเองดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้ผมพบว่ามันยังมีอะไรที่เหมือนๆ กันในระหว่างเด็กสมัยผมกับเด็กสมัยนี้ นั่นคือ การพยายามมีพฤติกรรมแบบผู้ใหญ่นั้น ต่างล้วนมาจากการได้เห็นพฤติกรรมของผู้ใหญ่ทั้งสิ้น

และเวรกรรมแท้ๆ ที่ให้บังเอิญว่า ผู้ใหญ่ที่มีพฤติกรรมที่ว่านั้น ส่วนหนึ่งก็คือผู้ใหญ่รุ่นผมในปัจจุบันนี้เอง คือเป็นรุ่นที่ตอนเด็กๆ ที่อยากจะทำแบบผู้ใหญ่แต่ทำไม่ค่อยได้ ก็เลยมาระบายเอาตอนที่เป็นผู้ใหญ่ตอนนี้ แล้วก็เลยกลายมาเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีดังว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น