karoonsen@hotmail.com
ปัจจุบันภัยจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือการคอร์รัปชัน กลายเป็นเนื้อร้ายและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของคนไทยจำนวนมาก จนสำคัญว่าเป็นวัฒนธรรมของชนชาติไทยไปโดยปริยาย
สื่อและสังคมไทยเพ่งเล็งให้ความสำคัญเรื่องทุจริตคอร์รัปชันไปยังกลุ่มข้าราชการการเมือง หรือนักการเมืองเป็นอันดับแรก แต่สิ่งที่สังคมไทยลืมไปว่า กลุ่มใหญ่อีกกลุ่มที่มีการคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่องและยาวนานกัดกินประเทศชาติอยู่โดยไม่สนใจใคร และฝังรากลึกลงไปจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ผิดแบบผิดแผน คือ กลุ่มข้าราชการประจำ
ยิ่งถ้ากลุ่มทุจริตมีระดับสูงมากเท่าไร การตรวจสอบก็ยิ่งทำได้ยากมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังสยายปีกไปคุ้มครองการทุจริตระดับล่างๆ ลงไปให้หลุดพ้นจากบ่วงการตรวจสอบเอาโทษได้อย่างปลอดภัย
ผมมีโอกาสเข้าไปตรวจสอบการทุจริตในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตวุฒิสภา เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก 7 ชั้น แห่งหนึ่งแถวชานเมือง มูลค่าการก่อสร้างสูงถึง 400 ล้านบาท ใช้เวลาการก่อสร้างแล้วเสร็จ ประมาณ 8 ปี เกินกว่าสัญญากว่าหนึ่งเท่าตัว
เราได้รับเรื่องร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลดังกล่าว เกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากล และมีการกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีการต่างๆ นานา ด้วยเหตุผลที่ว่า เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวนำข้อมูลความลับเกี่ยวกับการทุจริต กินอิฐหินดินทรายออกมาเผยแพร่และร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต เพราะการก่อสร้างฉ้อฉล ไม่เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติ ปล่อยปละละเลยจากกรรมการตรวจการจ้าง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตลอด ไม่มีการตรวจสอบวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง
คณะกรรมการตรวจการจ้างและเป็นผู้หญิงได้ร้องให้มีการตรวจสอบ เนื่องจากได้เห็นแบบชั่วแวบเดียว ที่ระบุว่า วงกบอะลูมิเนียมช่องแสงเป็นสีดำเข้ม แต่ที่เห็นอยู่ทนโท่ตึกสูงเจ็ดชั้น วงกบอะลูมิเนียมช่องแสงโดยรอบและภายในติดตั้งเป็นสีขาวธรรมชาติของอะลูมิเนียม ไม่ตรงตามสเป็กหรือตามที่กำหนดไว้ใน TOR เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงได้เริ่มตรวจสอบลึกขึ้น ทราบข้อมูลที่น่าตกใจไปกว่านั้นว่า อาคารแห่งนี้ขาดความมั่นคงแข็งแรง ไม่มีการทดสอบวัสดุ เช่น คอนกรีต เหล็กเสริม ในขณะก่อสร้างตั้งแต่งานเข็มเจาะ และคอนกรีตโครงสร้าง
การตรวจสอบของสถานการศึกษาที่มีชื่อเสียง ระบุว่าอาคารมีความมั่นคงแข็งแรงต่ำกว่ามาตรฐานมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาคารมีสภาพเหมือนอาคารโดนไฟไหม้นั้น มีการปิดบังซ่อนเร้น อำพราง บิดเบือนจากผู้เกี่ยวข้องแทบทุกคน แม้กระทั่งงานทำถนนรอบอาคารทั้งหมด ซึ่งสัญญาระบุให้ต้องรื้อถนนเดิม ซึ่งก่อสร้างมาถึง 20 ปี และถมดินเสริมขึ้นมาประมาณ 0.80 เมตร ก็มิได้มีการทำ ตามสัญญาแต่อย่างใดทั้งสิ้น มีแต่คำรับรองของวิศวกรและผู้ควบคุมการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องว่ามีความแข็งแรง
หลังจากเทคอนกรีตถนนเสร็จ และพร้อมจะใช้งานได้ ปรากฏว่า ถนนเกิดแตกร้าวเกือบทั้งหมดในวันที่สามารถใช้งานถนนได้ในวันแรก กลุ่มผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายเอกชนดาหน้าเข้าปกป้องผลงานว่ามีความถูกต้องตามแบบทั้งสิ้น ผู้ร้องเกี่ยวกับเรื่องทุจริตถูกรุมเล่นงานมาจากทุกทิศทุกทาง
กระทั่งไปสู่สูตรสำเร็จของกลุ่มผู้ทุจริต นั่นคือ การฟ้องหมิ่นประมาทผู้ที่เอาเรื่องทุจริตทั้งหลาย มาขยายออกสู่สังคมจุดมุ่งหมายของการฟ้องมิได้เพื่อที่จะชนะในคดี แต่จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ผู้ร้องหยุดรื้อค้นเรื่องทุจริตทั้งหลายเสียที โดยใช้ข้ออ้างว่าเพราะเรื่องขึ้นสู่ศาลแล้ว และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ร้องที่จะต้องใช้เงินมาต่อสู้คดีเป็นจำนวนมาก
กลุ่มผู้ทุจริตหวังไปอีกว่า จะได้รับการติดต่อเพื่อขอยอมความในคดี เพราะเรื่องนี้ได้มีการล็อบบี้จากข้าราชการระดับสูงในขบวนการทุจริต เพื่อให้เรื่องยุติโดยการยอมขอโทษหรือยอมรับกับกลุ่มทุจริตว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงก็จะมีการถอนฟ้องให้
แต่ผู้ร้องก็ยึดมั่นในความถูกต้อง และไม่ก้มหัวให้กับกลุ่มผู้ทุจริต สุดท้ายศาลจึงยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ทั้ง 5 คดีที่โดนฟ้อง ผู้ร้องได้รวบรวมเอกสารที่มีและยื่นร้องต่อ พล.ต.อ. ประทิน สันติประภพ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา ได้รวบรวมเอกสาร และเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าให้ปากคำหลายราย จนได้ผลสรุปชี้ว่าเกิดการทุจริตขึ้นจริง และให้เอาผิดกับกลุ่มผู้ทุจริต ทั้งหมดอันประกอบด้วย อธิบดี รองอธิบดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาล จนถึงระดับนายช่างผู้ควบคุมงาน และผู้เกี่ยวข้องอีกหลายราย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และได้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. และกระทรวงต้นสังกัดเพื่อลงโทษ
ปรากฏว่าในส่วนของต้นสังกัดใส่เกียร์ว่างมาโดยตลอด ผมทราบมาว่าได้มีการแอบพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วเงียบๆ สรุปออกมาว่าไม่มีผู้ใดผิด โดยไม่สนใจผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ซึ่งท่านผู้สนใจสามารถหาข้อมูลผลการพิจารณาได้จากเว็บไซต์ของผม www.karoon-saingam.net ได้
เมื่อมีการแอบพิจารณาแบบนี้ ทำให้คนที่เกี่ยวข้องหันกลับมาเล่นงานผู้ร้อง ซึ่งเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงโดยถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักทุกวิถีทางที่ทำได้ แต่ผู้ทุจริตเหล่านั้นลืมไปว่า ขณะนี้ ป.ป.ช. กำลังเร่งดำเนินการเรื่องนี้อยู่
น่าเสียดายที่มีความล่าช้าในการดำเนินการขององค์กรที่มีหน้าที่ดำเนินการเรื่องเหล่านี้ มันเปรียบเสมือนเป็นความอยุติธรรม ให้กับคนดีที่คอยทำนุบำรุงบ้านเมืองอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่อาจหมดกำลังใจไปแล้วด้วยซ้ำ
การร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้ควรมีการออกแบบให้รัฐธรรมนูญสามารถคุ้มครองบุคคลที่ชี้เบาะแสการทุจริตให้ได้ผลอย่างแท้จริงด้วยในทางปฏิบัติ
อาจจะมีหลายท่านให้ความสงสัยว่าเกิดเรื่องฉาวโฉ่ชัดเจนอย่างนี้ไม่มีกลุ่มคนใดหรือแม้กระทั่ง กลุ่มข้าราชการรวมตัวกันต่อสู้เพื่อความถูกต้องเลยหรือ ผมอยากให้พวกเรามาพิจารณาและมองสภาพสังคมในปัจจุบันตามที่เคยได้ยินว่า คนดีนั้นมีมาก แต่คนกล้านั้นมีน้อย
ผมเห็นมาส่วนใหญ่ก็เห็นไปยืนหน้าเจื่อนอยู่หลังพวกมิชอบซะแทบทุกคน อย่างนี้เราจะเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่าคนดีได้หรือเปล่าครับ
กรณีของคุณผู้หญิงที่เป็นผู้ร้องเรื่องทุจริตก่อสร้างอาคารถึง 400 ล้านบาท ที่ผ่านมาจนถึง ปัจจุบันถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยความมัวเมาในอำนาจของผู้บังคับบัญชาอย่างชนิดที่เรียกว่าลืม คำว่า หิริโอตตัปปะ คือความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปโดยสิ้นเชิง ไม่ทราบว่านรกกำลังสะกิดขาท่านอยู่ ท่านรู้ตัวหรือยัง
พากันตั้งหน้าตั้งตากลั่นแกล้งเอาเป็นเอาตายกับผู้ร้องเรื่องทุจริต เพราะต้องการเอาเป็นผลงานกับผู้ใหญ่ที่ทุจริตเกี่ยวกับกรณีนี้อยู่ เช่น สั่งย้ายผู้ร้องให้พ้นจากหน้าที่ทางด้านพัสดุด้วยเหตุผลว่า เพื่อความเหมาะสมเพราะทำหน้าที่นี้มากว่า 20 ปีแล้ว
เธอผู้นี้เป็นผู้ที่ได้รับรางวัลชมเชยจากสมาคมนักการพัสดุแห่งประเทศไทยว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้านการพัสดุอย่างแท้จริง ซึ่งยังไม่มีใครที่สังกัดกระทรวงนี้เคยได้เหมือนเธอมาก่อน อีกทั้งไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสียหรือเสียหายใดๆ มาก่อนเลย อีกทั้งยังได้รับการเชิดชูเกียรติจากคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภาว่าเป็นผู้มีความเสียสละกล้าหาญ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติอีกด้วย
มีการกลั่นแกล้งตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนสืบสวนเธอเพื่อยัดเยียดความผิด ก็ดูมันจะเลอะเทอะไปกันใหญ่ ตั้งขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งเธอเนื่องจากตนเองกระทำผิดกฎระเบียบของทางราชการอย่างร้ายแรงโดยการเซ็นคำสั่งที่จะมีผลให้โทษกับเธอ เนื่องจากความดันทุรัง
เมื่อจนด้วยข้อมูลและระเบียบปฏิบัติ กลับเอาเอกสารไปเซ็นอนุมัติย้อนหลังเป็นเดือนๆ อีกทั้งกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นมาก็เอาพวกลิ่วล้อรอบตัวขึ้นมาเป็นกรรมการสอบทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้แถมยังเป็นข้าราชการที่ระดับต่ำกว่า และยังตั้งเพื่อนตัวเองที่เป็นข้าราชการบำนาญ เสมือนเป็นประชาชนทั่วไปเข้ามาเป็นกรรมการดังกล่าว ไม่รู้ว่าทำเข้าไปได้อย่างไร
เราไปมุ่งเน้นอยู่กับการจับตาคอร์รัปชันอันเกิดมาจากการกระทำของนักการเมืองแต่ฝ่ายเดียวจนลืมและละเลยกับการตรวจสอบข้าราชการประจำ
หลายครั้งข่าวการทุจริตที่โยงใยระหว่างข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจำมักจะถูกผลักความรับผิดชอบให้กับข้าราชการการเมืองเป็นฝ่ายรับผิดชอบเสมอ อย่างเช่นกรณีคอมฯ 900 ล้านที่เรายังไม่ทราบบทสรุปอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตัวละครสำคัญก็อยู่ในกรณีข้างต้นนี้เช่นกัน