พิษณุโลก - "โฆสิต" สอนมวยผู้ว่าฯ 5 จังหวัดเหนือล่าง ให้เป็นนักยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ทำยุทธศาสตร์เพื่อขอสตางค์ เหมือนบางจังหวัดที่ตั้งแท่นของบฯกว่าพันโครงการ แจงแก่นแท้เศรษฐกิจพอเพียง คือ ให้ผู้ว่าฯดึงเงิน อบจ. ที่ร่ำรวยมหาศาลมาพัฒนา - ปรับบทบาทนายอำเภอให้เป็นนักบริหาร รวบ อบต.เข้าร่วมพัฒนาจังหวัด ตามโครงการอยู่ดีมีสุข
วานนี้ (1 มิ.ย.)นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เดินทางมาที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อติดตามความก้าวหน้าผลดำเนินงานตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง โดยมีผู้ว่าฯทั้ง 5 จังหวัด คือ พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตากและพิจิตร เข้าร่วมรับฟังการบรรยายการดำเนินงานโครงการอยู่ดีมีสุขรายจังหวัด ก่อนที่นายโฆสิตจะเดินทางต่อไปจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อร่วมประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี เพชรบูรณ์ และกำแพงเพชร
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เปิดเผยว่า การเดินทางมาครั้งนี้ เพื่อติดตามโครงการดำเนินงานยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขใน 5 จังหวัด เน้นใช้จ่ายเงินให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ให้เร่งเบิกจ่ายให้เสร็จก่อนเดือนกันยายนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งคณะกรรมการเข้าตรวจสอบในแต่ละจังหวัดแล้ว แต่ยังไม่พบว่า มีการใช้เงินผิดประเภท ซึ่งโครงการอยู่ดีมีสุขไม่ใช่งบกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เน้นให้ประชาชนพึ่งพาตนเอง
ทั้งนี้ ในที่ประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ได้รายงานถึงโครงการอยู่ดีมีสุขต่างๆ เริ่มต้นจากการของบประมาณ และงบประมาณที่ได้รับ กระจายไปสู่กี่ตำบลในแต่ละจังหวัด ของจังหวัดสุโขทัยเป็นอันดับแรก ซึ่งผู้ว่าฯสุโขทัย ได้รายงานถึงงบประมาณที่เสนอไป 1,241 โครงการ รวมเงินงบประมาณ 1,707 ล้านบาท ปัจจุบันได้รับงบประมาณจากรัฐบาล ตามโครงการอยู่ดีมีสุขจังหวัดสุโขทัยจำนวนเงิน 70 ล้านบาท
สำหรับอุตรดิตถ์ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 59 ล้านบาท จังหวัดพิษณุโลกได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 81 ล้านบาท จังหวัดตากได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 69 ล้านบาท และจังหวัดพิจิตรได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 73 ล้านบาท
นายโฆสิต กล่าวว่า การทำงานด้านยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข คือการใช้ความสามารถของผู้ว่าราชการจังหวัด งบประมาณหรือตัวเงินเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสร้างความเข้าใจการบริหารยุทธศาสตร์ ปรับบทบาทการพัฒนาจังหวัด ไม่ใช่ยุทธศาสตร์เพื่อขอสตางค์ ขอให้ผู้ว่าฯพึ่งพาตัวเอง และต้องเชื่อมโยงความคิดของชุมชนให้เป็นส่วนหนึ่งของแผน ควรดึงงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ที่ใช้อยู่ปีละกว่า 100 ล้านบาท/จังหวัด เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการนี่คือแก่นแท้ของเศรษฐกิจพอเพียง เพราะถ้าจะขอเงินเท่าไรก็ไม่พอ
รองนายกฯโฆสิต กล่าวอีกว่า ผู้ว่าฯจะต้องกระตุ้นให้นายอำเภอ เป็นนักพัฒนา และเป็นองค์กร เหมือนกับองค์กรพัฒนาเอกชน ควรปรับและทำความเข้าใจกับคำว่านักพัฒนา โดยต้องมีความสามารถ อบต.ในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมการพัฒนาจังหวัด
"การได้เม็ดเงินน้อยๆ น่าจะทำให้ผู้ว่าฯแต่ละจังหวัด ทำหน้าที่ประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มากขึ้น ให้มองเป็นแผนยุทธศาสตร์ ที่สำคัญต้องเปลี่ยนความคิดเดิมๆ ที่คอยแต่นำเสนอแผนงาน คิดเป็นตัวเลข และเงินงบประมาณ เพื่อขอสตางค์ ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ อาศัยยุทธศาสตร์เป็นเครื่องมือ เพราะท้องถิ่นมีเงินมหาศาล"นายโฆสิต กล่าว