ผู้จัดการรายวัน - ศรีไทยฯฉวยจังหวะเศรษฐกิจไทยซบ เตรียมฮุบหุ้นใหญ่ในบริษัทผลิตสินค้าพลาสติกเพิ่มเติม พร้อมกับสยายปีกการลงทุนในต่างประเทศทั้งเวียดนามและไทย ตั้งเป้า 6ปีข้างหน้ามีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจเทรดดิ้งจะสร้างรายได้คิดเป็น 30%ของรายได้ทั้งหมด
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัทร่วมทุนที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์พลาสติกในเร็วๆนี้ ทำให้ศรีไทยฯมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 20% เป็น 90% ใช้เงินลงทุนประมาณ 50-60 ล้านบาท เพื่อเป็นการขยายกำลังการผลิตของศรีไทยฯ หลังจากต้นปีนี้ บริษัทฯได้มีการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ศรีไทย นาโนพลาส จำกัดจากเดิม40%เป็น 70% ซึ่งการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2 บริษัทนี้จะทำให้บริษัทรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังนี้แม้ว่าจะไม่สูงนัก
นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตเมลามีนเพิ่มเติมในเวียดนามใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จและดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนก.ค.นี้ รวมทั้งยังหาลู่ทางการขยายธุรกิจไปยังประเทศอินเดีย โดยเริ่มต้นจะร่วมทุนกับพันธมิตรในอินเดียตั้งโรงงานผลิตเมลามีนใช้เงินไม่เกิน 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสถานที่ตั้งโรงงาน โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จะเน้นจำหน่ายในอินเดียและที่เหลือส่งออก
ในปี 2550 บริษัทคาดว่าจะมียอดขายรวม 4.9 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 7-8% เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว โดยไตรมาสแรกบริษัทฯมีรายได้รวม 1.30 พันล้านบาท ซึ่งเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงจาก 21% เป็น 18% เนื่องจากบริษัทส่งออกสินค้าไปต่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ไม่ให้ต่ำกว่า 18%
ซึ่งบริษัทเป้าหมายในอีก 6 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการครบรอบ 50 ปีของศรีไทยฯ บริษัทจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ตั้งเป้ารายได้ไว้ 4.9 พันล้านบาท โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจเทรดดิ้ง คิดเป็นสัดส่วน 30% และที่เหลือเป็นรายได้จากการผลิตของบริษัทเอง
นายสนั่นยอมรับว่า อุตสาหกรรมพลาสติกของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองมาตั้งแต่ปลายปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศลดลง และไม่มีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ขณะเดียวกันการส่งออกของไทยก็ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ทำให้เสียเปรียบคู่แข่งที่ค่าเงินแข็งค่าน้อยกว่า รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการเตรียมพร้อมรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่มากระตุ้นตลาด รวมทั้งส่งออกสินค้าไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็น 30%ของยอดขาย ขณะเดียวกันก็หันมาทำธุรกิจเทรดดิ้งโดยนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาจำหน่าย ขณะที่ตลาดชิ้นส่วนพลาสติกเพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้ายังเติบโตดีอยู่ส่งผลให้บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดนี้มากนัก
จากการหันมาทำตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท ขณะที่มีการนำเข้าเม็ดพลาสติกและเครื่องจักรประมาณ 400 ล้านบาท ทำให้ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าบ้าง เนื่องจากไม่มีนโยบายที่จะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนส่วนเกินนี้
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัทร่วมทุนที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์พลาสติกในเร็วๆนี้ ทำให้ศรีไทยฯมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 20% เป็น 90% ใช้เงินลงทุนประมาณ 50-60 ล้านบาท เพื่อเป็นการขยายกำลังการผลิตของศรีไทยฯ หลังจากต้นปีนี้ บริษัทฯได้มีการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ศรีไทย นาโนพลาส จำกัดจากเดิม40%เป็น 70% ซึ่งการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2 บริษัทนี้จะทำให้บริษัทรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังนี้แม้ว่าจะไม่สูงนัก
นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตเมลามีนเพิ่มเติมในเวียดนามใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จและดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนก.ค.นี้ รวมทั้งยังหาลู่ทางการขยายธุรกิจไปยังประเทศอินเดีย โดยเริ่มต้นจะร่วมทุนกับพันธมิตรในอินเดียตั้งโรงงานผลิตเมลามีนใช้เงินไม่เกิน 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสถานที่ตั้งโรงงาน โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จะเน้นจำหน่ายในอินเดียและที่เหลือส่งออก
ในปี 2550 บริษัทคาดว่าจะมียอดขายรวม 4.9 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 7-8% เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว โดยไตรมาสแรกบริษัทฯมีรายได้รวม 1.30 พันล้านบาท ซึ่งเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงจาก 21% เป็น 18% เนื่องจากบริษัทส่งออกสินค้าไปต่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ไม่ให้ต่ำกว่า 18%
ซึ่งบริษัทเป้าหมายในอีก 6 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการครบรอบ 50 ปีของศรีไทยฯ บริษัทจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ตั้งเป้ารายได้ไว้ 4.9 พันล้านบาท โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจเทรดดิ้ง คิดเป็นสัดส่วน 30% และที่เหลือเป็นรายได้จากการผลิตของบริษัทเอง
นายสนั่นยอมรับว่า อุตสาหกรรมพลาสติกของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองมาตั้งแต่ปลายปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศลดลง และไม่มีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ขณะเดียวกันการส่งออกของไทยก็ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ทำให้เสียเปรียบคู่แข่งที่ค่าเงินแข็งค่าน้อยกว่า รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการเตรียมพร้อมรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่มากระตุ้นตลาด รวมทั้งส่งออกสินค้าไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็น 30%ของยอดขาย ขณะเดียวกันก็หันมาทำธุรกิจเทรดดิ้งโดยนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาจำหน่าย ขณะที่ตลาดชิ้นส่วนพลาสติกเพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้ายังเติบโตดีอยู่ส่งผลให้บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดนี้มากนัก
จากการหันมาทำตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท ขณะที่มีการนำเข้าเม็ดพลาสติกและเครื่องจักรประมาณ 400 ล้านบาท ทำให้ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าบ้าง เนื่องจากไม่มีนโยบายที่จะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนส่วนเกินนี้