ผู้จัดการรายวัน – อโรม่ากรุ๊ป มุ่งสร้างธุรกิจใหม่ๆเพิ่มฐานรายได้ เล็งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ ต่อยอดจากธุรกิจกาแฟเดิม ปั้นร้านทุตตี้ฟรุ๊ตตี้ จับเทรนด์สุขภาพมาแรง
เบื้องต้นเกาะติดไปกับไนน์ตี้โฟร์ก่อน พร้อมขยายการลงทุนในต่างประเทศ เพิ่มไลน์ผลิตกาแฟทรีอินวันในเวียดนาม คาดอีก 7 ปีรายได้ทั้งกลุ่มทะลุ 1,000 ล้านบาท
นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร อโรม่ากรุ๊ป เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า นโยบายการทำธุรกิจของกลุ่มอโรม่าจากนี้ไป จะพยายามสร้างฐานแห่งการเติบโตของธุรกิจออกไปให้มากขึ้น จากเดิมที่มุ่งเน้นธุรกิจหลัก คือ การผลิตเมล็ดกาแฟบดคั่วสดและธุรกิจที่เกี่ยวกับกาแฟทั้งหลายแบบครบวงจร แต่ยังคงธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องโดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่ม
นอกจากนั้นแล้วก็จะมีการขยายตลาดและการลงทุนธุรกิจใหม่ๆในต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อสร้างแบรนด์ของอโรม่าให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากขึ้น
อย่างไรก็ตามในระยะใกล้นี้ ธุรกิจที่ยังคงทำรายได้หลักก็ยังคงเป็นเมล็ดกาแฟแน่นอน โดยมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 50-60% จากรายได้รวม หรือประมาณ 200-300 ล้านบาท จากรายได้รวมทั้งกลุ่มประมาณ 400-500 ล้านบาท เพราะเป็นธุรกิจที่ทำมานานแล้ว
ธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันให้ความสนใจและความสำคัญกับการรักษาสุขภาพอย่างมาก ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเติบโตอย่างดี
ปัจจุบันอโรม่ากรุ๊ป มีธุรกิจในเครือหลายบริษัท ประกอบด้วย 1.บริษัท อัลติเมท เบฟเวอเรจ โปรดักตส์ จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านกาแฟและเครื่องดื่ม ประกอบด้วย ร้านกาแฟไนน์ตี้โฟร์ ปัจจุบันมี 50 สาขา ร้านชาวดอย ปัจจุบันมี 80 สาขา และแบรนด์ใหม่สุดที่เพิ่งเริ่มปีนี้คือ ร้านทุตตี้ฟรุตตี้ ร้านอาหารและเครื่องดื่มแนวสุขภาพ ปัจจุบันมี 7 สาขา
2.บริษัท ฟู้ดแกลลอรี่ จำกัด ทำเกี่ยวกับการผลิตเค้ก เบเกอรี่ 3.บริษัท อโรม่าไฟน์ฟู้ด นำเข้าเกี่ยวกับอาหารจากต่างประเทศ 4. บริษัท เควีเอ็น อิมพอร์ท เอ็กซ์พอร์ท ดูแลและผลิตเมล็ดกาแฟสดคั่วบดแบรดน์ อโรม่า และ บริษัท ไลอ้อน ทรีสตาร์ จำกัด นำเข้าเครื่องผลิตกาแฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับกาแฟทั้งหลาย
ทั้งนี้ร้านทุตตี้ฟรุ๊ตตี้ ปัจจุบันเปิดควบคู่ไปกับร้านกาแฟไนน์ตี้โฟร์ เป็นหลัก เช่น วิลลาพหลโยธิน หัวหิน เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างทดลอง แต่คาดว่าภายในไตรมาสสามปีนี้จะสามารถเปิดสาขาที่เต็มรูปแบบได้ มองทำเลในศูนย์การค้าเป็นหลัก โดยใช้งบลงทุนแบบคีออสประมาณ 1.5 ล้านบาท พื้นที่ 30 ตารางเมตร และมีเป้าหมายที่จะขายแฟรนไชส์ด้วย
ส่วนธุรกิจในต่างประเทศนั้นในปีนี้ จะทุ่มงบลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาในประเทศเวียดนามต่อเนื่อง จากเดิมที่ลงทุนไปแล้วกว่า 200 ล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ก่อสร้างโรงงานผลิตกาแฟไปแล้ว โดยกรลงทุนครั้งใหม่นี้จะก่อสร่งโรงงานเพื่อเพิ่มสายการผลิตกาแฟทรีอินวันวีว่า ในช่วงกลางเดือนหน้า หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯใช้วิธีการว่าจ้างบริษัทอื่นผลิตให้โดยเริ่มทดลองทำตลาดเมื่อปีที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับอย่างดี ตลาดส่งออกหลักเช่น รัสเซียสั่งซื้อมากกว่า 100 ตู้
สำหรับโรงงานการผลิตเมล็ดกาแฟสดคั่วบดในไทยนั้น คาดว่าในปีนี้คงจะมีการลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 10-15 ล้านบาท ทางด้านระบบงานต่างๆ ปัจจุบันศักยภาพของโรงงานมีกำลังการผลิตเต็มที่ไม่ต่ำกว่า 1,000 ตันต่อปี ซึ่งยังไม่ได้เดินเครื่องผลิตเต็มที่ แต่คาดว่าปีนี้จะเดินเครื่องได้มากขึ้นจากเดิมปีที่แล้วผลิตประมาณ 600 กว่าตัน
โดยงบประมาณทางด้านการตลาดในปีนี้บริษัทฯตั้งไว้ประมาณ 40-50 ล้านบาท เพื่อใช้กับทั้งกลุ่ม เน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ในทุกช่องทาง ทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ กิจกรรม การร่วมออกงานต่างๆ ล่าสุดคือ การออกงาน ไทยเฟ็กซ์-เวิลด์ ฟู้ด ออฟ เอเชีย 2007 ที่อิมแพคเมืองทอาธานี วันที่ 23-27 พฤษภาคมนี้
ในปีนี้ทางกลุ่มตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ทั้งหมดมากกว่า 400 ล้านบาท และคาดว่าอีกประมาณ 2 ปีจากนี้ รายได้รวมจะเติบโตขึ้นเป็น 500 ล้านบาท และในช่วง 7 ปีรายได้ทั้งกลุ่มจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายธุรกิจใหม่ๆเพิ่มขึ้นและการรุกตลาดหนักของธุรกิจเดิมด้วย
เบื้องต้นเกาะติดไปกับไนน์ตี้โฟร์ก่อน พร้อมขยายการลงทุนในต่างประเทศ เพิ่มไลน์ผลิตกาแฟทรีอินวันในเวียดนาม คาดอีก 7 ปีรายได้ทั้งกลุ่มทะลุ 1,000 ล้านบาท
นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร อโรม่ากรุ๊ป เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า นโยบายการทำธุรกิจของกลุ่มอโรม่าจากนี้ไป จะพยายามสร้างฐานแห่งการเติบโตของธุรกิจออกไปให้มากขึ้น จากเดิมที่มุ่งเน้นธุรกิจหลัก คือ การผลิตเมล็ดกาแฟบดคั่วสดและธุรกิจที่เกี่ยวกับกาแฟทั้งหลายแบบครบวงจร แต่ยังคงธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องโดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่ม
นอกจากนั้นแล้วก็จะมีการขยายตลาดและการลงทุนธุรกิจใหม่ๆในต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อสร้างแบรนด์ของอโรม่าให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากขึ้น
อย่างไรก็ตามในระยะใกล้นี้ ธุรกิจที่ยังคงทำรายได้หลักก็ยังคงเป็นเมล็ดกาแฟแน่นอน โดยมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 50-60% จากรายได้รวม หรือประมาณ 200-300 ล้านบาท จากรายได้รวมทั้งกลุ่มประมาณ 400-500 ล้านบาท เพราะเป็นธุรกิจที่ทำมานานแล้ว
ธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันให้ความสนใจและความสำคัญกับการรักษาสุขภาพอย่างมาก ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเติบโตอย่างดี
ปัจจุบันอโรม่ากรุ๊ป มีธุรกิจในเครือหลายบริษัท ประกอบด้วย 1.บริษัท อัลติเมท เบฟเวอเรจ โปรดักตส์ จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านกาแฟและเครื่องดื่ม ประกอบด้วย ร้านกาแฟไนน์ตี้โฟร์ ปัจจุบันมี 50 สาขา ร้านชาวดอย ปัจจุบันมี 80 สาขา และแบรนด์ใหม่สุดที่เพิ่งเริ่มปีนี้คือ ร้านทุตตี้ฟรุตตี้ ร้านอาหารและเครื่องดื่มแนวสุขภาพ ปัจจุบันมี 7 สาขา
2.บริษัท ฟู้ดแกลลอรี่ จำกัด ทำเกี่ยวกับการผลิตเค้ก เบเกอรี่ 3.บริษัท อโรม่าไฟน์ฟู้ด นำเข้าเกี่ยวกับอาหารจากต่างประเทศ 4. บริษัท เควีเอ็น อิมพอร์ท เอ็กซ์พอร์ท ดูแลและผลิตเมล็ดกาแฟสดคั่วบดแบรดน์ อโรม่า และ บริษัท ไลอ้อน ทรีสตาร์ จำกัด นำเข้าเครื่องผลิตกาแฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับกาแฟทั้งหลาย
ทั้งนี้ร้านทุตตี้ฟรุ๊ตตี้ ปัจจุบันเปิดควบคู่ไปกับร้านกาแฟไนน์ตี้โฟร์ เป็นหลัก เช่น วิลลาพหลโยธิน หัวหิน เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างทดลอง แต่คาดว่าภายในไตรมาสสามปีนี้จะสามารถเปิดสาขาที่เต็มรูปแบบได้ มองทำเลในศูนย์การค้าเป็นหลัก โดยใช้งบลงทุนแบบคีออสประมาณ 1.5 ล้านบาท พื้นที่ 30 ตารางเมตร และมีเป้าหมายที่จะขายแฟรนไชส์ด้วย
ส่วนธุรกิจในต่างประเทศนั้นในปีนี้ จะทุ่มงบลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาในประเทศเวียดนามต่อเนื่อง จากเดิมที่ลงทุนไปแล้วกว่า 200 ล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ก่อสร้างโรงงานผลิตกาแฟไปแล้ว โดยกรลงทุนครั้งใหม่นี้จะก่อสร่งโรงงานเพื่อเพิ่มสายการผลิตกาแฟทรีอินวันวีว่า ในช่วงกลางเดือนหน้า หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯใช้วิธีการว่าจ้างบริษัทอื่นผลิตให้โดยเริ่มทดลองทำตลาดเมื่อปีที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับอย่างดี ตลาดส่งออกหลักเช่น รัสเซียสั่งซื้อมากกว่า 100 ตู้
สำหรับโรงงานการผลิตเมล็ดกาแฟสดคั่วบดในไทยนั้น คาดว่าในปีนี้คงจะมีการลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 10-15 ล้านบาท ทางด้านระบบงานต่างๆ ปัจจุบันศักยภาพของโรงงานมีกำลังการผลิตเต็มที่ไม่ต่ำกว่า 1,000 ตันต่อปี ซึ่งยังไม่ได้เดินเครื่องผลิตเต็มที่ แต่คาดว่าปีนี้จะเดินเครื่องได้มากขึ้นจากเดิมปีที่แล้วผลิตประมาณ 600 กว่าตัน
โดยงบประมาณทางด้านการตลาดในปีนี้บริษัทฯตั้งไว้ประมาณ 40-50 ล้านบาท เพื่อใช้กับทั้งกลุ่ม เน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ในทุกช่องทาง ทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ กิจกรรม การร่วมออกงานต่างๆ ล่าสุดคือ การออกงาน ไทยเฟ็กซ์-เวิลด์ ฟู้ด ออฟ เอเชีย 2007 ที่อิมแพคเมืองทอาธานี วันที่ 23-27 พฤษภาคมนี้
ในปีนี้ทางกลุ่มตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ทั้งหมดมากกว่า 400 ล้านบาท และคาดว่าอีกประมาณ 2 ปีจากนี้ รายได้รวมจะเติบโตขึ้นเป็น 500 ล้านบาท และในช่วง 7 ปีรายได้ทั้งกลุ่มจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายธุรกิจใหม่ๆเพิ่มขึ้นและการรุกตลาดหนักของธุรกิจเดิมด้วย