xs
xsm
sm
md
lg

เผยข้อความ/บันทึกชี้-ระเบิด 9 ลูกในกทม. คือ-สัญญาณเปิดแนวรุกของ “อำนาจเก่า”

เผยแพร่:   โดย: สปาย หมายเลขหก

มีสถิติว่ารอยเลื่อน “เชียงของ” จะมีการขยับตัวทุก 70-80 ปี และทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดค่อนข้างแรง และเมื่อ 76 ปีก่อน เกิดแผ่นดินไหวครั้งหลังสุด ก่อนจะเกิดขึ้นอีกเมื่อ 15.50 น. วันพุธที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ในลาวเหนืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ประมาณ 45 กิโลเมตร อย่างที่มีรายละเอียดของข่าวให้รับทราบกันไปแล้ว

รายงาน “ลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบ” วันนี้, ไม่ใช่เรื่องของแผ่นดินไหว แต่ต้องกล่าวถึงแผ่นดินไหว 6.1 ริกเตอร์นี้ ก็เพราะมีความเป็นห่วงว่า ลูกน้องคนสำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบทบาทสำคัญในจังหวัดภาคเหนือ ที่เขามากบดานอยู่แถว เมืองต้นผึ้ง เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ของลาวนั้น ถูกแผ่นดินไหวสร้างรอยแยกให้เป็นธรณีสูบไปแล้วหรือยัง?

เพราะเท่าที่ทราบมาว่า บริเวณแขวงบ่อแก้ว หลวงน้ำทา ของลาวที่อยู่บริเวณใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว มีความรุนแรงมากขนาดแผ่นดินเกิดรอยแยก

รายงาน “ลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบ” เมื่อฉบับวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว ได้กล่าวถึงเบาะแสของการวางระเบิดในกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ไปอย่างละเอียดแล้วว่า มีบุคคลผู้หนึ่งที่รู้ล่วงหน้าก่อนถึงครึ่งชั่วโมงก่อนจะเกิดการระเบิด การเปิดเผยเรื่องนี้-เริ่มต้นที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งบุคคลผู้นั้นได้รับโทรศัพท์มือถือจากบุคคลอีกคนหนึ่ง แจ้งเรื่องการวางระเบิดมาให้ทราบ ในลักษณะการเป็น “รายงานผล” ว่า ในขณะที่โทรศัพท์ไปหาผู้รับที่เชียงรายนั้น การวางระเบิดทำกันไปได้กี่จุดแล้ว...

ด้วยข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเช่นนี้

เท่ากับเป็นการเปิดเผยตัวตนของขบวนการผู้เกี่ยวข้องระเบิดป่วนกรุงฯ นั้น ซึ่งข้อมูลเช่นนี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็รู้ มีการนำตัวไปซักถามในวันที่ 9 มกราคม 2550 แล้วไม่มีสิ่งใดคืบหน้า ทั้งๆ ที่เบาะแสอย่างนี้ หากมีการหาความเชื่อมโยง ก็จะสาวไปถึงตัวการหรือผู้อยู่เบื้องหลังโดยไม่ยาก

ผู้ที่ถูกนำไปซักถามแล้วในวันที่ 9 มกราคม หลังจากเกิดระเบิดป่วนกรุงฯ ได้เพียง 9 วัน คือนาย.....อายุ 55 ปี อดีต.....บ้านม่วงคำ ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย คือผู้ที่ได้รับโทรศัพท์ และสนทนากับผู้ที่เรียกเข้ามาเรื่องการวางระเบิดในกรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา 17.45 น. วันที่ 31 ธันวาคม 2549 และนาย.....อดีตข้าราชการครูของโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอแม่จัน ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด แต่ก็น่าจะมีการปฏิบัติใน “เชิงสืบสวนขยายผล” ที่เอาจริงเอาจังกว่านั้น, มิใช่ปล่อยให้โอกาสทองอย่างนี้หลุดมือไป และสิ่งที่พลาดไปนั้น คือเหตุของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือการต่อต้านการเดินเกมรุกเพื่อพลิกสถานการณ์แบบ “เอาคืน” บ้างจากอำนาจเก่า

ถ้าหากว่า มีการซักถามหรือสืบสวนจนกระทั่งนาย.....ผู้รับโทรศัพท์รับทราบเรื่องการวางระเบิดก่อนหน้าจะมีการระเบิดครึ่งชั่วโมง ยอมเปิดปากว่า ผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาเป็นใคร? ก็จะเป็นการเชื่อมต่อฐานข้อมูลแบบการข่าวแกะรอยไปถึงตัวการ และตัวการที่ใหญ่กว่า มีการคลี่คลายปมระเบิดได้เสียในตอนนั้น และประชาชนได้รู้ความจริง ก็จะเกิดแรงต่อต้าน เกลียดชังต่อผู้บงการทั้งใหญ่และรองลงมา เพราะการวางระเบิดนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับกันไม่ได้ในความรู้สึกของประชาชนในขณะนั้น โอกาสที่พวกเขาจะสร้างเหตุการณ์หรือความเคลื่อนไหวเชิงต่อต้านในเวลาต่อมา...จนถึงเวลานี้ ก็จะเกิดขึ้นโดยยาก

ดังเช่นที่ “ข้อความ” ใน “รายงาน” ฉบับหนึ่ง ที่ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ที่มีสาระแบบมองด้านยุทธศาสตร์มวลชนที่ว่า

1. หากว่าการวางระเบิดในกรุงเทพมหานคร เมื่อ 311745 ธ.ค. 49 สามารถรู้ผลหรือมีน้ำหนักพอว่าเป็นฝีมือของใคร มีใครอยู่เบื้องหลัง ผลที่จะได้คือ

1.1 จะเป็นการพลิกสถานการณ์ทางด้านมวลชนที่กำลังก่อตัวในเวลาอันสั้น เป็นการตัดหนทางการขยายผลเชิงต่อต้าน เพราะแรงต่อต้าน ความเกลียดชัง การไม่ยอมรับในพฤติกรรม/การกระทำนี้จะพุ่งเข้าใส่พวกเขาเสียเอง เพราะกระแสในขณะนั้นมีอยู่ทิศทางเดียวคือ โกรธและเกลียดผู้กระทำ

1.2 รัฐบาลและ คมช.จะกลับเป็นฝ่ายได้รับผลเพิ่มขึ้นทางด้านความเชื่อมั่นศรัทธา โดยระเบิดที่ได้ระเบิดขึ้นนั้น กลับเป็นระเบิดที่ทำลายพวกเขาเอง

1.3 ความกังวล ความตื่นตระหนกของประชาชนในกรุงเทพมหานคร จะกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว และมีผลต่อเศรษฐกิจ สังคม ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดนี้จะคลี่คลายในทันที

1.4 หลักฐานผูกมัด หรือการโยงใยอย่างน่าเชื่อถือ จะเป็นการป้องกันการตอบโต้ตีกลับ โดยจะเห็นชัดเจนว่าตั้งแต่หลังมีการระเบิดในกรุงเทพมหานคร เป็นต้นมา ระเบิดนั้นเหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณรวมพล-ตอบโต้ เมื่อเห็นว่ารัฐบาลและ คมช.เพลี่ยงพล้ำแล้ว จึงรวม-รุก

1.5 เป็นการพลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย ที่มีนาย.....และนาย.....ที่บ้านม่วงคำอยู่ในมือแล้ว การขยายผลทำไม่ได้ซึ่งจะเป็นเพราะความอ่อนด้อยของการซักถามทางการข่าวของทหารเอง หรือเป็นเพราะตำรวจไม่รับลูกในการเข้าร่วมสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ ลักษณะของการปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำเช่นนี้ ควรจะต้องเริ่มต้นกันใหม่ เพราะทั้งนาย.....และนาย.....ก็ยังปรากฏตัวอยู่ที่บ้านม่วงคำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย อยู่จนทุกวันนี้ ไม่ได้หลบหนีไปไหน

1.6 หากว่ามีการดำเนินการตามเหตุการณ์ 311745 ธ.ค. 49 อย่างได้ผลมาตั้งแต่แรก คือตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2540 ที่มีการ “สอบแล้วปล่อย...” เป็นต้นมา, โดยการซักหรือการสอบในช่วงนั้น มีความเข้ม เอาจริง เอาจัง ไม่คิดเสียว่า เหตุระเบิดอยู่ที่กรุงเทพฯ จะมาเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่เชียงราย ก็จะเป็นการสะกัดกั้นหรือสยบคลื่นใต้น้ำได้ทั้งหมด ไม่ลุกลามต่อมาจนเป็นสารพัดปัญหาอย่างทุกวันนี้, เพราะฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับระเบิด-ได้ระเบิดตัวเองแล้วดังกล่าว

นอกจากข้อความที่เป็นสาระ ในด้านความคิดเห็นข้างต้นนี้แล้ว ยังมี “ข้อความ” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงแหล่งที่มา ขอให้คิดเสียว่า เป็นการวิเคราะห์ของบุคคลคนหนึ่ง ที่ทำไว้ตั้งแต่หลังเหตุระเบิดส่งท้ายปีเก่า 2549 ในช่วงก่อนวันที่ 9 มกราคม 2550 ที่กล่าวถึงเรื่องการพบกุญแจสำคัญของการวางระเบิดกรุงเทพฯ ได้ชี้ประเด็นต่างๆ ไว้อย่างน่าพิศวง เพราะเป็นการมองตั้งแต่ช่วงหลังปีใหม่ไม่กี่วัน แต่ก็มองสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างยุทธศาสตร์ และที่ว่าพิศวงก็เพราะมีความตรงกับสถานการณ์ใน 3-4 เดือนต่อมาเกือบทั้งหมด...ที่กล่าวไว้ว่า

“ผู้บงการ หากพิจารณาจากเนื้อหาของข่าวและบุคคลที่เกี่ยวข้องในข่าว โดยเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนาย.....(ระบุชื่อชัดเจนเป็นนักการเมืองคนสำคัญของอำนาจเก่าในภาคเหนือ และเป็นคนที่ผู้นำไว้วางใจอย่างยิ่ง) แล้ว, ก็ทำให้สามารถประเมินสถานการณ์เหตุการณ์ระเบิดในกทม. เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค. 49 นั้น ว่าไม่ใช่เรื่องภาคใต้ หรือการก่อการร้ายสากลอะไร เพราะไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องมาทำที่ กทม. แต่เป็นเรื่องทางการเมืองของ....ที่ต้องการทำลายความเชื่อถือ และความนิยมของประชาชนต่อ คมช. และรัฐบาลเอง และอาจถึงขั้นหวังให้มีการล้มล้างทั้ง คมช. และรัฐบาลลงเลยทีเดียว ซึ่งหากทำได้ ก็จะเป็นผลดีกับฝ่ายตนเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกวันนี้ กลุ่มดังกล่าวกำลังรุกไล่ทุกด้านไม่มีทางถอย...กำลังถูกทำให้เสียทรัพย์จากการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งอาจถึงขั้นเกือบหมดแล้ว กำลังจะถูกทำลายอิสรภาพด้วยคดีอาญา และพร้อมๆ กับชื่อเสียงที่กำลังถูกทำลายลงไปในตัวทุกๆ วันด้วย การต่อสู้จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะคงรู้แน่อยู่แก่ใจว่า การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมนั้น ไม่มีความหวังใดๆ และการไม่สู้ก็จะไม่เหลืออะไร แม้กระทั่งแผ่นดินหรือชีวิต อย่าว่าแต่ทรัพย์สินเลย การต่อสู้ยังอาจมีทางรอด หรือเหลืออะไรบ้าง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสุ้ ด้วยการเปิดแนวรบทุกแนว ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา และทางการทหารเพื่อโค่นล้ม คมช.ลงให้ได้ ด้วยยุทธวิธีที่มีรูปแบบหลากหลาย เช่น ใช้แรงบีบจากต่างประเทศที่มีอิทธิพลต่อไทย ทั้งรัฐบาลและองค์กรเอกชน การใช้ความรุนแรง เช่น การเผาโรงเรียนในจังหวัดต่างๆ การแสวงผลประโยชน์จากพวกเพ้อฝันประชาธิปไตยให้ประท้วง คมช.เพื่อยั่วยุหรือโยนหินถามทาง

การสร้างความปั่นป่วนในตลาดหุ้น การทำจิตวิทยามวลชนทางกว้าง โดยการแสดงบทบาทต่างๆ ในสื่อหลายๆ บทบาท ทั้งบทที่แสดงความบริสุทธิ์ว่าตนเองไม่ได้ทำผิดอะไร บทที่แสดงความจริงใจต่อประเทศและประชาชน บทเรียกคะแนนสงสาร หรือบทบาทอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ทั้งหมดนั้นคือ “มายา” เพื่อหลอกล่อให้ คมช./รัฐบาล และประชาชนตายใจ แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นการส่งสัญญาณไปในตัว ให้รากหญ้าฐานเสียงและเครือข่าย เกาะกลุ่มเตรียมพร้อมไว้ และสุดท้ายคือการใช้เงินที่มีอยู่อย่างมหาศาล หล่อเลี้ยงพลังอำนาจที่มีอยู่ไว้ไม่ได้แตกสลาย เพื่อรอเวลาที่แตกหัก”

ข้างต้นนี้เป็น “ข้อความ” ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ได้เกาะติดสถานการณ์และวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2550 โดยข้อความนั้นก็เห็นเป็นจริงตามที่ได้วิเคราะห์และรายงานไว้

ยังมีการให้ความสำคัญต่อเรื่องระเบิดเมื่อ 311745 ธ.ค. 49 ว่า ถ้าหากตอนแรกที่มีรายงานเบาะแสว่า นาย.....และนาย.....ลูกน้องของนาย.....แกนใหญ่ของอำนาจเก่า ได้มีการเอาใจใส่ให้ความสำคัญในประเด็น เหตุใดจึงรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดการระเบิดตั้งครึ่งชั่วโมง

ถ้าหากตั้งต้นการสืบสวนตรงจุดนี้แล้ว จนกระทั่งได้ความจริง ก็จะเป็นการตัดวงจรอำนาจอย่างง่ายดายและเด็ดขาด

ก็ต้องติดตามศึกษาเพื่อจะได้รู้ว่าฝ่ายความมั่นคงคิดอย่างไร หรือมองเห็นอะไรบ้าง?

“คนอย่าง.....(ระบุชื่อ) นั้น มีทั้งปัญญาและเงินมหาศาล ที่สำคัญคือสัญชาตญาณการเอาชนะ ดังนั้น ไม่มีทางจะยอมแพ้ง่ายๆ เหตุการณ์ระเบิดใน กทม.ครั้งนี้ อาจมองได้ว่า

กลุ่มอำนาจเก่ากำลังสู้อย่างจนตรอก และหมดปัญญาที่จะต่อสู้หนทางอื่น จึงตัดสินใจใช้วิธีการทางทหาร ซึ่งอาจเป็นวิถีทางสุดท้ายให้ตกตายตามกัน ทั้งๆ ที่รู้ว่า เสี่ยงอย่างมากต่อการมีโอกาสดำรงอยู่ต่อไป หรือการล่มสลายหากถูกจับได้ ซึ่งถ้าหากถูกจับได้ว่า.....อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดแล้ว ประชาชนคงไม่ให้อภัยเด็ดขาด...จะล่มสลายก่อนศาล จะมีคำสั่งยุบพรรคเสียอีก แต่การตกตายตามกันนั้น...(ระบุชื่อ) จะไม่ตาย ถ้าไม่มีหลักฐานผูกมัดกลุ่มอำนาจเก่าได้ และระเบิดน่าจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นระยะๆ ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม...”

รายงานนี้ยังกล่าวถึงนาย.....คนสนิทอย่างยิ่งและแกนนำใหญ่ในภาคเหนือ ที่ผู้นำไว้วางใจมาก โดยสรุปในตอนหนึ่งว่า

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นว่า นาย.....(ระบุชื่อ) ต้องมีส่วนรู้เห็น แม้ว่าจะไม่อยู่ในพื้นที่ หรืออยู่ในต่างประเทศก็ตาม ก็สามารถสั่งการได้ตลอดเวลา เมื่อนาย.....(ระบุชื่อ) รู้เห็น คนที่ใหญ่อยู่หลังนาย.....ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นใคร จะไม่รู้เห็นได้อย่างไร?”

แม้ว่าการพบเบาะแสเป็นตัวบุคคลมีพยานยืนยัน (หรืออย่างน้อยก็ให้รายละเอียด) ว่ามีนาย.....และนาย.....เป็นผู้ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะมีการวางระเบิด 9 จุดในกทม. แต่กระบวนการที่ทำกันอยู่ในตอนนั้น ไม่ได้หยิบฉวยมาเป็นจุดตั้งต้นของการคลี่คลายปม ทำให้พลาดโอกาสและพลอยเพลี่ยงพล้ำมาจนทุกวันนี้เพราะเหตุนั้น

หลังจากที่ “ผู้จัดการรายวัน” ได้เสนอเรื่องลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบนี้ออกไปแล้ว ก็เกิดการไหวตัวขึ้นในกลุ่มผู้ที่ควรจะต้องรับผิดชอบ ได้มีการเริ่มตั้งต้นใหม่ตามเบาะแสข้อมูลดังกล่าว เพราะนาย.....และนาย.....ลูกน้องของนาย.....คนสำคัญของอำนาจเก่า ก็ยังปรากฏตัวอยู่ ยังมีตัวตนให้นำมาซักถามได้ และที่สำคัญคือ หลักฐานการใช้โทรศัพท์มือถือของนาย.....ที่เป็นผู้รับโทรศัพท์ (ที่เชียงราย) ว่ามีหมายเลขใดโทร.เข้ามาหาในเวลา 17.45 น. วันที่ 31 ธันวาคม 2549 นั้น ก็ยังมีอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถแกะรอยตามได้เอง จากหลักฐานการใช้โทรศัพท์ที่มีศูนย์บันทึกข้อมูลอยู่ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธหรือไม่ยอมเปิดปากว่า-ใครเป็นคนโทรศัพท์มาบอกเขาก็ตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น