ขณะนี้ยังอยู่ในห้วงเวลาของการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญกันอยู่ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ประกาศว่าความล้มเหลวของรัฐธรรมนูญไทยทั้ง 17 ฉบับใหญ่ และทั้ง 35 ฉบับรวม ล้วนเกิดขึ้นจากการหลอกลวงและการปล้นชิงอำนาจอธิปไตยของปวงชนอย่างแยบยล
แม้ถึงบัดนี้อันเป็นขณะที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันอยู่ก็ไม่มีปรากฏว่าได้มีการกล่าวถึงอำนาจอธิปไตยของปวงชนที่ถูกปล้นชิงไป
ไม่มีการกล่าวถึงแม้แต่มาตราเดียวว่าจะคืนอำนาจอธิปไตยให้กับปวงชนได้อย่างไร ดังนั้นถึงจะผ่านเป็นรัฐธรรมนูญก็คงจะต้องถูกฉีกอีกในสักวันหนึ่ง และย่อมไม่มีค่าอันใดนอกจากเป็นเศษกระดาษที่รอวันถูกฉีกอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น
อะไรเล่าที่เรากล่าวว่าเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน
มันมีอยู่หลายประการ แต่ที่สำคัญที่สุดและอาจจะสำคัญเท่า ๆ กับการเลือกตั้งก็คืออำนาจในการบริหารจัดการเงินแผ่นดิน ซึ่งประชาชนหรือผู้แทนของปวงชนไม่เคยมีสิทธิ์มีส่วนเลยแม้แต่น้อย
รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ถูกฉีกไปหมดแล้ว และที่กำลังจะร่างไปให้ถูกฉีกอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้ให้สิทธิ์ให้อำนาจแก่ประชาชนหรือผู้แทนของปวงชนในประการนี้เลย
เราเรียกร้องให้มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนจำนวน 20,000 คนหรือผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิ์เข้าชื่อเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้
รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ถูกฉีกไปแล้วมีบทบัญญัติที่เหมือนกันและดำรงไว้ตลอดมาคือห้ามมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน
ที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 แม้ให้สิทธิ์ประชาชน 50,000 คนเข้าชื่อกันเสนอกฎหมายได้โดยไม่จำกัดว่าเป็นกฎหมายการเงินหรือไม่ แท้จริงก็คือการหลอกลวง
เพราะเป็นการยากสุดประมาณที่ประชาชนจะสามารถเข้าชื่อกันถึง 50,000 คนได้ แม้เข้าชื่อกันได้แล้วก็จะถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ด้วยกระบวนการตรวจสอบรายมือชื่อ และยังถูกหน่วงเหนี่ยวไว้โดยกระบวนการของวิปรัฐบาล ที่ให้ยกร่างกฎหมายอื่นขึ้นพิจารณาก่อนอยู่เสมอ จนในที่สุดร่างกฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อกันด้วยความยากลำบากจะไม่มีวันการได้รับการพิจารณาเลย
การตัดสิทธิ์ประชาชนและผู้แทนราษฎรไม่ให้เสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินคือการปล้นอธิปไตยของปวงชนโดยตรง และเป็นการตัดสิทธิ์การทำหน้าที่นิติบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างเต็มภาคภูมิ
เพราะบรรดากฎหมายทั้งปวงนั้น ส่วนใหญ่ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับคน ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับอาคารสถานที่ และทั้งหมดนี้ก็ต้องใช้เงิน
ย่อมเป็นการใช้เงินที่ผูกพันงบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นจึงกลายเป็นกฎหมายทางการเงินที่ถูกห้ามมิให้เสนอต่อสภา และทำให้ประชาชนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเสนอกฎหมายเหล่านี้ได้
ได้แต่เสนอกฎหมายกระจอกงอกง่อย หรือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและไม่สามารถแก้ไขปัญหาของชาติได้
เพราะเหตุนี้อำนาจในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเงินของประเทศจึงตกอยู่กับหน่วยงาน 3 หน่วย คือ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่บริหารจัดการการเงินของประเทศ โดยที่ประชาชนหรือผู้แทนปวงชนไม่มีสิทธิ์มีส่วน
พื้นที่ใดมีความเดือดร้อนที่จะต้องได้รับการแก้ไขหรือมีความต้องการที่จะพัฒนาให้เกิดความอยู่ดีมีสุขก็ไม่สามารถทำได้ หากผู้แทนราษฎรเอาการเอางานหน่อยหนึ่งก็ต้องไปวิ่งเต้นกับหน่วยงาน 3 หน่วยนี้
และนี่คือการเริ่มต้นของการคอร์รัปชั่นโดยระบบงานที่มีผลทำให้งบประมาณแผ่นดินถูกกักกันปันแบ่งไม่ไปถึงมือประชาชนหรือท้องถิ่นอย่างเต็มที่
หน่วยงาน 3 หน่วยนี้เป็นเทวดามาจากไหนหรือ? จึงมีอำนาจเต็มเปี่ยมในการบริหารจัดการการเงินทั้งหมดของประเทศ
หน่วยงาน 3 หน่วยนี้เป็นเทวดามาจากไหนหรือ? จึงสามารถเป็นเจ้ากี้เจ้าการว่าจังหวัดไหนจะต้องทำอะไรหรือไม่ทำอะไร
หน่วยงาน 3 หน่วยนี้เป็นเทวดามาจากไหนหรือ? จึงรวบอำนาจอธิปไตยของปวงชนในประการสำคัญไว้แต่เฉพาะหมู่เฉพาะคณะ
หน่วยงาน 3 หน่วยนี่แหละคือตัวปล้นชิงอำนาจอธิปไตยของปวงชนอย่างแท้จริง
หน่วยงาน 3 หน่วยนี้เป็นผู้แทนของใคร? เพราะแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ผู้แทนของประชาชน ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน แต่ไฉนเล่าจึงรวบเอาอำนาจอธิปไตยของปวงชน โดยเฉพาะอำนาจในการบริหารจัดการด้านการเงิน อำนาจในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของแต่ละท้องที่ไว้กับคนหมู่เดียว คณะเดียว
เรากล่าวว่าเพราะรวบอำนาจอธิปไตยของปวงชนไว้ที่หน่วยงาน 3 หน่วยนี้โดยที่ประชาชนหรือผู้แทนราษฎรไม่มีอำนาจเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน จึงเป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชันทั้งปวงในประเทศนี้
เป็นต้นเหตุของความล้าหลังของท้องถิ่นทั่วประเทศ เป็นต้นเหตุของการบริหารจัดการเงินงบประมาณที่ไร้ประสิทธิผลดังที่เป็นอยู่มากว่าร้อยปีแล้ว
ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องทวงเอาอำนาจอธิปไตยประการนี้มาคืนให้กับประชาชน และใช้โดยผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชน
เราเรียกร้องให้พี่น้องร่วมชาติทั้งปวงช่วยกันพิจารณาและเรียกร้องให้มีการตราไว้ในรัฐธรรมนูญว่าประชาชน 20,000 คนหรือผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 มีสิทธิ์เข้าชื่อกันเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้
กฎหมายเกี่ยวกับการเงินที่เสนอโดยวิถีทางนี้ให้ประธานสภาบรรจุในวาระประชุมโดยพลัน และต้องหยิบยกขึ้นพิจารณาภายในเวลาไม่ช้ากว่า 30 วัน
นักปล้นอธิปไตยมักจะอ้างเหตุผลว่าหากให้ใครต่อใครเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้ก็จะเป็นภาระแก่รัฐบาลในการจัดหางบประมาณ
นี่เป็นเหตุผลของโจรปล้นอธิปไตยเท่านั้น ไม่ใช่เหตุผลโดยธรรมที่จะพึงนับถือเชื่อฟังได้เลย เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการแรก รัฐบาลมีเสียงข้างมากอยู่ในสภาเสมอ ดังนั้นหากเป็นการเสนอที่ไม่มีเหตุผล รัฐบาลก็สามารถปฏิเสธเสียได้ กล่าวโดยแง่นี้แล้ว การใช้อำนาจอธิปไตยในลักษณะนี้จึงมีผลโดยตรงก็แต่เพียงให้ความปรารถนาและความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องที่สามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้เท่านั้น
ประการที่สอง หากเป็นการเสนอที่มีเหตุผลและจำเป็น ก็จะเป็นประโยชน์แก่รัฐบาลที่จะตอบสนองความปรารถนาและความต้องการของประชาชนได้อย่างถูกตรง ไม่ถูกหน่วยงาน 3 หน่วยข้างต้นนั้นบิดเบือนหลอกลวงได้อีกต่อไป เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลได้สร้างผลงานในการพัฒนาประเทศชาติและแก้ไขทุกข์เข็ญให้กับราษฎรได้อย่างรวดเร็ว
ประการที่สาม แม้หากรัฐบาลจำเป็นและขัดสนเรื่องงบประมาณ แต่ถ้าเป็นการเสนอที่มีเหตุผลจริงแล้ว แม้ไม่อาจจัดสรรงบประมาณได้ในปีงบประมาณนั้น รัฐบาลก็สามารถสั่งให้บรรจุเป็นโครงการในปีงบประมาณใหม่ได้ ซึ่งแม้จะช้าไปบ้างก็ยังดีกว่าที่ความปรารถนาของประชาชนไม่เข้าสู่ความรับรู้ของรัฐบาลเลย
เราขอฝากเรื่องนี้ไว้กับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคการเมืองทีรักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหมด เพื่อช่วยเป็นปากเป็นเสียงในเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกันเราเรียกร้องให้พี่น้องร่วมชาติทั้งประเทศได้ยกปัญหานี้ขึ้นเป็นข้อเรียกร้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ด้วย.
แม้ถึงบัดนี้อันเป็นขณะที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันอยู่ก็ไม่มีปรากฏว่าได้มีการกล่าวถึงอำนาจอธิปไตยของปวงชนที่ถูกปล้นชิงไป
ไม่มีการกล่าวถึงแม้แต่มาตราเดียวว่าจะคืนอำนาจอธิปไตยให้กับปวงชนได้อย่างไร ดังนั้นถึงจะผ่านเป็นรัฐธรรมนูญก็คงจะต้องถูกฉีกอีกในสักวันหนึ่ง และย่อมไม่มีค่าอันใดนอกจากเป็นเศษกระดาษที่รอวันถูกฉีกอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น
อะไรเล่าที่เรากล่าวว่าเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน
มันมีอยู่หลายประการ แต่ที่สำคัญที่สุดและอาจจะสำคัญเท่า ๆ กับการเลือกตั้งก็คืออำนาจในการบริหารจัดการเงินแผ่นดิน ซึ่งประชาชนหรือผู้แทนของปวงชนไม่เคยมีสิทธิ์มีส่วนเลยแม้แต่น้อย
รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ถูกฉีกไปหมดแล้ว และที่กำลังจะร่างไปให้ถูกฉีกอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้ให้สิทธิ์ให้อำนาจแก่ประชาชนหรือผู้แทนของปวงชนในประการนี้เลย
เราเรียกร้องให้มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนจำนวน 20,000 คนหรือผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิ์เข้าชื่อเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้
รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ถูกฉีกไปแล้วมีบทบัญญัติที่เหมือนกันและดำรงไว้ตลอดมาคือห้ามมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน
ที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 แม้ให้สิทธิ์ประชาชน 50,000 คนเข้าชื่อกันเสนอกฎหมายได้โดยไม่จำกัดว่าเป็นกฎหมายการเงินหรือไม่ แท้จริงก็คือการหลอกลวง
เพราะเป็นการยากสุดประมาณที่ประชาชนจะสามารถเข้าชื่อกันถึง 50,000 คนได้ แม้เข้าชื่อกันได้แล้วก็จะถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ด้วยกระบวนการตรวจสอบรายมือชื่อ และยังถูกหน่วงเหนี่ยวไว้โดยกระบวนการของวิปรัฐบาล ที่ให้ยกร่างกฎหมายอื่นขึ้นพิจารณาก่อนอยู่เสมอ จนในที่สุดร่างกฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อกันด้วยความยากลำบากจะไม่มีวันการได้รับการพิจารณาเลย
การตัดสิทธิ์ประชาชนและผู้แทนราษฎรไม่ให้เสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินคือการปล้นอธิปไตยของปวงชนโดยตรง และเป็นการตัดสิทธิ์การทำหน้าที่นิติบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างเต็มภาคภูมิ
เพราะบรรดากฎหมายทั้งปวงนั้น ส่วนใหญ่ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับคน ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับอาคารสถานที่ และทั้งหมดนี้ก็ต้องใช้เงิน
ย่อมเป็นการใช้เงินที่ผูกพันงบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นจึงกลายเป็นกฎหมายทางการเงินที่ถูกห้ามมิให้เสนอต่อสภา และทำให้ประชาชนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเสนอกฎหมายเหล่านี้ได้
ได้แต่เสนอกฎหมายกระจอกงอกง่อย หรือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและไม่สามารถแก้ไขปัญหาของชาติได้
เพราะเหตุนี้อำนาจในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเงินของประเทศจึงตกอยู่กับหน่วยงาน 3 หน่วย คือ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่บริหารจัดการการเงินของประเทศ โดยที่ประชาชนหรือผู้แทนปวงชนไม่มีสิทธิ์มีส่วน
พื้นที่ใดมีความเดือดร้อนที่จะต้องได้รับการแก้ไขหรือมีความต้องการที่จะพัฒนาให้เกิดความอยู่ดีมีสุขก็ไม่สามารถทำได้ หากผู้แทนราษฎรเอาการเอางานหน่อยหนึ่งก็ต้องไปวิ่งเต้นกับหน่วยงาน 3 หน่วยนี้
และนี่คือการเริ่มต้นของการคอร์รัปชั่นโดยระบบงานที่มีผลทำให้งบประมาณแผ่นดินถูกกักกันปันแบ่งไม่ไปถึงมือประชาชนหรือท้องถิ่นอย่างเต็มที่
หน่วยงาน 3 หน่วยนี้เป็นเทวดามาจากไหนหรือ? จึงมีอำนาจเต็มเปี่ยมในการบริหารจัดการการเงินทั้งหมดของประเทศ
หน่วยงาน 3 หน่วยนี้เป็นเทวดามาจากไหนหรือ? จึงสามารถเป็นเจ้ากี้เจ้าการว่าจังหวัดไหนจะต้องทำอะไรหรือไม่ทำอะไร
หน่วยงาน 3 หน่วยนี้เป็นเทวดามาจากไหนหรือ? จึงรวบอำนาจอธิปไตยของปวงชนในประการสำคัญไว้แต่เฉพาะหมู่เฉพาะคณะ
หน่วยงาน 3 หน่วยนี่แหละคือตัวปล้นชิงอำนาจอธิปไตยของปวงชนอย่างแท้จริง
หน่วยงาน 3 หน่วยนี้เป็นผู้แทนของใคร? เพราะแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ผู้แทนของประชาชน ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน แต่ไฉนเล่าจึงรวบเอาอำนาจอธิปไตยของปวงชน โดยเฉพาะอำนาจในการบริหารจัดการด้านการเงิน อำนาจในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของแต่ละท้องที่ไว้กับคนหมู่เดียว คณะเดียว
เรากล่าวว่าเพราะรวบอำนาจอธิปไตยของปวงชนไว้ที่หน่วยงาน 3 หน่วยนี้โดยที่ประชาชนหรือผู้แทนราษฎรไม่มีอำนาจเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน จึงเป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชันทั้งปวงในประเทศนี้
เป็นต้นเหตุของความล้าหลังของท้องถิ่นทั่วประเทศ เป็นต้นเหตุของการบริหารจัดการเงินงบประมาณที่ไร้ประสิทธิผลดังที่เป็นอยู่มากว่าร้อยปีแล้ว
ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องทวงเอาอำนาจอธิปไตยประการนี้มาคืนให้กับประชาชน และใช้โดยผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชน
เราเรียกร้องให้พี่น้องร่วมชาติทั้งปวงช่วยกันพิจารณาและเรียกร้องให้มีการตราไว้ในรัฐธรรมนูญว่าประชาชน 20,000 คนหรือผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 มีสิทธิ์เข้าชื่อกันเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้
กฎหมายเกี่ยวกับการเงินที่เสนอโดยวิถีทางนี้ให้ประธานสภาบรรจุในวาระประชุมโดยพลัน และต้องหยิบยกขึ้นพิจารณาภายในเวลาไม่ช้ากว่า 30 วัน
นักปล้นอธิปไตยมักจะอ้างเหตุผลว่าหากให้ใครต่อใครเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้ก็จะเป็นภาระแก่รัฐบาลในการจัดหางบประมาณ
นี่เป็นเหตุผลของโจรปล้นอธิปไตยเท่านั้น ไม่ใช่เหตุผลโดยธรรมที่จะพึงนับถือเชื่อฟังได้เลย เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการแรก รัฐบาลมีเสียงข้างมากอยู่ในสภาเสมอ ดังนั้นหากเป็นการเสนอที่ไม่มีเหตุผล รัฐบาลก็สามารถปฏิเสธเสียได้ กล่าวโดยแง่นี้แล้ว การใช้อำนาจอธิปไตยในลักษณะนี้จึงมีผลโดยตรงก็แต่เพียงให้ความปรารถนาและความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องที่สามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้เท่านั้น
ประการที่สอง หากเป็นการเสนอที่มีเหตุผลและจำเป็น ก็จะเป็นประโยชน์แก่รัฐบาลที่จะตอบสนองความปรารถนาและความต้องการของประชาชนได้อย่างถูกตรง ไม่ถูกหน่วยงาน 3 หน่วยข้างต้นนั้นบิดเบือนหลอกลวงได้อีกต่อไป เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลได้สร้างผลงานในการพัฒนาประเทศชาติและแก้ไขทุกข์เข็ญให้กับราษฎรได้อย่างรวดเร็ว
ประการที่สาม แม้หากรัฐบาลจำเป็นและขัดสนเรื่องงบประมาณ แต่ถ้าเป็นการเสนอที่มีเหตุผลจริงแล้ว แม้ไม่อาจจัดสรรงบประมาณได้ในปีงบประมาณนั้น รัฐบาลก็สามารถสั่งให้บรรจุเป็นโครงการในปีงบประมาณใหม่ได้ ซึ่งแม้จะช้าไปบ้างก็ยังดีกว่าที่ความปรารถนาของประชาชนไม่เข้าสู่ความรับรู้ของรัฐบาลเลย
เราขอฝากเรื่องนี้ไว้กับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคการเมืองทีรักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหมด เพื่อช่วยเป็นปากเป็นเสียงในเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกันเราเรียกร้องให้พี่น้องร่วมชาติทั้งประเทศได้ยกปัญหานี้ขึ้นเป็นข้อเรียกร้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ด้วย.