xs
xsm
sm
md
lg

ความสมานฉันท์ที่สัมฤทธิผล (ตอนที่ 2)

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

ความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและภาษา ศาสนาและลัทธิความเชื่อ อุดมการณ์และลัทธิการเมือง และความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ มีวิธีแก้ไขเพื่อสร้างความสมานฉันท์ดังต่อไปนี้

ประการแรก การผสมผสานกลมกลืน (assimilation) คือการทำให้คนที่อยู่ในสังคมมีความแตกต่างกันน้อยที่สุด โดยอาจจะมีสองกรรมวิธี

กรรมวิธีที่หนึ่ง คือ การที่ชนบางเผ่าพันธุ์มีจำนวนมากกว่าเผ่าพันธุ์อื่นในสังคม ก็ใช้วิธีการผสมผสานกลมกลืนให้คนที่ต่างเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยให้รับเอาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูดและภาษาเขียน ของชนกลุ่มใหญ่โดยกำหนดเงื่อนไขให้การเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยก็ดี ในการทำงานในหน่วยงานราชการก็ดี ในบริษัทห้างร้านก็ดี ต้องมีความรู้ทางภาษา และต้องเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีชนกลุ่มใหญ่ เมื่อชนกลุ่มน้อยยอมรับกระบวนการผสมผสานกลมกลืนก็จะถูกกลมกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีชนกลุ่มใหญ่เป็นหลัก เช่น กรณีสหรัฐอเมริกา วัฒนธรรมหลักก็คือคนแองโกลแซกชั่น เป็นคนผิวขาว นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ คนที่มีมาอยู่สหรัฐอเมริกาก็จะผสมผสานกลมกลืนเข้าสู่วัฒนธรรมใหญ่นี้

กรรมวิธีที่สอง คือ การทำให้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของคนกลุ่มใหญ่และชนกลุ่มน้อยกลมกลืนเป็นอันเดียวกันจนแยกกันไม่ค่อยออก เช่น กรณีประเทศไทยนั้นถือได้เป็นสังคมที่มี 4 วัฒนธรรมไทย อันได้แก่ วัฒนธรรมไทยพื้นบ้านในชนบท วัฒนธรรมอินเดียผ่านศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ภาษาบาลีสันสกฤต วัฒนธรรมจีน และวัฒนธรรมตะวันตก ผสมผสานกันจนกลายเป็นวัฒนธรรมไทย

ประการที่สอง บูรณาการ (integration) หมายถึงการยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว แต่ตกลงใจที่จะอยู่ร่วมกัน ยอมรับจุดแตกต่างของแต่ละฝ่าย และขณะเดียวกันจุดที่ไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้ก็ไม่ถือมาเป็นประเด็นสำคัญทางการเมือง กระบวนการบูรณาการเช่นนี้จะต้องประกอบด้วย ความอดทนอดกลั้น เห็นความแตกต่างเป็นสิ่งปกติ เป็นสิ่งสวยงาม ดีงาม และต้องมีนโยบายที่ระมัดระวังทั้งในด้านกฎหมายและการบริหาร ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน การแสดงออก ฯลฯ ที่ไม่กระทบต่อจุดอ่อนที่มีความแตกต่างของกันและกัน ลักษณะเช่นนี้เป็นวิธีการที่เรียกว่า “การประสานประโยชน์” ตามพระราชดำรัสของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ หรืออาจจะมองในลักษณะที่ว่าเป็นกระบวนการที่ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” โดยหาจุดร่วมที่เป็นประโยชน์และพยายามไม่ยกจุดแตกต่างมาเป็นประเด็น

อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการบูรณาการเช่นนี้มีเงื่อนไขสำคัญยิ่งก็คือ จะต้องมีเป้าหมายอันสูงสุดร่วมกัน เช่น เป็นคนในแผ่นดินไทย อยู่ในราชอาณาจักรไทยร่วมกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือการพยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในท่ามกลางความแตกต่าง (unity in diversity) โดยมีความเชื่อว่าการมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะเป็นแหล่งของพละกำลังอันสำคัญ (Unity is strength) กระบวนการบูรณาการนี้มีหลักการสำคัญที่สุดก็คือ เมื่อมีความรู้สึกร่วมกันในจุดสูงสุด จงรักภักดีต่อชาติ และมีมิ่งขวัญคือพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน ความแตกต่างทั้งหลายในด้านที่กล่าวมาเบื้องต้นเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับกันทุกฝ่าย โดยมีความอดทนอดกลั้น ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

ประการที่สาม กระบวนการอยู่ร่วมกันอย่างหลวมๆ ในลักษณะของสมาพันธรัฐ ตัวอย่างเช่น ในกรณีของสหภาพยุโรป (EU) แต่ละประเทศยังรักษาไว้ซึ่งเอกราชและเอกลักษณ์ของตน แต่ก็ยอมอยู่ร่วมชายคาเดียวกันเป็นกลุ่มการเมืองใหญ่ ต่างคนต่างไม่ก้าวก่ายในเรื่องภายในของแต่ละหน่วยการเมือง หากแต่มีนโยบายร่วมกันในบางด้าน เช่น นโยบายการเงิน การใช้เงินตรา เช่น เงินสกุลยูโร นโยบายการค้าต่างประเทศ นโยบายสิทธิมนุษยชน และนโยบายอื่นๆ ในระดับหนึ่ง การอยู่ร่วมกันเช่นนี้มีผลดีคือ เปิดโอกาสให้มีความร่วมมือกันหลายด้านซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับความแตกต่างและความอิสระของกันและกันในหลักการใหญ่ๆ แนวโน้มที่จะมีหน่วยการเมืองเช่นนี้ในภูมิภาคอื่นๆ จะมีมากขึ้นในอนาคต

บางสังคมอาจมีการใช้กระบวนการทั้ง 3 กระบวนการในการสร้างชาติและการปกครองบริหาร ตัวอย่างที่พอจะเห็นได้ชัดก็คือสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการผสมผสานทั้ง 3 กระบวนการ กระบวนการแรกคือการผสมผสานกลมกลืน (assimilation) ก็คือการทำให้คนอเมริกันหรือวัฒนธรรมของแองโกลแซกชั่น นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาประกอบด้วย 50 รัฐ ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้รัฐบาลกลาง (Federal Government) แต่ละรัฐยังคงไว้ซึ่งอำนาจในการเลือกประธานาธิบดี โดยใช้คะแนนเสียงของรัฐเป็นหลัก (electoral vote) ในระบบ electoral college หมายความว่า ถ้าผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้คะแนนเสียงเกินครึ่งของรัฐใด ก็จะได้คะแนนเสียงในฐานะรัฐทั้งหมด เช่น สมมติว่ารัฐเท็กซัสมีคะแนนเสียงของรัฐ 22 คะแนน ผู้ชนะจากคะแนนเสียงที่ลงคะแนนโดยประชาชนนับเป็นรายหัว (popular vote) เช่น ได้ 57% ฝ่ายตรงกันข้ามได้ 43% คนที่ชนะเสียง popular vote ก็จะได้เสียง electoral vote ของรัฐนั้นทั้ง 22 คะแนน

บูรณาการนี้ทำให้ 50 รัฐรวมกันเป็นสหรัฐฯ ไม่คิดแยกตัวไปไหนเพราะต่างได้ประโยชน์จากการอยู่ร่วมกัน ในส่วนของแต่ละรัฐนั้นก็มีความอิสระในตัวเองในการบริหารรัฐ แต่ละรัฐจะมีนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการของตน สหรัฐอเมริกาจึงเป็นตัวอย่างของการใช้ทั้ง 3 กระบวนการเพื่อนำไปสู่ความสมานฉันท์ภายในชาติ คนอเมริกันต่างเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ ฯลฯ เรียกตัวเองด้วยความภูมิใจว่า ข้าพเจ้าเป็นประชาชนอเมริกัน ข้าพเจ้าเป็นประชาชนสหรัฐอเมริกา

การสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นอย่างสัมฤทธิผลนั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีองค์ประกอบคือ ทั้งสองฝ่ายหรือมากกว่าสองฝ่ายที่ต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ ซึ่งหมายความว่าเป็นกลุ่มที่มีความแตกต่างที่ต้องการอยู่ร่วมกันโดยสันติ มีโอกาสพัฒนา และมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขในชีวิต

ความสำเร็จในการสร้างความสมานฉันท์ ต้องประกอบด้วยตัวแปรดังต่อไปนี้คือ

(1) ต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งถึงจุดแข็งจุดอ่อน ศักยภาพ และความอ่อนแอ ความหวังและความกลัว ความวิตกวิจารณ์ของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม ความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งจะทำให้เกิดความเห็นใจกัน การสร้างความสมานฉันท์และการแก้ปัญหาจะเกิดได้ง่ายขึ้น

(2) ต้องมีความไว้วางใจและมีความเชื่อถือว่าในการเจรจาเพื่อสร้างความสมานฉันท์นั้นต่างฝ่ายต่างพูดความจริง ไม่มีระเบียบวาระซ่อนเร้น ไม่มีเลศนัย โดยการเจรจาจะต้องเอื้ออำนวยประโยชน์ ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน

(3) เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ต่างฝ่ายต่างต้องให้เกียรติกันโดยยอมรับในความเสมอภาค สิทธิ และศักดิ์ศรีของความเป็นพลเมืองที่เท่าเทียมกัน การไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกันเป็นจุดบอดของการสร้างความสมานฉันท์

(4) ต้องมีความจริงใจและจริงจังในการแก้ปัญหา มิใช่มุ่งเน้นแต่การใช้มธุรสวาจา หรือใช้บทบาทของการแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อตำแหน่งหรือผลประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อคะแนนนิยมในทางการเมืองในกลุ่มของตน

(5) ต้องมีความพร้อมที่จะออมชอม ผ่อนสั้นผ่อนยาว ประนีประนอม การยืนปักหลักแข็งกร้าวในจุดยืนจะทำให้การเจรจาและการสร้างความสมานฉันท์ล้มเหลวตั้งแต่ต้น

(6) ความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้อย่างถาวรต้องเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน การเจรจาที่ประสบความสำเร็จคือการเจรจาที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์และเกิดความพอใจ มิใช่อยู่ที่ได้เปรียบ ถ้ามีการได้เปรียบจากอีกฝ่ายหนึ่งถึงแม้จะมีการทำสัญญาข้อตกลง ก็คือการเจรจาที่ล้มเหลวในเนื้อหาและความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาความขัดแย้ง

(7) ประการสำคัญที่สุด ทั้งสองฝ่ายหรือหลายฝ่ายที่ต้องการสร้างความสมานฉันท์ ต้องมีจุดร่วมสูงสุดอันเดียวกัน นั่นคือ การธำรงไว้ซึ่งหน่วยการเมืองที่ตนถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในการสร้างความสมานฉันท์ เช่น การธำรงไว้ซึ่งสหรัฐอเมริกา การธำรงไว้ซึ่งประเทศมาเลเซีย การธำรงไว้ซึ่งประเทศไทยในฐานะราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ หรือการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักต่างๆ ในส่วนนี้จะต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายก่อนเป็นเงื่อนไขเบื้องต้น มิฉะนั้นการสร้างความสมานฉันท์ก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ข้อสำคัญที่สุดต้องไม่ให้ความแตกต่างทั้งหลายที่กล่าวมากระทบกับจุดมุ่งหมายและเป้าหมายอันสูงสุดนี้ เมื่อเป็นที่ยอมรับในส่วนนี้แล้ว ความขัดแย้ง ความแตกต่างที่เกิดขึ้นต้องถือว่าเป็นประเด็นที่สำคัญน้อยกว่าประเด็นที่เป็นเป้าหมายอันสูงสุด และย่อมสามารถเจรจาต่อรองตกลงกันเพื่ออยู่ร่วมกันโดยเสมอภาค ร่วมวงไพบูลย์เดียวกันบนพื้นฐานของความสมานฉันท์
กำลังโหลดความคิดเห็น