ตำรวจกองปราบปรามจับกุมหนุ่มสมองใสเจ้าของฉายา “แฮกเกอร์อันดับ1”ของไทย ติดอันดับ “ปล้นเหยียบเมฆ” ของโลก ต้องสงสัยเจาะฐานข้อมูลเอไอเอสขโมยรหัสผ่านแก้ไขวงเงินบัตรเติมเงิน ทำบริษัทเสียหายนับร้อยล้านบาท พบประวัติเคยเจาะฐานข้อมูลของ “ทรู” พังพินาศมากว่าร้อยล้านแถมเคยเจาะฐานข้อมูลของนาซ่าที่ว่าแน่ๆ มาแล้ว ด้านเอไอเอสรีบบอกระบบภายในไม่รั่วไหลไม่กระทบฐานข้อมูลลูกค้า สรุปเสียหายแค่ 8 ล้าน
วานนี้(15 พ.ค.)ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ ผกก.1 บก.ป. และพ.ต.ท.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผกก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายทวีทรัพย์ หรือ ภูมิพัฒน์ หรือโอ๋ ลลิตศศิวิมล อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 111/132 หมู่ 6 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1410/2550 ลงวันที่ 2 พ.ค. ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม โดยเจาะระบบคอมพิวเตอร์บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่สุดของประเทศ เพื่อเข้าไปแก้ไขและเพิ่มเติมข้อมูลต่างๆในบัตรเติมเงินแล้วนำไปขายให้กับบุคคลทั่วไปผ่านทางอินเตอร์เน็ต พร้อมของกลาง 17 รายการ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 2 เครื่อง ฮาร์ดดิสก์ โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง บัตรเอทีเอ็ม บัตรวีซ่า แอร์การ์ด สมุดเงินฝากธนาคาร ซิมการ์ดต่างๆ หนังสือเรื่องปล้นเหยียบเมฆ เป็นต้นโดยจับกุมได้ที่ห้องพักเลขที่ 2918 ชั้น 9 อาคารวงศ์เจริญแมนชั่น หรือ แกรนด์แมนดาริน ซ.ลาดพร้าว130 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อประมาณกลางเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา กองปราบปรามได้รับการร้องเรียนจากเอไอเอสว่าทางบริษัทน่าจะถูกนักเจาะระบบ(แฮกเกอร์)โจรกรรมรหัสผ่านเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเพื่อเข้าไปทำการสร้างข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเติมเงินมูลค่าต่างๆขึ้นมาใหม่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ารหัสสินค้า ประเภทบัตรเติมเงินเป็นจำนวนมากไม่ได้ลงทะเบียนในสาระบบและมีการใช้ในวงเงินที่มีมูลค่าสูงขึ้นกว่ามูลค่าเงินเดิมที่ได้ลงทะเบียนไว้ในระบบ
ตัวอย่างเช่น เดิมบริษัทบันทึกในระบบว่ามีบัตรเติมเงินราคา 100 บาทจำนวน 100 ใบก็จะถูกคนร้ายเข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมเข้าไปอีก 20 ใบโดยชุดบัตรเติมเงินที่เพิ่มเข้าไปนั้นก็จะถูกคนร้ายแก้ไขเพิ่มวงเงินการใช้จากเดิม 100 บาท เป็น 1,000 บาทด้วยซึ่งบริษัทได้ตรวจสอบพบข้อมูลบัตรเติมเงินที่ผิดปกติย้อนหลังไปถึง 3 เดือนมูลค่าความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท
ต่อมา พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รอง ผบก.ป. รักษาการ ผบก.ป. ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.โกวิทย์ พ.ต.อ.วรายุทธ จัดชุดสืบสวนกก.1 บก.ป. นำโดย พ.ต.ท.วิวัฒน์ สืบหาเบาะแสคนร้ายรายนี้ซึ่งจากการตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเจ้าหน้าที่พบเบาะแสการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตของคนร้ายจึงตรวจสอบย้อนกลับไปยังต้นตอเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คนร้ายใช้ แต่ปรากฎว่า
คนร้ายได้หลอกล่อให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการใช้คอมพิวเตอร์จากร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายแห่ง ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าคนร้ายรายนี้ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมากจึงเริ่มสืบค้นประวัติอาชญากรคอมพิวเตอร์หลายๆรายที่เคยถูกจับกุม ประกอบกับการใช้วิธีการสืบสวนทางเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาร่วมตรวจสอบจนได้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกันว่าเป็นฝีมือของนายทวีทรัพย์ อดีตผู้ต้องหาเจาะระบบบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือออเร้นจ์(ปัจจุบันคือทรูมุฟ) ด้วยวิธีการเดียวกันคือเข้าไปแก้ไขวงเงินในบัตรเติมเงินของบริษัทจึงรวบรวมหลักฐานประสานให้พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อไปขออนุมัติหมายจับและหมายค้นห้องพักจากศาล
พ.ต.อ.โกวิท เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาก็เป็นสิทธิของเขา แต่จากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหารายนี้ไม่ได้จบการศึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์แต่มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากแต่ละครั้งใช้เวลาในการเจาะระบบไม่เกิน 10 นาทีก็สามารถเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทั้งนี้หากบริษัทเอกชนรายใดคิดว่าถูกผู้ต้องหารายนี้สร้างความเสียหายก็สามารถเข้าให้ข้อมูลทางลับกับทางเจ้าหน้าที่เพื่อขยายผลการสอบสวนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหากเปรียบเทียบพฤติกรรมการก่อเหตุในคดีเจาะระบบบริษัททรูฯกับคดีนี้นั้นจะพบว่าผู้ต้องหารายนี้มีการพัฒนากลวิธีในการเจาะระบบและแก้ไขข้อมูลที่มีระดับความซับซ้อนและแยบยลมากยิ่งขึ้น
ส่วนข้อมูลบัตรเติมเงินที่ถูกแก้ไขแล้วนั้นนายทวีทรัพย์จะนำไปลงประกาศผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะการโฆษณาแบบ “ป๊อปอัพแอด” ทางหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ประกาศขายบัตรเติมเงินในราคา 100 บาท สามารถโทรได้ 1,000 บาท หากเป็นบัตรราคา1,000 บาทก็จะสามารถโทรได้ในมูลค่า 10,000 บาท เป็นต้น ผู้ที่สนใจก็จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่เปิดไว้เมื่อได้เงินแล้วก็จะส่งข้อมูลรหัสผ่านมาให้ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ตรวจ สอบบัญชีธนาคารต่างๆอีกครั้งว่ามีการแอบอ้างชื่อบุคคลอื่นหรือมีการกระทำผิดเรื่องเอกสารการขอเปิดบัญชีหรือไม่ ส่วนลูกค้าที่ซื้อบริการจากนายทวีทรัพย์นั้นน่าจะมีด้วยกัน 2 ส่วน คือ ลูกค้าทั่วไปที่ทราบข่าวจากโฆษณาและบอกกันปากต่อปาก อีกส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มผู้แทนจำหน่ายบัตรเติมเงินที่ไปตั้งโต๊ะขายตามที่ต่างๆทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
สำหรับนายทวีทรัพย์ ผู้ต้องหารายนี้ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หลังจบการศึกษาก็ไม่ได้มีอาชีพใดเป็นหลักแหล่ง แต่ด้วยความสนใจคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตจึงศึกษาด้วยตัวเองจนมีความชำนาญถึงขั้นสามารถเจาะระบบบริษัท ทรูฯ มาแล้วเมื่อปี 2548 โดยลักลอบเข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมมูลค่าบัตรเติมเงินยี่ห้อออเร้นจ์ สร้างความเสียหายกว่า 105 ล้านบาทแต่ต่อมานายทวีทรัพย์พร้อมพวกถูกชุดเฉพาะกิจสำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามจับกุมตัวมาได้โดยพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการไปแล้วแต่ผู้ต้องหารายนี้ได้รับการประกันตัวในชั้นอัยการระหว่างรอการพิจารณา
จากคดีเจาะระบบบริษัททรูฯนั้นทำให้นายทวีทรัพย์ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะ “แฮกเกอร์มือหนึ่งของไทย” เนื่องจากมีนักเขียนชาวต่างชาตินำคดีดังกล่าวไปเขียนเป็นกรณีศึกษาในหนังสือชื่อ “ปล้นเหยียบเมฆ” โดยจัดอันดับคดีของนายทวีทรัพย์เป็นอันดับที่ 3 นอกจากนี้ยังมีการกล่าวอ้างด้วยว่านายทวีทรัพย์นั้นเคยทดลองวิชาด้วยการเจาะระบบธนาคารพาณิชย์หลายแห่งและเคยทดลองเจาะระบบองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ องค์การนาซ่ามาแล้วแต่ยังไม่มีการยืนยันว่านายทวีทรัพย์สามารถเจาะระบบได้หรือไม่
**เอไอเอสชี้ระบบภายในไม่รั่วไหล
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ เอไอเอส กล่าวว่า จากการตรวจสอบ พบว่าไม่ได้เกิดความผิดพลาดจากระบบภายในและเข้าไปมีผลกระทบกับระบบฐานข้อมูลลูกค้าที่ใช้งานอยู่ทั้งในระบบเติมเงิน(พรีเพด)และจ่ายรายเดือน(โพสต์เพด) ในทุกโปรโมชั่นที่ให้บริการลูกค้าทั้ง 20 ล้านรายแต่อย่างใด
“เหตุที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบภายในเอไอเอส แต่เป็นส่วนของผู้กระทำผิดที่ทำตัวเสมือนเป็นเอไอเอส แล้วทำการเติมเงินให้ลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนระบบภายนอก และเป็นระบบที่หลอกขึ้นมาจึงทำให้ลูกค้าหลงเข้าใจผิดไม่ใช่วิธีการขโมยรหัสผ่านในการใช้เข้าไปแก้ไขวงเงินในบัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือให้กับลูกค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตตามที่เป็นข่าว”
รายงานข่าวจากเอไอเอส ระบุว่า ผลเสียหายที่เกิดขึ้นครั้งนี้รวมเป็นมูลค่าประมาณ 8 ล้านบาทเท่านั้น
วานนี้(15 พ.ค.)ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ ผกก.1 บก.ป. และพ.ต.ท.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผกก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายทวีทรัพย์ หรือ ภูมิพัฒน์ หรือโอ๋ ลลิตศศิวิมล อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 111/132 หมู่ 6 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1410/2550 ลงวันที่ 2 พ.ค. ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม โดยเจาะระบบคอมพิวเตอร์บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่สุดของประเทศ เพื่อเข้าไปแก้ไขและเพิ่มเติมข้อมูลต่างๆในบัตรเติมเงินแล้วนำไปขายให้กับบุคคลทั่วไปผ่านทางอินเตอร์เน็ต พร้อมของกลาง 17 รายการ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 2 เครื่อง ฮาร์ดดิสก์ โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง บัตรเอทีเอ็ม บัตรวีซ่า แอร์การ์ด สมุดเงินฝากธนาคาร ซิมการ์ดต่างๆ หนังสือเรื่องปล้นเหยียบเมฆ เป็นต้นโดยจับกุมได้ที่ห้องพักเลขที่ 2918 ชั้น 9 อาคารวงศ์เจริญแมนชั่น หรือ แกรนด์แมนดาริน ซ.ลาดพร้าว130 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อประมาณกลางเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา กองปราบปรามได้รับการร้องเรียนจากเอไอเอสว่าทางบริษัทน่าจะถูกนักเจาะระบบ(แฮกเกอร์)โจรกรรมรหัสผ่านเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเพื่อเข้าไปทำการสร้างข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเติมเงินมูลค่าต่างๆขึ้นมาใหม่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ารหัสสินค้า ประเภทบัตรเติมเงินเป็นจำนวนมากไม่ได้ลงทะเบียนในสาระบบและมีการใช้ในวงเงินที่มีมูลค่าสูงขึ้นกว่ามูลค่าเงินเดิมที่ได้ลงทะเบียนไว้ในระบบ
ตัวอย่างเช่น เดิมบริษัทบันทึกในระบบว่ามีบัตรเติมเงินราคา 100 บาทจำนวน 100 ใบก็จะถูกคนร้ายเข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมเข้าไปอีก 20 ใบโดยชุดบัตรเติมเงินที่เพิ่มเข้าไปนั้นก็จะถูกคนร้ายแก้ไขเพิ่มวงเงินการใช้จากเดิม 100 บาท เป็น 1,000 บาทด้วยซึ่งบริษัทได้ตรวจสอบพบข้อมูลบัตรเติมเงินที่ผิดปกติย้อนหลังไปถึง 3 เดือนมูลค่าความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท
ต่อมา พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รอง ผบก.ป. รักษาการ ผบก.ป. ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.โกวิทย์ พ.ต.อ.วรายุทธ จัดชุดสืบสวนกก.1 บก.ป. นำโดย พ.ต.ท.วิวัฒน์ สืบหาเบาะแสคนร้ายรายนี้ซึ่งจากการตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเจ้าหน้าที่พบเบาะแสการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตของคนร้ายจึงตรวจสอบย้อนกลับไปยังต้นตอเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คนร้ายใช้ แต่ปรากฎว่า
คนร้ายได้หลอกล่อให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการใช้คอมพิวเตอร์จากร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายแห่ง ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าคนร้ายรายนี้ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมากจึงเริ่มสืบค้นประวัติอาชญากรคอมพิวเตอร์หลายๆรายที่เคยถูกจับกุม ประกอบกับการใช้วิธีการสืบสวนทางเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาร่วมตรวจสอบจนได้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกันว่าเป็นฝีมือของนายทวีทรัพย์ อดีตผู้ต้องหาเจาะระบบบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือออเร้นจ์(ปัจจุบันคือทรูมุฟ) ด้วยวิธีการเดียวกันคือเข้าไปแก้ไขวงเงินในบัตรเติมเงินของบริษัทจึงรวบรวมหลักฐานประสานให้พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อไปขออนุมัติหมายจับและหมายค้นห้องพักจากศาล
พ.ต.อ.โกวิท เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาก็เป็นสิทธิของเขา แต่จากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหารายนี้ไม่ได้จบการศึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์แต่มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากแต่ละครั้งใช้เวลาในการเจาะระบบไม่เกิน 10 นาทีก็สามารถเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทั้งนี้หากบริษัทเอกชนรายใดคิดว่าถูกผู้ต้องหารายนี้สร้างความเสียหายก็สามารถเข้าให้ข้อมูลทางลับกับทางเจ้าหน้าที่เพื่อขยายผลการสอบสวนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหากเปรียบเทียบพฤติกรรมการก่อเหตุในคดีเจาะระบบบริษัททรูฯกับคดีนี้นั้นจะพบว่าผู้ต้องหารายนี้มีการพัฒนากลวิธีในการเจาะระบบและแก้ไขข้อมูลที่มีระดับความซับซ้อนและแยบยลมากยิ่งขึ้น
ส่วนข้อมูลบัตรเติมเงินที่ถูกแก้ไขแล้วนั้นนายทวีทรัพย์จะนำไปลงประกาศผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะการโฆษณาแบบ “ป๊อปอัพแอด” ทางหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ประกาศขายบัตรเติมเงินในราคา 100 บาท สามารถโทรได้ 1,000 บาท หากเป็นบัตรราคา1,000 บาทก็จะสามารถโทรได้ในมูลค่า 10,000 บาท เป็นต้น ผู้ที่สนใจก็จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่เปิดไว้เมื่อได้เงินแล้วก็จะส่งข้อมูลรหัสผ่านมาให้ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ตรวจ สอบบัญชีธนาคารต่างๆอีกครั้งว่ามีการแอบอ้างชื่อบุคคลอื่นหรือมีการกระทำผิดเรื่องเอกสารการขอเปิดบัญชีหรือไม่ ส่วนลูกค้าที่ซื้อบริการจากนายทวีทรัพย์นั้นน่าจะมีด้วยกัน 2 ส่วน คือ ลูกค้าทั่วไปที่ทราบข่าวจากโฆษณาและบอกกันปากต่อปาก อีกส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มผู้แทนจำหน่ายบัตรเติมเงินที่ไปตั้งโต๊ะขายตามที่ต่างๆทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
สำหรับนายทวีทรัพย์ ผู้ต้องหารายนี้ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หลังจบการศึกษาก็ไม่ได้มีอาชีพใดเป็นหลักแหล่ง แต่ด้วยความสนใจคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตจึงศึกษาด้วยตัวเองจนมีความชำนาญถึงขั้นสามารถเจาะระบบบริษัท ทรูฯ มาแล้วเมื่อปี 2548 โดยลักลอบเข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมมูลค่าบัตรเติมเงินยี่ห้อออเร้นจ์ สร้างความเสียหายกว่า 105 ล้านบาทแต่ต่อมานายทวีทรัพย์พร้อมพวกถูกชุดเฉพาะกิจสำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามจับกุมตัวมาได้โดยพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการไปแล้วแต่ผู้ต้องหารายนี้ได้รับการประกันตัวในชั้นอัยการระหว่างรอการพิจารณา
จากคดีเจาะระบบบริษัททรูฯนั้นทำให้นายทวีทรัพย์ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะ “แฮกเกอร์มือหนึ่งของไทย” เนื่องจากมีนักเขียนชาวต่างชาตินำคดีดังกล่าวไปเขียนเป็นกรณีศึกษาในหนังสือชื่อ “ปล้นเหยียบเมฆ” โดยจัดอันดับคดีของนายทวีทรัพย์เป็นอันดับที่ 3 นอกจากนี้ยังมีการกล่าวอ้างด้วยว่านายทวีทรัพย์นั้นเคยทดลองวิชาด้วยการเจาะระบบธนาคารพาณิชย์หลายแห่งและเคยทดลองเจาะระบบองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ องค์การนาซ่ามาแล้วแต่ยังไม่มีการยืนยันว่านายทวีทรัพย์สามารถเจาะระบบได้หรือไม่
**เอไอเอสชี้ระบบภายในไม่รั่วไหล
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ เอไอเอส กล่าวว่า จากการตรวจสอบ พบว่าไม่ได้เกิดความผิดพลาดจากระบบภายในและเข้าไปมีผลกระทบกับระบบฐานข้อมูลลูกค้าที่ใช้งานอยู่ทั้งในระบบเติมเงิน(พรีเพด)และจ่ายรายเดือน(โพสต์เพด) ในทุกโปรโมชั่นที่ให้บริการลูกค้าทั้ง 20 ล้านรายแต่อย่างใด
“เหตุที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบภายในเอไอเอส แต่เป็นส่วนของผู้กระทำผิดที่ทำตัวเสมือนเป็นเอไอเอส แล้วทำการเติมเงินให้ลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนระบบภายนอก และเป็นระบบที่หลอกขึ้นมาจึงทำให้ลูกค้าหลงเข้าใจผิดไม่ใช่วิธีการขโมยรหัสผ่านในการใช้เข้าไปแก้ไขวงเงินในบัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือให้กับลูกค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตตามที่เป็นข่าว”
รายงานข่าวจากเอไอเอส ระบุว่า ผลเสียหายที่เกิดขึ้นครั้งนี้รวมเป็นมูลค่าประมาณ 8 ล้านบาทเท่านั้น