xs
xsm
sm
md
lg

ครม.อนุมัติพันล้านให้ กอ.รมน.ดับไฟใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ครม."อนุมัติงบฯดับไฟใต้ 1 พันล้านบาทให้ กอ.รมน.จากที่ขอมา 2 พันล้านบาท หลังจากปีนี้ได้ไปแล้วร่วม 6 พันล้านบาท นายกฯแจงความจำเป็นต้องหั่นงบฯเหลือ 1 พันล้านเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างเหมาะสม พร้อมให้ความมั่นใจไม่กระทบการทำงาน ผบ.ทบ.ยันวางยุทธศาสตร์ใต้ไว้ดีแล้ว แย้มเตรียมเพิ่มกำลังอีกเพื่อให้เต็มพื้นที่ ด้าน "พตท.-ผบช.ภ.9" ร่วมระดมกำลังเข้มรักษาความปลอดภัยครูรับเปิดเทอมใหม่วันนี้ พร้อมเสริมกำลังอีกนับพันนายลงพื้นที่ 3 จชต.ออกหมายจับ 8 แกนนำ-แนวร่วมทีมฆ่าโหด "7 นักรบหมวกแดง"

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (15 พ.ค.) ว่า ครม.ได้พิจารณาเรื่องการขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ได้เสนอขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นเพิ่มเติมเป็นกรณีเร่งด่วนพิเศษ เพื่อดำเนินการตามแผนงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นจำนวนเงิน 2 พันล้านบาท

แต่สำนักงบประมาณได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กอ.รมน.ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้ว 5,900 ล้านบาท และได้จัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามแผนที่กำหนดแล้วรวม 3 ด้านจนหมดวงเงินแล้ว นอกจากนี้ระยะเวลาในการดำเนินงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 ก็เหลือระยะเวลาเพียงอีก 2 ไตรมาส

ดังนั้น ครม.จึงเห็นควรให้ กอ.รมน.เบิกจ่ายงบประมาณในส่วนงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายจำนวน 1,000 ล้านบาทเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหา โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น และให้ กอ.รมน.พิจารณาปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับกรอบวงเงินภายในช่วงเวลาที่เหลือในปีงบประมาณ 2550 ต่อไป สำหรับการเบิกจ่ายให้ กอ.รมน.ทำความตกลงตามระเบียบกับกระทรวงการคลัง

"นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวในที่ประชุมด้วยว่า การอนุมัติวงเงินเพิ่มดังกล่าว เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการของทางราชการที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะกำลังพล และการปฏิบัติงานในส่วนอื่น ๆ ด้วย" ร.อ.นพ.ยงยุทธ กล่าว

ขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีการตัดงบประมาณของ กอ.รมน. ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จากที่ขอมา 2,000 ล้านบาทเหลือเพียง 1,000 ล้านบาทว่า จำเป็นต้องปรับลดลงมาเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างเหมาะสมโดยพิจารณาจากโครงการและช่วงระยะเวลาที่เหลือ

"ยืนยันว่า การปรับลดงบประมาณลงครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อการทำงาน งบประมาณมีเพียงพอและความจริงเราไม่ได้เพิ่มงบประมาณอะไรมากมาย เพียงแต่เราจะพิจารณาเรื่องระเบียบและวิธีการปฏิบัติให้เกิดความคล่องตัว ใช้เวลาน้อยที่สุดในการจัดการด้านงบประมาณ" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เสนอมิติใหม่ในการแก้ไขปัญหานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยหลักการแล้วนโยบายต่าง ๆ ไม่มีการเปลี่ยน แต่ในส่วนของวิธีการปฏิบัติมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์โดยจะเน้นการลงไปทำงานดูแลความสงบให้กับประชาชนและสร้างความมั่นใจในระดับชุมชนและหมู่บ้านให้มากขึ้นเพื่อให้ผู้ที่จะมีความคิดก่อความไม่สงบได้ตระหนักว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

ด้าน พล.อ.สนธิ กล่าวถึงการปรับเปลี่ยนแนวทางในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า การแก้ไขปัญหาในพื้นที่ไม่ต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวทางอะไร เพราะนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กองทัพวางไว้ถูกต้องหมดแล้วเพียงแต่จะต้องทำให้กำลังทหารเต็มพื้นที่เท่านั้น ขณะนี้กองทัพยังดูแลสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ได้ เมื่อถามว่า คมช.จะใช้มิติใหม่ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้อย่างไร พล.อ.สนธิ กล่าวเพียงว่า "เรื่องนี้บอกไม่ได้"

**ทหาร-ตำรวจคุมเข้มวันเปิดเทอม

ทางด้าน พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) กล่าวมาตรดูแลรักษาความปลอดภัยครูในพื้นที่ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของ จ.สงขลาในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ว่า ทันทีที่เปิดเทอม ได้กำชับให้ทุกฝ่ายดำเนินการตามแผนรักษาความปลอดภัยที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงได้เตรียมความพร้อมรับมือและวางมาตรการป้องกันเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยครู นักเรียน และโรงเรียนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในพื้นที่จัดตั้งของผู้ก่อความไม่สงบ 8 อำเภอ คือ อ.ยะหริ่ง อ.ยะรัง และ อ.มายอ จ.ปัตตานี อ.รามัน และ อ.บันนังสตา จ.ยะลา อ.ระแงะ อ.เจาะไอร้อง และ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส

ส่วนแผนรักษาความปลอดภัย คือ การกำหนดเจ้าภาพดำเนินการที่ชัดเจนในการควบคุม สั่งการ โดยเฉพาะช่วงเวลาการสับเปลี่ยนระหว่างเจ้าหน้าที่กับกองกำลังประชาชนเพื่ออุดช่องโหว่รอยต่อเวลา ซึ่งเป็นปัญหามาโดยตลอด เช่น ช่วงรอยต่อเวลาที่ประชาชนต้องออกไปละหมาด จะต้องมีเจ้าหน้าที่ชุดอื่นคอยรักษาความปลอดภัยโรงเรียน รวมถึงช่วงการเฝ้าเวรยามกลางคืน ก็ต้องชัดเจนว่าใครรับผิดชอบเวลาใด และหากฝ่ายใดไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ ต้องมีกำลังทดแทน อย่าปล่อยให้เวลาดังกล่าวปลอดเจ้าหน้าที่ เนื่องจากช่วงรอยต่อการสับเปลี่ยนกำลังเป็นเวลาที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีจ้องเข้ามาก่อเหตุมากที่สุด

"แต่ละพื้นที่ต้องหาเจ้าภาพที่รับผิดชอบในการสั่งการให้ได้ เพื่อง่ายในการจัดวางกำลังให้มีความครอบคลุมโดยทุกฝ่ายต้องยึดหลักบนสมมติฐานว่า มีคนจ้องทำร้ายครู และเผาโรงเรียนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสกัดกั้นทุกช่องทางในการก่อเหตุ โดยเฉพาะการขอความร่วมมือจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการจัดกองกำลังชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ชรบ. อส. โดยส่วนนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นผู้ที่ทราบความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนต่างๆ ภายในหมู่บ้านได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ หากพบสิ่งผิดปกติให้เข้าตรวจสอบและตรวจค้นได้ทันที ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าสนธิกำลังร่วม" พ.อ.อัคร กล่าว

**บิ๊กภาค 9 ส่งกำลังเสริมอีกนับพัน

พล.ต.ท.เจตนากร นภีตะภัฏ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 กล่าวในประเด็นเดียวกันว่า ได้มีการหารือร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงขั้นตอนและแผนปฏิบัติการ ซึ่งจะต้องสอดคล้องและปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของเหตุการณ์และสภาพของพื้นที่ โดยให้กองกำลังที่อยู่ในพื้นที่เป็นกำลังหลักในการรับผิดชอบ แต่จะมีหน่วยสนับสนุนคอยเสริมอีกชุด

ขณะเดียวกันได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปแล้ว 1,161 อัตรา โดยเข้าเสริมทุกสถานีตำรวจทั้ง 3 จังหวัด ส่วนขวัญกำลังใจของตำรวจทุกนายยังดีอยู่แม้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงและคนร้ายใช้ยุทธวิธีลอบทำร้ายอย่างเหี้ยมโหดก็ตาม แต่เพื่อความไม่ประมาทได้มีการปรับแผนการทำงานของตำรวจประจำป้อมและฐานปฏิบัติการต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ล่อแหลมให้มีความพร้อมเผชิญเหตุมากยิ่งขึ้นแล้ว

ในส่วนของเรื่องอุปกรณ์การเก็บกู้ระเบิดที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามปรับเปลี่ยนยุทธวิธีไปเรื่อยนั้น ฝ่ายตำรวจได้มีการศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนให้ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน โดยขณะนี้มีบริษัทเอกชนที่จำหน่ายอุปกรณ์ในการตรวจค้นเก็บกู้ระเบิดนำเสนอมาหลายราย ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องมีการพิจารณาถึงคุณสมบัติให้ชัดเจน รวมทั้งความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติ โดยขณะนี้ได้มีการนำมาทดลองใช้ในบางจุดเช่นกัน หากสามารถใช้ได้ดีและเจ้าหน้าที่มีความปลอดภัยสูงก็จะต้องมีการเสนอตั้งงบประมาณเพื่อการจัดซื้อให้แก่เจ้าหน้าที่ต่อไป
นอกจากนี้ได้มีการหารือเรื่องการช่วยเหลือด้านสวัสดิการที่อยู่อาศัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยดูที่ดินแปลงหนึ่งประมาณ 50 ไร่ใน จ.สงขลา เพื่อจัดทำเป็นหมู่บ้านของครอบครัวตำรวจและจะมีการประสานกับสถาบันการเงินเพื่อสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถซื้อบ้านอันเป็นรากฐานสำคัญของครอบครัว ส่วนการคัดเลือก จ.สงขลา เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาทุกระดับ หากในส่วนครอบครัวไม่เป็นที่กังวลเชื่อว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดีขึ้นทั้งขวัญและกำลังใจแน่นอน

**สั่งไล่ล่า 8 แกนนำสังหาร 7 นักรบ

ส่วนความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดและจ่อยิงซ้ำทหารรบพิเศษ (ป่าหวาย) จ.ลพบุรี ซึ่งทำหน้าที่ชุดควบคุมทักษิณสัมพันธ์ กกล.สันติสุข ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมาเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตพร้อมกัน 7 นายนั้นล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดี ศปก.ตร.ส่วนหน้าและตำรวจ สภ.อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ได้รวบรวบประจักษ์พยานและหลักฐานจนสามารถขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดนราธิวาสได้แล้ว 8 ราย ประกอบด้วย 1.นายเปาซี หนิสาเร๊ะ บ้านเลขที่ 41 บ้านบาโงกูโบ ม.6 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส 2.นายมานุ๊ มามะ บ้านเลขที่ 269 บ้านฮูลูปาเร๊ะ ม.1 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ ผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธปืนและเป็นแกนนำปลุกระดมราษฎรในพื้นที่ให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐเคลื่อนไหวอยู่ใน พื้นที่ ต.บองอ อ.ระแงะ, 3.นายนิอาแซ ดอแม บ้านเลขที่ 16/1 บ้านตันหยงลิมอ ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ หัวหน้าชุด RKK,

4.นายอารีย๊ะ เว้งสีลา บ้านเลขที่ 23/4 บ้านรือเสาะ ม.4 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ, 5.นายมูฮัมมัดสูนี ดะและ บ้านเลขที่ 80/1 บ้านบองอ ม.4 ต.บองอ อ.ระแงะ, 6.นายอับดุลมานะห์ เถ๊าะ บ้านเลขที่ 39/3 บ้านบาโงกูโบ ม.6 ต.บองอ อ.ระแงะ, 7.นายนิแม นิจิ บ้านเลขที่ 40/1 บ้านบาโงกูโบ ม.6 ต.บองอ อ.ระแงะ และ 8.นายมูฮัมมัดสากียา หนิสาเร๊ะ บ้านเลขที่ 41 บ้านบาโงกูโบ ม.6 ต.บองอ อ.ระแงะ

โดยทางด้าน พ.ต.อ.มาโนช อนันฤทธิกุล ผกก.สภ.อ.ระแงะ ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองกว่า 150 นายเข้าพื้นที่ตรวจค้นตามหมู่บ้านและบ้านเครือญาติเพื่อออกติดตามเพื่อจับกุมตัวมาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดแล้ว ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่มคนร้ายบางคนรู้ตัวทันและอยู่ระหว่างการหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่
กำลังโหลดความคิดเห็น