เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากจัดรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ในเช้าวันที่ 9 พฤษภาคม
ส่วนตัวได้รับโทรศัพท์ จากพี่น้องพันธมิตร หลายสาย
โดยเฉพาะ พี่น้องจากเครือข่ายภาคตะวันออก ที่พวกเขาได้นัดหมายที่จะพบ พลเอกสนธิ ไว้ล่วงหน้าแล้ว ในวันอังคารที่ 15 เวลาบ่ายโมง ที่กองบัญชาการ
พวกเขาหวังว่า จะมาบอกกล่าวเรื่องราวความทุกข์ของคนภาคตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ดินบนเกาะเสม็ด ปัญหาราคาผลไม้ที่กำลังออกสู่ตลาด ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ และสุขภาพอนามัย ที่หลายคนนับวันเวลาถอยหลัง เดินเข้าสู่ความตาย...
ภาพแรก เขามอง พลเอกสนธิ เป็นนายทหารบ้านนอก ที่มีบุคลิก ดูอบอุ่น น่าไว้ใจ
คำพูดคำจาที่ออกสู่สาธารณะ ดูหนักแน่น น่าเชื่อถือ
ในยามที่สังคมกำลังวิบัติ นายกฯ กำลังหลงใหลได้ปลื้มกับอำนาจ วาสนา ที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้มอบให้
พวกเขาจึงเลือกที่จะเข้าพบพลเอกสนธิ แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลายคนหมดความอดทน
ภายใต้ความอึดอัด วันนี้ มีทางออกทางเดียวที่พวกเขาคาดหวัง
คือการร้องขอ เพื่อการแก้ปัญหา
พวกเขา ไม่ต้องการเดินลงบนพื้นถนน เพราะเกรงว่าจะเป็นเหตุผสมโรงกับบรรดา ลิ่วล้อผู้สนับสนุนระบอบทุนสามานย์
ทั้งที่ ตรรกะเหตุผล ของการอภิปราย ของพวกเขาในท้องสนามหลวง
คนจำนวนมากบอกผมว่า
“มันใช่เลยพี่อมร พวกนั้นพูดถูก”
ผมตอบไปว่า
“จริง หลายเรื่องเป็นปัญหาที่เห็นร่วมกัน แต่เป้าหมายต้องแยกแยะและยึดกุมให้ได้นะ”
“วันนี้เรากำลังจะพลิกวิกฤตจากความเจ็บปวด ให้เป็นโอกาส ในการยกระดับความรับรู้ของคนทั้งสังคม ให้ก้าวข้ามจากระบอบทุนสามานย์ ซึ่งคุณทักษิณ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง และเป็นตัวแทนอำนาจของทุนผูกขาด ซึ่งเราต้องต่อสู้และเปิดโปงต่อไป”
หลายคนจึงคาดหวัง ต่อการทำแนวร่วม กับรัฐบาล และคมช.
กาลเวลามันพิสูจน์สัจธรรมจริงๆ
วันนี้ไม่ต้องอภิปรายมาก
กับรัฐบาล “สู้แล้วหยุด” สุรยุทธ์ นั้นมิพักต้องพูดถึง เลิกสามัคคีมานานแล้ว
วันนี้ เจออาการเมาหมัดของพลเอกสนธิ หลังจากผิดหวังเรื่อง “ลาภยศ สรรเสริญ” แล้ว
พลเอกสนธิ พูดได้อย่างไร ว่า
“การต้อนรับสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด ที่นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมาเรียกร้องให้ปลดนายกรัฐมนตรี ว่า จากการประสานเบื้องต้นบอกว่าจะมาพบเพื่อเล่าสถานการณ์ในภาคอีสานให้ฟัง จึงเข้าใจว่าจะมาเล่าเรื่องปัญหาคลื่นใต้น้ำในพื้นที่ แต่เมื่อพบกันกลับไม่ใช่เรื่องดังกล่าว”
ทั้งที่ ข้อเท็จของการประสานงาน การเคลื่อนไหวของพี่น้องสมัชชาภาคอีสาน มีการเคลื่อนไหวมาโดยเปิดเผย ทั้งสัมภาษณ์ สื่อมวลชน ทั้งมีแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ก่อนเข้าพบเมื่อ วันที่ 7 พ.ค. ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมีรายละเอียดชัดเจน ว่าจะเข้าพบประธาน คมช.เพื่อเสนอให้ปลด พล.อ.สุรยุทธ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีการเปิดเผยรายละเอียดของหนังสือที่จะยื่นต่อ พล.อ.สนธิด้วย
ผู้สนใจการเมือง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลายคนถึงขั้นช็อก!!!
พวกเขาตั้งคำถาม ที่หลายข้อ ซึ่งโดนใจผม เช่น
ประธาน คมช. ที่ชื่อสนธิ บุญยรัตกลิน จะเอาอย่างไร?
ทำไม? ทำไมต้องกล่าวหา พี่ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และพี่น้องเครือข่ายสมัชชาภาคอีสาน 19 จังหวัด
ใครกันแน่ หลอกใคร?
ระหว่างพี่ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กับพลเอกสนธิ พี่อมรจะเชื่อใคร?
และคำถามสุดท้าย ของพี่น้องเครือข่ายภาคตะวันออก
“พี่พวกผมไม่เข้าแล้วกรุงเทพฯ นะ
ถ้าเข้า ผมก็มาไล่เลย”
ผมอึ้งไปพักหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่นานพอสมควร ว่าจะใช้คำพูดอย่างไร ดี ทั้งๆ ที่ในใจมีคำตอบอยู่นานแล้ว
สุดท้ายต้องตอบไปว่า
“เออ...ดีแล้ว ชนชั้นนำมันมีแค่นี้เอง เอาเป็นว่าให้พี่น้องตัดสินกันเองนะปรึกษากันให้รอบด้าน”
นึกรำพึงในใจอยากเขกหัวตัวเอง
“สมน้ำหน้า (หมายถึงตัวผมเอง) สู้มาก็ทุกหนทางแล้ว ที่ผ่านมาเป็นตัวตั้งตัวตี ให้คำแนะนำน้องๆ รู้จักการทำงานประสานร่วมมือ รู้จักแยกศัตรูมาเป็นมิตร เชอะ ประสบการณ์ ที่ศึกษาเล่าเรียนจากพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่รู้จักจำ ทฤษฎีชนชั้นยังเป็นเรื่องที่ทันสมัย เห็นไหม สะใจหรือยัง?”
ถึงวันนี้
เราคงต้องมาทบทวนถึงพิษภัยของ ระบบทุนนิยม เป็นระบบที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งของยุคสมัยประวัติศาสตร์ และจะต้องวอดวายไป เพราะมันไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางสังคม
การผลิตที่คนเรือนหมื่นเรือนแสนช่วยกันทำ แต่การถือครองในผลิตผลรวมหมู่เหล่านั้น เป็นการถือครองโดยคนเพียงหยิบมือเดียว ได้แก่ ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต ซึ่งเป็นผู้บัญชาการผลิตโดยตรง
คนส่วนใหญ่อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้าง ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร หากจะได้ประโยชน์อยู่บ้างก็เป็นเพียงเศษเนื้อก้อนหนัง ที่พวกเขาแบ่งปันให้ เพื่อหวังจะปิดปาก ยอมเป็นทาสในเรือนเบี้ยต่อไป
ดังนั้น ระบบสังคมชนิดนี้ จึงขาดความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่
การต่อสู้ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ สังคมใหม่ จึงไม่อาจคาดหวัง และพึ่งพาให้ผู้อื่น (โดยเฉพาะชนชั้นนำ)ทำแทนได้
มีแต่ประชาชนผู้ถูกปกครองเท่านั้นเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
การเคลื่อนไหวใดๆ พึ่งต้องกุมหลักการ ว่ามวลชนคือวีรชนที่แท้จริง และพึ่งสังวร ว่า ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่มาโปรดช่วย พวกเราได้หรอก
หากเราไม่ทำ เอง
เฉพาะหน้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง สิ่งที่เราต้องทำคือ
อดทน รอคอยโอกาส สะสมกำลัง จงจัดตั้งกันขึ้น
เราจะไม่ใช้ท่าที ปิ้งปลาประชดแมว ท่วงทำนองที่ใจร้อนใจเร็ว หรือลัทธิสุ่มเสี่ยง นำพาประชาชน เดินเข้าสู้กับดักประชาธิปไตย
เราไม่เห็นด้วยที่จะมีการสืบทอดอำนาจ หรือยืดอายุการคืนอำนาจให้ประชาชน
เราต้องการ เลือกตั้งโดยเร็ว เราต้องการรัฐบาลที่ ด่า ได้ ตรวจสอบได้ และที่สำคัญ เป็นรัฐบาลที่เราไล่ได้
วันนี้ ภารกิจ 3 ประการใหญ่
ขอให้ทุกคน ทุกองค์การ แลกเปลี่ยนศึกษา ยึดกุมให้มั่น
1. ต้องเร่งทำความเข้าใจในสถานการณ์ และกำหนดท่าทีจัดความสัมพันธ์ให้ถูกต้อง
2. เครือข่ายที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณ ซึ่งเป็นจุดร่วมเฉพาะหน้า มีความหลากหลาย วันนี้ถึงเวลาที่จะ ต้องแตกตัว เพื่อผนึกรวม ขยายวงอย่างต่อเนื่อง เร่งร่วมยกระดับ เป็นองค์การจัดตั้ง เพื่อปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสังคมอย่างทั่วด้าน อีกทั้งยังต้องเป็นองค์กรภาคประชาชน ที่คอยส่งเสริม ควบคุม ตรวจสอบ และถอดถอน บรรดาผู้อาสาประชาชนทุกระดับ
3. ในสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นเงื่อนไขที่ดี ที่ภาคประชาชนส่วนหนึ่งที่มีความพร้อม มีแรงบันดาลใจ ที่จะอาสาทำงานการเมืองในกติกาประชาธิปไตย จะต้องรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมือง ทางเลือกให้กับสังคมไทย บนความหลากหลายของขบวนการประชาชน อาจมีหลายพรรคก็ได้ เป็นความงดงาม เป็นดอกไม้หลากสี
ส่วนตัวได้รับโทรศัพท์ จากพี่น้องพันธมิตร หลายสาย
โดยเฉพาะ พี่น้องจากเครือข่ายภาคตะวันออก ที่พวกเขาได้นัดหมายที่จะพบ พลเอกสนธิ ไว้ล่วงหน้าแล้ว ในวันอังคารที่ 15 เวลาบ่ายโมง ที่กองบัญชาการ
พวกเขาหวังว่า จะมาบอกกล่าวเรื่องราวความทุกข์ของคนภาคตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ดินบนเกาะเสม็ด ปัญหาราคาผลไม้ที่กำลังออกสู่ตลาด ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ และสุขภาพอนามัย ที่หลายคนนับวันเวลาถอยหลัง เดินเข้าสู่ความตาย...
ภาพแรก เขามอง พลเอกสนธิ เป็นนายทหารบ้านนอก ที่มีบุคลิก ดูอบอุ่น น่าไว้ใจ
คำพูดคำจาที่ออกสู่สาธารณะ ดูหนักแน่น น่าเชื่อถือ
ในยามที่สังคมกำลังวิบัติ นายกฯ กำลังหลงใหลได้ปลื้มกับอำนาจ วาสนา ที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้มอบให้
พวกเขาจึงเลือกที่จะเข้าพบพลเอกสนธิ แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลายคนหมดความอดทน
ภายใต้ความอึดอัด วันนี้ มีทางออกทางเดียวที่พวกเขาคาดหวัง
คือการร้องขอ เพื่อการแก้ปัญหา
พวกเขา ไม่ต้องการเดินลงบนพื้นถนน เพราะเกรงว่าจะเป็นเหตุผสมโรงกับบรรดา ลิ่วล้อผู้สนับสนุนระบอบทุนสามานย์
ทั้งที่ ตรรกะเหตุผล ของการอภิปราย ของพวกเขาในท้องสนามหลวง
คนจำนวนมากบอกผมว่า
“มันใช่เลยพี่อมร พวกนั้นพูดถูก”
ผมตอบไปว่า
“จริง หลายเรื่องเป็นปัญหาที่เห็นร่วมกัน แต่เป้าหมายต้องแยกแยะและยึดกุมให้ได้นะ”
“วันนี้เรากำลังจะพลิกวิกฤตจากความเจ็บปวด ให้เป็นโอกาส ในการยกระดับความรับรู้ของคนทั้งสังคม ให้ก้าวข้ามจากระบอบทุนสามานย์ ซึ่งคุณทักษิณ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง และเป็นตัวแทนอำนาจของทุนผูกขาด ซึ่งเราต้องต่อสู้และเปิดโปงต่อไป”
หลายคนจึงคาดหวัง ต่อการทำแนวร่วม กับรัฐบาล และคมช.
กาลเวลามันพิสูจน์สัจธรรมจริงๆ
วันนี้ไม่ต้องอภิปรายมาก
กับรัฐบาล “สู้แล้วหยุด” สุรยุทธ์ นั้นมิพักต้องพูดถึง เลิกสามัคคีมานานแล้ว
วันนี้ เจออาการเมาหมัดของพลเอกสนธิ หลังจากผิดหวังเรื่อง “ลาภยศ สรรเสริญ” แล้ว
พลเอกสนธิ พูดได้อย่างไร ว่า
“การต้อนรับสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด ที่นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมาเรียกร้องให้ปลดนายกรัฐมนตรี ว่า จากการประสานเบื้องต้นบอกว่าจะมาพบเพื่อเล่าสถานการณ์ในภาคอีสานให้ฟัง จึงเข้าใจว่าจะมาเล่าเรื่องปัญหาคลื่นใต้น้ำในพื้นที่ แต่เมื่อพบกันกลับไม่ใช่เรื่องดังกล่าว”
ทั้งที่ ข้อเท็จของการประสานงาน การเคลื่อนไหวของพี่น้องสมัชชาภาคอีสาน มีการเคลื่อนไหวมาโดยเปิดเผย ทั้งสัมภาษณ์ สื่อมวลชน ทั้งมีแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ก่อนเข้าพบเมื่อ วันที่ 7 พ.ค. ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมีรายละเอียดชัดเจน ว่าจะเข้าพบประธาน คมช.เพื่อเสนอให้ปลด พล.อ.สุรยุทธ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีการเปิดเผยรายละเอียดของหนังสือที่จะยื่นต่อ พล.อ.สนธิด้วย
ผู้สนใจการเมือง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลายคนถึงขั้นช็อก!!!
พวกเขาตั้งคำถาม ที่หลายข้อ ซึ่งโดนใจผม เช่น
ประธาน คมช. ที่ชื่อสนธิ บุญยรัตกลิน จะเอาอย่างไร?
ทำไม? ทำไมต้องกล่าวหา พี่ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และพี่น้องเครือข่ายสมัชชาภาคอีสาน 19 จังหวัด
ใครกันแน่ หลอกใคร?
ระหว่างพี่ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กับพลเอกสนธิ พี่อมรจะเชื่อใคร?
และคำถามสุดท้าย ของพี่น้องเครือข่ายภาคตะวันออก
“พี่พวกผมไม่เข้าแล้วกรุงเทพฯ นะ
ถ้าเข้า ผมก็มาไล่เลย”
ผมอึ้งไปพักหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่นานพอสมควร ว่าจะใช้คำพูดอย่างไร ดี ทั้งๆ ที่ในใจมีคำตอบอยู่นานแล้ว
สุดท้ายต้องตอบไปว่า
“เออ...ดีแล้ว ชนชั้นนำมันมีแค่นี้เอง เอาเป็นว่าให้พี่น้องตัดสินกันเองนะปรึกษากันให้รอบด้าน”
นึกรำพึงในใจอยากเขกหัวตัวเอง
“สมน้ำหน้า (หมายถึงตัวผมเอง) สู้มาก็ทุกหนทางแล้ว ที่ผ่านมาเป็นตัวตั้งตัวตี ให้คำแนะนำน้องๆ รู้จักการทำงานประสานร่วมมือ รู้จักแยกศัตรูมาเป็นมิตร เชอะ ประสบการณ์ ที่ศึกษาเล่าเรียนจากพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่รู้จักจำ ทฤษฎีชนชั้นยังเป็นเรื่องที่ทันสมัย เห็นไหม สะใจหรือยัง?”
ถึงวันนี้
เราคงต้องมาทบทวนถึงพิษภัยของ ระบบทุนนิยม เป็นระบบที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งของยุคสมัยประวัติศาสตร์ และจะต้องวอดวายไป เพราะมันไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางสังคม
การผลิตที่คนเรือนหมื่นเรือนแสนช่วยกันทำ แต่การถือครองในผลิตผลรวมหมู่เหล่านั้น เป็นการถือครองโดยคนเพียงหยิบมือเดียว ได้แก่ ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต ซึ่งเป็นผู้บัญชาการผลิตโดยตรง
คนส่วนใหญ่อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้าง ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร หากจะได้ประโยชน์อยู่บ้างก็เป็นเพียงเศษเนื้อก้อนหนัง ที่พวกเขาแบ่งปันให้ เพื่อหวังจะปิดปาก ยอมเป็นทาสในเรือนเบี้ยต่อไป
ดังนั้น ระบบสังคมชนิดนี้ จึงขาดความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่
การต่อสู้ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ สังคมใหม่ จึงไม่อาจคาดหวัง และพึ่งพาให้ผู้อื่น (โดยเฉพาะชนชั้นนำ)ทำแทนได้
มีแต่ประชาชนผู้ถูกปกครองเท่านั้นเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
การเคลื่อนไหวใดๆ พึ่งต้องกุมหลักการ ว่ามวลชนคือวีรชนที่แท้จริง และพึ่งสังวร ว่า ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่มาโปรดช่วย พวกเราได้หรอก
หากเราไม่ทำ เอง
เฉพาะหน้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง สิ่งที่เราต้องทำคือ
อดทน รอคอยโอกาส สะสมกำลัง จงจัดตั้งกันขึ้น
เราจะไม่ใช้ท่าที ปิ้งปลาประชดแมว ท่วงทำนองที่ใจร้อนใจเร็ว หรือลัทธิสุ่มเสี่ยง นำพาประชาชน เดินเข้าสู้กับดักประชาธิปไตย
เราไม่เห็นด้วยที่จะมีการสืบทอดอำนาจ หรือยืดอายุการคืนอำนาจให้ประชาชน
เราต้องการ เลือกตั้งโดยเร็ว เราต้องการรัฐบาลที่ ด่า ได้ ตรวจสอบได้ และที่สำคัญ เป็นรัฐบาลที่เราไล่ได้
วันนี้ ภารกิจ 3 ประการใหญ่
ขอให้ทุกคน ทุกองค์การ แลกเปลี่ยนศึกษา ยึดกุมให้มั่น
1. ต้องเร่งทำความเข้าใจในสถานการณ์ และกำหนดท่าทีจัดความสัมพันธ์ให้ถูกต้อง
2. เครือข่ายที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณ ซึ่งเป็นจุดร่วมเฉพาะหน้า มีความหลากหลาย วันนี้ถึงเวลาที่จะ ต้องแตกตัว เพื่อผนึกรวม ขยายวงอย่างต่อเนื่อง เร่งร่วมยกระดับ เป็นองค์การจัดตั้ง เพื่อปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสังคมอย่างทั่วด้าน อีกทั้งยังต้องเป็นองค์กรภาคประชาชน ที่คอยส่งเสริม ควบคุม ตรวจสอบ และถอดถอน บรรดาผู้อาสาประชาชนทุกระดับ
3. ในสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นเงื่อนไขที่ดี ที่ภาคประชาชนส่วนหนึ่งที่มีความพร้อม มีแรงบันดาลใจ ที่จะอาสาทำงานการเมืองในกติกาประชาธิปไตย จะต้องรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมือง ทางเลือกให้กับสังคมไทย บนความหลากหลายของขบวนการประชาชน อาจมีหลายพรรคก็ได้ เป็นความงดงาม เป็นดอกไม้หลากสี