โรงพยาบาลเอกชนของไทย แห่ขอมาตรฐาน JCI หวังกุมตลาดตะวันออกกลางให้อยู่หมัดสมาคมโรงพยาบาลเอกชนชี้แบรนด์โรงพยาบาลของไทยติดตลาดโลก ติงรัฐควรใช้นโยบายที่เป็นหนึ่งเดียว เหตุปัจจุบันเกิดความขัดแย้งทางนโยบายที่ต้องการให้ไทยเป็นฮับแต่กระทรวงสาธารณะสุขกลับไม่หนุน
นพ.อภิชาติ ศิวยาธร ผู้อำนวยการด้านปฏิบัติการทางการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และกรรมการในสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผยว่า ภาพรวมของโรงพยาบาลเอกชนในปัจจุบันนี้ต่างเร่งพัฒนาศักยภาพด้านการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อเปิดตลาดสู่ต่างประเทศ ดึงลูกค้าเข้ามารักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพ และศักยภาพด้านบริการทางการแพทย์ของไทยขณะนี้ก็เป็นที่ยอมรับและรู้จักดีในตลาดต่างประเทศ
สำหรับตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนของไทย เพราะตลาดนี้มีกำลังซื้อสูงและมักจะเดินทางออกไปรักษาตัวในต่างประเทศเมื่อเกิดเจ็บไข้ เนื่องจากการแพทย์ของประเทศในกลุ่มนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยยังถือว่าไม่ดีนัก แต่ทั้งนี้โรงพยาบาลที่เขาจะเลือกเข้ามารักษาตัวต้องมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งนอกจากเรื่องแบรนด์ที่การันตีความน่าเชื่อถือได้แล้ว ในเรื่องของมาตรฐานเป็นที่ยอมรับก็สำคัญ ซึ่งในกลุ่มตะวันออกกลาง จะมีมาตรฐานที่เขาให้การยอมรับในด้านการรักษาพยาบาลคือ Joint Commission International หรือ JCI ซึ่งเป็นมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานของโรงพยาบาลในอเมริกา ดังนั้นหากโรงพยาบาลเอกชนของไทยต้องการทำตลาดในประเทศกลุ่มนี้ควรที่จะทำเรื่องเสนอขอมาตรฐานนี้ไว้ สำหรับโรงพยาบาลที่บุกเบิกทำตลาดต่างประเทศขณะนี้ได้แก่ บำรุงราษฎร์ ,สมิติเวช และ กรุงเทพ ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลที่เริ่มสนใจเข้ามาทำตลาดต่างประเทศบ้างแล้วได้แก่ พญาไท ปิยะเวช พระรามเก้า เป็นต้น
สำหรับในส่วนของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้มาตรฐาน JCI มาแล้ว 8 ปี และทราบว่าโรงพยาบาลสมิติเวช ก็เพิ่งจะได้รับมาตรฐานนี้ไป ส่วนโรงพยาบาลเอกชนรายอื่นๆก็เริ่มทยอยขอมาตรฐานนี้กันแล้ว คาดว่าในปีนี้น่าจะมีโรงพยาบาลเอกชนของไทยได้ใบรับรองมาตรฐานนี้อีก 2-3 แห่ง
อย่างไรก็ตามการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ต้องทำไปพร้อมกับการทำตลาด ซึ่งลักษณะของตลาดกลุ่มนี้ ต้องใช้รูปแบบไดเร็กซ์คอนแทรก โดยดูรายชื่อจากฐานข้อมูล นอกจากนั้นการโรดโชว์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และบริการที่มีอยู่ ปัจจุบันบริการทางการแพทย์ของประเทศไทยได้รับการยอมรับในตลาดตะวันออกกลาง และตลาดอื่นๆ สามารถดึงกำลังซื้อได้เป็นที่หนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซงคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
ทั้งนี้จุดแข็งสำคัญของประเทศไทย ที่ชนะคู่แข่งขันได้ มีอยู่3-4 ประการ ได้แก่ คุณภาพการรักษาที่ดี ,ราคาไม่แพง ,สะดวกไม่ต้องรอคิวนาน ,สภาพเศรษฐกิจที่ดีของแต่ละประเทศทำให้ผู้เจ็บป่วยมีทางเลือกของการรักษาพยาบาลมากขึ้น ลูกค้าหลัก ที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ตะวันออกกลาง บุลคลระดับวีไอพี และ กลุ่มเอสแพก จากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา พม่า เป็นต้น โรคที่เข้ามารับการรักษาพยาบาล จะมีตั้งแต่เบาไปถึงหนัก เช่น หัวใจ มะเร็ง โรคเกี่ยวกับสมอง และ โรคกระดูก
ปัจจุบัน มีต่างชาติเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยต่อปี 1.5-2 ล้านคน ทั้งนี้รวมกลุ่มเอสแพกที่อาศัยในประเทศไทยด้วย สร้างรายได้เข้าประเทศหลายหมื่นล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 20-25%ทุกปี ซึ่งตลาดนี้ได้โตต่อเนื่องมา 5-6 ปีแล้ว ล่าสุดจากสถิติของสมาคมโรงพยาบาลเอกชน มีรายงานว่า ในปี 2548 มีคนไข้ต่างชาติเข้ารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย 1.28 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 4 หมื่นล้านบาท ในส่วนของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สัดส่วนคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการ 50% เป็นต่างชาติ ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจากับทางรัฐบาลดูไบ เพื่อเข้าไปตั้งสาขาที่ดูไบ พร้อมกับทำสัญญากับบริษัทประกันสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเครมได้กรณีที่การรักษาจำเป็นต้องส่งต่อมาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่กรุงเทพฯ คาดว่าเร็วๆนี้จะสรุปผลเจรจาได้
นพ.อภิชาติ กล่าวว่า ปัญหาของโรงพยาบาลเอกชน ขณะนี้ มี 2 ปัญหาหลัก คือ 1.ขาดแคลนบุคคลากร ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะ บุคคลากรด้านการพยาบาลที่สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้คล่องแคล้ว จึงมีการซื้อตัวแรงงานด้านนี้มาก 2.คือปัญหาด้านนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาค แต่กระทรวงสาธารณะสุขกลับไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เกรงว่าแพทย์ที่มีฝีมือจะถูกซื้อตัวโดยโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากรัฐบาลเองก็มีปัญหากระจายการแพทย์และสาธารณะสุขที่ดีสู่ชุมชน ทั้ง 2 นโยบายจึงขัดแย้งกันเอง ดังนั้นรัฐบาลต้องแก้ปัญหาตรงนี้ให้สอดคล้องและเป็นไปในในทิศทางเดียวกัน
“สิ่งที่โรงพยาบาลเอกชนต้องทำคือการปรับปรุงพัฒนาขีดความสามารถด้านการรักษาพยาบาลให้เหนือคู่แข่งขัน เพราะโรงพยาบาลเอกชนคือธุรกิจ ขณะที่ ททท.ก็มีหน้าที่ทำการตลาด ดังนั้นหากนโยบายเมดิคัลฮับของรัฐบาลสามารถทำให้ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติแม้จะเป็นผู้เจ็บป่วยเข้ามารักษาในประเทศไทยก็ถือว่าเป็นการทำตลาดของททท. เพราะผู้ป่วยที่เข้ามาจะมาพร้อมกับญาติ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะถือโอกาสนี้ท่องเที่ยว ชอปปิ้ง และ พักโรงแรงหรือเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ในประเทศไทยด้วย ตรงนี้ถือเป็นผลพลอยได้ แต่หากคิดเป็นเม็ดเงินที่เขาเข้ามาจับจ่ายคงไม่หนีกับค่ารักษาพยาบาลเช่นกัน” นพ.อภิชาติ กล่าว
นพ.อภิชาติ ศิวยาธร ผู้อำนวยการด้านปฏิบัติการทางการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และกรรมการในสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผยว่า ภาพรวมของโรงพยาบาลเอกชนในปัจจุบันนี้ต่างเร่งพัฒนาศักยภาพด้านการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อเปิดตลาดสู่ต่างประเทศ ดึงลูกค้าเข้ามารักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพ และศักยภาพด้านบริการทางการแพทย์ของไทยขณะนี้ก็เป็นที่ยอมรับและรู้จักดีในตลาดต่างประเทศ
สำหรับตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนของไทย เพราะตลาดนี้มีกำลังซื้อสูงและมักจะเดินทางออกไปรักษาตัวในต่างประเทศเมื่อเกิดเจ็บไข้ เนื่องจากการแพทย์ของประเทศในกลุ่มนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยยังถือว่าไม่ดีนัก แต่ทั้งนี้โรงพยาบาลที่เขาจะเลือกเข้ามารักษาตัวต้องมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งนอกจากเรื่องแบรนด์ที่การันตีความน่าเชื่อถือได้แล้ว ในเรื่องของมาตรฐานเป็นที่ยอมรับก็สำคัญ ซึ่งในกลุ่มตะวันออกกลาง จะมีมาตรฐานที่เขาให้การยอมรับในด้านการรักษาพยาบาลคือ Joint Commission International หรือ JCI ซึ่งเป็นมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานของโรงพยาบาลในอเมริกา ดังนั้นหากโรงพยาบาลเอกชนของไทยต้องการทำตลาดในประเทศกลุ่มนี้ควรที่จะทำเรื่องเสนอขอมาตรฐานนี้ไว้ สำหรับโรงพยาบาลที่บุกเบิกทำตลาดต่างประเทศขณะนี้ได้แก่ บำรุงราษฎร์ ,สมิติเวช และ กรุงเทพ ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลที่เริ่มสนใจเข้ามาทำตลาดต่างประเทศบ้างแล้วได้แก่ พญาไท ปิยะเวช พระรามเก้า เป็นต้น
สำหรับในส่วนของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้มาตรฐาน JCI มาแล้ว 8 ปี และทราบว่าโรงพยาบาลสมิติเวช ก็เพิ่งจะได้รับมาตรฐานนี้ไป ส่วนโรงพยาบาลเอกชนรายอื่นๆก็เริ่มทยอยขอมาตรฐานนี้กันแล้ว คาดว่าในปีนี้น่าจะมีโรงพยาบาลเอกชนของไทยได้ใบรับรองมาตรฐานนี้อีก 2-3 แห่ง
อย่างไรก็ตามการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ต้องทำไปพร้อมกับการทำตลาด ซึ่งลักษณะของตลาดกลุ่มนี้ ต้องใช้รูปแบบไดเร็กซ์คอนแทรก โดยดูรายชื่อจากฐานข้อมูล นอกจากนั้นการโรดโชว์ก็เป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และบริการที่มีอยู่ ปัจจุบันบริการทางการแพทย์ของประเทศไทยได้รับการยอมรับในตลาดตะวันออกกลาง และตลาดอื่นๆ สามารถดึงกำลังซื้อได้เป็นที่หนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซงคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
ทั้งนี้จุดแข็งสำคัญของประเทศไทย ที่ชนะคู่แข่งขันได้ มีอยู่3-4 ประการ ได้แก่ คุณภาพการรักษาที่ดี ,ราคาไม่แพง ,สะดวกไม่ต้องรอคิวนาน ,สภาพเศรษฐกิจที่ดีของแต่ละประเทศทำให้ผู้เจ็บป่วยมีทางเลือกของการรักษาพยาบาลมากขึ้น ลูกค้าหลัก ที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ตะวันออกกลาง บุลคลระดับวีไอพี และ กลุ่มเอสแพก จากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา พม่า เป็นต้น โรคที่เข้ามารับการรักษาพยาบาล จะมีตั้งแต่เบาไปถึงหนัก เช่น หัวใจ มะเร็ง โรคเกี่ยวกับสมอง และ โรคกระดูก
ปัจจุบัน มีต่างชาติเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยต่อปี 1.5-2 ล้านคน ทั้งนี้รวมกลุ่มเอสแพกที่อาศัยในประเทศไทยด้วย สร้างรายได้เข้าประเทศหลายหมื่นล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 20-25%ทุกปี ซึ่งตลาดนี้ได้โตต่อเนื่องมา 5-6 ปีแล้ว ล่าสุดจากสถิติของสมาคมโรงพยาบาลเอกชน มีรายงานว่า ในปี 2548 มีคนไข้ต่างชาติเข้ารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย 1.28 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 4 หมื่นล้านบาท ในส่วนของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สัดส่วนคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการ 50% เป็นต่างชาติ ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจากับทางรัฐบาลดูไบ เพื่อเข้าไปตั้งสาขาที่ดูไบ พร้อมกับทำสัญญากับบริษัทประกันสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเครมได้กรณีที่การรักษาจำเป็นต้องส่งต่อมาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่กรุงเทพฯ คาดว่าเร็วๆนี้จะสรุปผลเจรจาได้
นพ.อภิชาติ กล่าวว่า ปัญหาของโรงพยาบาลเอกชน ขณะนี้ มี 2 ปัญหาหลัก คือ 1.ขาดแคลนบุคคลากร ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะ บุคคลากรด้านการพยาบาลที่สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้คล่องแคล้ว จึงมีการซื้อตัวแรงงานด้านนี้มาก 2.คือปัญหาด้านนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาค แต่กระทรวงสาธารณะสุขกลับไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เกรงว่าแพทย์ที่มีฝีมือจะถูกซื้อตัวโดยโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากรัฐบาลเองก็มีปัญหากระจายการแพทย์และสาธารณะสุขที่ดีสู่ชุมชน ทั้ง 2 นโยบายจึงขัดแย้งกันเอง ดังนั้นรัฐบาลต้องแก้ปัญหาตรงนี้ให้สอดคล้องและเป็นไปในในทิศทางเดียวกัน
“สิ่งที่โรงพยาบาลเอกชนต้องทำคือการปรับปรุงพัฒนาขีดความสามารถด้านการรักษาพยาบาลให้เหนือคู่แข่งขัน เพราะโรงพยาบาลเอกชนคือธุรกิจ ขณะที่ ททท.ก็มีหน้าที่ทำการตลาด ดังนั้นหากนโยบายเมดิคัลฮับของรัฐบาลสามารถทำให้ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติแม้จะเป็นผู้เจ็บป่วยเข้ามารักษาในประเทศไทยก็ถือว่าเป็นการทำตลาดของททท. เพราะผู้ป่วยที่เข้ามาจะมาพร้อมกับญาติ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะถือโอกาสนี้ท่องเที่ยว ชอปปิ้ง และ พักโรงแรงหรือเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ในประเทศไทยด้วย ตรงนี้ถือเป็นผลพลอยได้ แต่หากคิดเป็นเม็ดเงินที่เขาเข้ามาจับจ่ายคงไม่หนีกับค่ารักษาพยาบาลเช่นกัน” นพ.อภิชาติ กล่าว