.
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ มีสภาพใช้บังคับจริง ตามหลักการการเมืองการปกครองประเทศในแบบ “นิติรัฐ” ดังนั้น ทุกถ้อยคำในรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่เพียงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ที่ดีหรือสะท้อนความเป็นจริงของประเทศเท่านั้น แต่จะต้องมีผลบังคับ และมีการดำเนินการใช้บังคับในรูปกฎหมายตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไปด้วย
เช่นเดียวกับบางประเทศที่มีการบัญญัติว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาตินั้น ก็มีการบังคับใช้ในเชิงกฎหมายตามมาด้วยว่า บรรดาศาสนาบัญญัติทั้งหลายจะมีผลบังคับใช้กับประชาชนในประเทศนั้นด้วย เช่น ศาสนาบัญญัติห้ามมิให้ดื่มสุรา การดื่มสุราก็ถือเป็นการผิดกฎหมาย เป็นต้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย “พุทธศักราช” 2540 และร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังพิจารณากันอยู่นี้ บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นเอกอัครศาสนูปภัมภก” นั่นก็มีผลบังคับในทางกฎหมายตามมาว่า พระประมุขของราชอาณาจักรไทยต้องเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ และทรงมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำใจ ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมอย่างบริบูรณ์ ทรงเป็นธรรมราชาอย่างแท้จริง ซึ่งในทางพฤตินัยก็เข้าใจได้ต่อไปว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติของไทยอยู่แล้ว
ดังนั้น การจะบัญญัติหรือไม่บัญญัติ “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” ไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพิจารณาแค่ว่า ข้อเท็จจริงในประเทศเป็นอย่างไร? คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไร? หรือต้องการจะสื่อนัยยะหรือสัญลักษณ์ความหมายใดไว้ในรัฐธรรมนูญ? เท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาด้วยว่า หากบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดแล้ว ก็จะต้องมีการใช้บังคับแก่ประชาชนในประเทศในรูปกฎหมายอย่างจริงจังด้วย
พูดง่ายๆ ว่า รัฐธรรมนูญมิใช่จดหมายเหตุ หรือวิทยานิพนธ์ ที่จะเป็นการบันทึกสะท้อนข้อเท็จจริง หรือสื่อสัญลักษณ์ความหมายใดๆ เท่านั้น แต่จะต้องมีสภาพการบังคับในทางกฎหมายตามมาด้วย
การบัญญัติเรื่องศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ จึงต้องเป็นการระดับของ “ศาสนบัญญัติ” ให้มีผลบังคับใช้ในทางกฎหมายเยี่ยง “รัฐบัญญัติ” อื่นๆ ด้วย
ดังนั้น หากต้องการให้รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” จริง ก็ควรจะต้องพิจารณาด้วยว่า จะต้องมีการบังคับใช้ หรือต้องออกกฎหมายใดมาบังคับแก่ประชาชนและผู้ที่อยู่ในแวดวงศาสนา เพื่อให้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
ในเบื้องต้น มีประเด็นต่อไปนี้
1. บังคับให้มีการศึกษาของพระ มหาวิทยาลัยสงฆ์ และโรงเรียนของเณร ซึ่งถือเป็นบุคลากรสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยจะต้องมีการ “สอบไล่พระและเณร” เพื่อประเมินความรู้ และยกระดับมาตรฐานการศึกษา
2. บังคับให้มีการส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติสมาธิ เจริญสติปัญญาของประชาชนในประเทศ มีมาตรการให้เงินอุดหนุนหรือลดภาษีให้แก่ผู้บริจาค ผู้สนับสนุนการปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา รวมถึงการบังคับการปฏิบัติธรรมในวันพระ
3. บังคับให้มีศูนย์การเรียนรู้ก่อนบวช เพื่อให้ผู้บวชสามารถศึกษาเรียนรู้ศาสนาพุทธก่อนจะบวช และบวชแล้วก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไป โดยจะต้องให้พระอุปัชฌาย์เป็นผู้ดูแลพฤติกรรม การปฏิบัติ และการเรียนศาสนาต่อไปภายหลังการบวชอีกอย่างน้อย 5 ปี เพื่อมิให้พระใหม่ออกนอกลู่นอกทาง และให้การบวชเป้นไปเพื่อการศึกษาและปฏิบัติศาสนธรรมอย่างแท้จริง
4. บังคับให้มีมาตรการส่งเสริม ช่วยเหลือ ผู้ที่มีส่วนในการทำนุบำรุงศาสนา โดยเฉพาะผู้ที่บวชพระ หากบวชมากกว่า 5 ปี โดยที่ระหว่างนั้นปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ถูกต้อง อาจได้สิทธิในการทำงาน หรือการรับราชการ เป็นต้น
5. บังคับการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบของพระเณรอย่างจริงจัง และมีผลใช้บังคับในทางกฎหมายอย่างแท้จริง บนมาตรฐานที่เข้มงวดยิ่งกว่าการตรวจสอบข้าราชการและนักการเมือง อาจจะต้องมีหน่วยงานในลักษณะคล้ายๆ กับ ป.ป.ช.ขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบวงการสงฆ์โดยเฉพาะ เช่น ต้องมีการยื่นบัญชีทรัพย์สินของผู้บวช ทั้งก่อนและหลังการบวช รวมไปถึงหลังจากลาสิกขาบทแล้ว เพื่อป้องกันการบวชเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน โดยถือว่าทรัพย์สินและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นระหว่างการบวชเป็นของศาสนาส่วนรวม เงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ก็ต้องตกเป็นของวัด เพราะฉะนั้น ปปง. และสตง. ก็ควรต้องเข้ามาบีบทบาทในการตรวจสอบการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินในแวดวงสงฆ์ เพื่อสร้างธรรมาภิบาลในวงการสงฆ์
นอกจากนี้ ยังควรต้องมีหน่วยงานขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติของพุทธศาสนาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินวัดต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับกรมธนารักษ์ที่ดูแลที่ดินสมบัติของรัฐ และควรจะต้องมีหน่วยงานขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลการก่อสร้างต่างๆ ของวัดทั่วประเทศ คล้ายๆ กรมโยธาธิการที่คอยดูแลงานก่อสร้างของรัฐ
6. วัดจะต้องเป็นวัดอย่างแท้จริง คือ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์อย่างแท้จริง โดยตัดขาดจากพุทธพาณิชย์ พระเครื่อง หรือและผลประโยชน์ในทางธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่การเผาศพ ก็อาจจะต้องแยกขาดจากวัด เพื่อให้มืออาชีพที่มีเทคโนโลยีสะอาด มีประสิทธิภาพมากกว่าเข้ามาจัดการ โดยที่พระสงฆ์ยังคงปฏิบัติตามกิจของสงฆ์ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
7. บังคับให้มีตำรวจพระ คอยสอดส่องดูแลพฤติกรรมของพระ หากมีการกระทำผิดศีล ผิดจากศาสนบัญญัติ หรือเหมาะสม ก็ต้องมีบทลงโทษอย่างจริงจัง เข้มงวด ไม่ว่าจะเป็น การสูบบุหรี่ การใบ้หวย ซื้อหวย หรือแม้แต่การขี่ช้าง รวมไปถึงการอวดอุตริในรูปแบบต่างๆ
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างที่ควรจะต้องมีการบังคับใช้ในรูปแบบกฎหมายต่อไป หากจะมีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติจริงๆ
แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ ท่าทีและการเคลื่อนไหวของคณะสงฆ์และแนวร่วมบางกลุ่ม ที่ก่อให้เกิดผลกระทบไปไกลยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา แต่ล่วงเข้าไปถึงการเดินเกมการเมือง
การเคลื่อนไหวกดดันรัฐธรรมนูญที่ว่า หากไม่มีการบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะเคลื่อนไหว “คว่ำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ” โดยไม่สนใจว่าในมาตราอื่นๆ ของรัฐธรรมนูญจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนอื่นๆ เพียงใดก็ตาม เป็นการสมเหตุสมผลหรือไม่ เป็นประโยชน์แก่ใคร ก็น่าสงสัย และยิ่งน่าสงสัยเมื่อปรากฏว่า แกนนำบางกลุ่มมีความสัมพันธ์และมีความเป็นมาที่น่าฉงน
จึงไม่แปลกใจ เมื่อการเคลื่อนไหวครั้งนี้ จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากวัดธรรมกาย ถึงขนาดว่า อาจจะนำคนเข้าร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวด้วยเรือนแสนคน ซึ่งหากพิจารณาปูมหลังของวัดธรรมกาย ก็จะเห็นว่า มีความสัมพันธ์กับแกนนำของคนในระบอบทักษิณ อย่าลืมว่า ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะถูกรัฐประหาร ก็ได้ไปใช้สถานที่วัดธรรมกายปราศรัยการเมืองต่อหน้าผู้คนจาก อบต.หลายหมื่นคน และหลังจากนั้นไม่นาน อัยการก็ถอนฟ้องในคดีที่ “ธรรมชโย” ตกเป็นจำเลย ทั้งๆ ที่คดีกำลังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลยุติธรรม
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการเคลื่อนไหว ไม่รับร่างประชามติ หากไม่บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยที่ไม่มีการพูดถึงผลการบังคับใช้ที่ตามมา ทั้งๆ ที่ เป็นแก่นของการทำนุบำรุงความเจริญของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เป็นเรื่อง “การเมือง” หรือ “การศาสนา” ?
ใช่หรือไม่ว่า หากทำให้ศาสนาเป็น “ศาสนาประจำใจ” ของคนไทยทุกคนได้ หรือนำหลักธรรมของศาสนาไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ย่อมจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติอย่างแน่นอนที่สุด
แต่การบัญญัติให้ “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” แบบลอยๆ โดยไม่มีการบังคับใช้ทางกฎหมาย และศาสนบัญญัติตามมาด้วย จะมีผลทำให้ความเป็นศาสนาประจำใจของคนไทยในทุกๆ ศาสนา มากขึ้น หรือลดลง อย่างไร ?
หรือการไม่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ จะมีผลทำให้ความเป็นศาสนาประจำใจลดน้อยลงกว่าเดิม หรือไม่?
อะไร และทำอย่างไร จึงจะทำให้เกิดศาสนาประจำใจของคนไทยทั้งชาติ ?
หากมีเจตนาที่มุ่งหวังจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงใจ โจทย์ของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่น่าจะเป็นการนำพาไปสู่ทางตันของสังคม ในลักษณะว่า ถ้าไม่บัญญัติจะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ควรจะเป็นการสร้างเงื่อนไข หาทางออก หรือทางเลือกสร้างสรรค์กว่านั้น เช่น หากบัญญัติแล้ว จะต้องมีกฎหมายบังคับใช้ตามมาด้วยอย่างไร? หรือหากไม่บัญญัติแล้ว จะมีมาตรการหรือกฎหมายบังคับอย่างไรเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ?
อย่าลืมว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” !
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ มีสภาพใช้บังคับจริง ตามหลักการการเมืองการปกครองประเทศในแบบ “นิติรัฐ” ดังนั้น ทุกถ้อยคำในรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่เพียงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ที่ดีหรือสะท้อนความเป็นจริงของประเทศเท่านั้น แต่จะต้องมีผลบังคับ และมีการดำเนินการใช้บังคับในรูปกฎหมายตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไปด้วย
เช่นเดียวกับบางประเทศที่มีการบัญญัติว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาตินั้น ก็มีการบังคับใช้ในเชิงกฎหมายตามมาด้วยว่า บรรดาศาสนาบัญญัติทั้งหลายจะมีผลบังคับใช้กับประชาชนในประเทศนั้นด้วย เช่น ศาสนาบัญญัติห้ามมิให้ดื่มสุรา การดื่มสุราก็ถือเป็นการผิดกฎหมาย เป็นต้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย “พุทธศักราช” 2540 และร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังพิจารณากันอยู่นี้ บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นเอกอัครศาสนูปภัมภก” นั่นก็มีผลบังคับในทางกฎหมายตามมาว่า พระประมุขของราชอาณาจักรไทยต้องเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ และทรงมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำใจ ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมอย่างบริบูรณ์ ทรงเป็นธรรมราชาอย่างแท้จริง ซึ่งในทางพฤตินัยก็เข้าใจได้ต่อไปว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติของไทยอยู่แล้ว
ดังนั้น การจะบัญญัติหรือไม่บัญญัติ “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” ไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพิจารณาแค่ว่า ข้อเท็จจริงในประเทศเป็นอย่างไร? คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไร? หรือต้องการจะสื่อนัยยะหรือสัญลักษณ์ความหมายใดไว้ในรัฐธรรมนูญ? เท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาด้วยว่า หากบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดแล้ว ก็จะต้องมีการใช้บังคับแก่ประชาชนในประเทศในรูปกฎหมายอย่างจริงจังด้วย
พูดง่ายๆ ว่า รัฐธรรมนูญมิใช่จดหมายเหตุ หรือวิทยานิพนธ์ ที่จะเป็นการบันทึกสะท้อนข้อเท็จจริง หรือสื่อสัญลักษณ์ความหมายใดๆ เท่านั้น แต่จะต้องมีสภาพการบังคับในทางกฎหมายตามมาด้วย
การบัญญัติเรื่องศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ จึงต้องเป็นการระดับของ “ศาสนบัญญัติ” ให้มีผลบังคับใช้ในทางกฎหมายเยี่ยง “รัฐบัญญัติ” อื่นๆ ด้วย
ดังนั้น หากต้องการให้รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” จริง ก็ควรจะต้องพิจารณาด้วยว่า จะต้องมีการบังคับใช้ หรือต้องออกกฎหมายใดมาบังคับแก่ประชาชนและผู้ที่อยู่ในแวดวงศาสนา เพื่อให้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
ในเบื้องต้น มีประเด็นต่อไปนี้
1. บังคับให้มีการศึกษาของพระ มหาวิทยาลัยสงฆ์ และโรงเรียนของเณร ซึ่งถือเป็นบุคลากรสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยจะต้องมีการ “สอบไล่พระและเณร” เพื่อประเมินความรู้ และยกระดับมาตรฐานการศึกษา
2. บังคับให้มีการส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติสมาธิ เจริญสติปัญญาของประชาชนในประเทศ มีมาตรการให้เงินอุดหนุนหรือลดภาษีให้แก่ผู้บริจาค ผู้สนับสนุนการปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา รวมถึงการบังคับการปฏิบัติธรรมในวันพระ
3. บังคับให้มีศูนย์การเรียนรู้ก่อนบวช เพื่อให้ผู้บวชสามารถศึกษาเรียนรู้ศาสนาพุทธก่อนจะบวช และบวชแล้วก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไป โดยจะต้องให้พระอุปัชฌาย์เป็นผู้ดูแลพฤติกรรม การปฏิบัติ และการเรียนศาสนาต่อไปภายหลังการบวชอีกอย่างน้อย 5 ปี เพื่อมิให้พระใหม่ออกนอกลู่นอกทาง และให้การบวชเป้นไปเพื่อการศึกษาและปฏิบัติศาสนธรรมอย่างแท้จริง
4. บังคับให้มีมาตรการส่งเสริม ช่วยเหลือ ผู้ที่มีส่วนในการทำนุบำรุงศาสนา โดยเฉพาะผู้ที่บวชพระ หากบวชมากกว่า 5 ปี โดยที่ระหว่างนั้นปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ถูกต้อง อาจได้สิทธิในการทำงาน หรือการรับราชการ เป็นต้น
5. บังคับการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบของพระเณรอย่างจริงจัง และมีผลใช้บังคับในทางกฎหมายอย่างแท้จริง บนมาตรฐานที่เข้มงวดยิ่งกว่าการตรวจสอบข้าราชการและนักการเมือง อาจจะต้องมีหน่วยงานในลักษณะคล้ายๆ กับ ป.ป.ช.ขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบวงการสงฆ์โดยเฉพาะ เช่น ต้องมีการยื่นบัญชีทรัพย์สินของผู้บวช ทั้งก่อนและหลังการบวช รวมไปถึงหลังจากลาสิกขาบทแล้ว เพื่อป้องกันการบวชเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน โดยถือว่าทรัพย์สินและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นระหว่างการบวชเป็นของศาสนาส่วนรวม เงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ก็ต้องตกเป็นของวัด เพราะฉะนั้น ปปง. และสตง. ก็ควรต้องเข้ามาบีบทบาทในการตรวจสอบการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินในแวดวงสงฆ์ เพื่อสร้างธรรมาภิบาลในวงการสงฆ์
นอกจากนี้ ยังควรต้องมีหน่วยงานขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติของพุทธศาสนาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินวัดต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับกรมธนารักษ์ที่ดูแลที่ดินสมบัติของรัฐ และควรจะต้องมีหน่วยงานขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลการก่อสร้างต่างๆ ของวัดทั่วประเทศ คล้ายๆ กรมโยธาธิการที่คอยดูแลงานก่อสร้างของรัฐ
6. วัดจะต้องเป็นวัดอย่างแท้จริง คือ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์อย่างแท้จริง โดยตัดขาดจากพุทธพาณิชย์ พระเครื่อง หรือและผลประโยชน์ในทางธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่การเผาศพ ก็อาจจะต้องแยกขาดจากวัด เพื่อให้มืออาชีพที่มีเทคโนโลยีสะอาด มีประสิทธิภาพมากกว่าเข้ามาจัดการ โดยที่พระสงฆ์ยังคงปฏิบัติตามกิจของสงฆ์ในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
7. บังคับให้มีตำรวจพระ คอยสอดส่องดูแลพฤติกรรมของพระ หากมีการกระทำผิดศีล ผิดจากศาสนบัญญัติ หรือเหมาะสม ก็ต้องมีบทลงโทษอย่างจริงจัง เข้มงวด ไม่ว่าจะเป็น การสูบบุหรี่ การใบ้หวย ซื้อหวย หรือแม้แต่การขี่ช้าง รวมไปถึงการอวดอุตริในรูปแบบต่างๆ
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างที่ควรจะต้องมีการบังคับใช้ในรูปแบบกฎหมายต่อไป หากจะมีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติจริงๆ
แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ ท่าทีและการเคลื่อนไหวของคณะสงฆ์และแนวร่วมบางกลุ่ม ที่ก่อให้เกิดผลกระทบไปไกลยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา แต่ล่วงเข้าไปถึงการเดินเกมการเมือง
การเคลื่อนไหวกดดันรัฐธรรมนูญที่ว่า หากไม่มีการบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะเคลื่อนไหว “คว่ำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ” โดยไม่สนใจว่าในมาตราอื่นๆ ของรัฐธรรมนูญจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนอื่นๆ เพียงใดก็ตาม เป็นการสมเหตุสมผลหรือไม่ เป็นประโยชน์แก่ใคร ก็น่าสงสัย และยิ่งน่าสงสัยเมื่อปรากฏว่า แกนนำบางกลุ่มมีความสัมพันธ์และมีความเป็นมาที่น่าฉงน
จึงไม่แปลกใจ เมื่อการเคลื่อนไหวครั้งนี้ จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากวัดธรรมกาย ถึงขนาดว่า อาจจะนำคนเข้าร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวด้วยเรือนแสนคน ซึ่งหากพิจารณาปูมหลังของวัดธรรมกาย ก็จะเห็นว่า มีความสัมพันธ์กับแกนนำของคนในระบอบทักษิณ อย่าลืมว่า ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะถูกรัฐประหาร ก็ได้ไปใช้สถานที่วัดธรรมกายปราศรัยการเมืองต่อหน้าผู้คนจาก อบต.หลายหมื่นคน และหลังจากนั้นไม่นาน อัยการก็ถอนฟ้องในคดีที่ “ธรรมชโย” ตกเป็นจำเลย ทั้งๆ ที่คดีกำลังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลยุติธรรม
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการเคลื่อนไหว ไม่รับร่างประชามติ หากไม่บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยที่ไม่มีการพูดถึงผลการบังคับใช้ที่ตามมา ทั้งๆ ที่ เป็นแก่นของการทำนุบำรุงความเจริญของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เป็นเรื่อง “การเมือง” หรือ “การศาสนา” ?
ใช่หรือไม่ว่า หากทำให้ศาสนาเป็น “ศาสนาประจำใจ” ของคนไทยทุกคนได้ หรือนำหลักธรรมของศาสนาไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ย่อมจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติอย่างแน่นอนที่สุด
แต่การบัญญัติให้ “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” แบบลอยๆ โดยไม่มีการบังคับใช้ทางกฎหมาย และศาสนบัญญัติตามมาด้วย จะมีผลทำให้ความเป็นศาสนาประจำใจของคนไทยในทุกๆ ศาสนา มากขึ้น หรือลดลง อย่างไร ?
หรือการไม่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ จะมีผลทำให้ความเป็นศาสนาประจำใจลดน้อยลงกว่าเดิม หรือไม่?
อะไร และทำอย่างไร จึงจะทำให้เกิดศาสนาประจำใจของคนไทยทั้งชาติ ?
หากมีเจตนาที่มุ่งหวังจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงใจ โจทย์ของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่น่าจะเป็นการนำพาไปสู่ทางตันของสังคม ในลักษณะว่า ถ้าไม่บัญญัติจะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ควรจะเป็นการสร้างเงื่อนไข หาทางออก หรือทางเลือกสร้างสรรค์กว่านั้น เช่น หากบัญญัติแล้ว จะต้องมีกฎหมายบังคับใช้ตามมาด้วยอย่างไร? หรือหากไม่บัญญัติแล้ว จะมีมาตรการหรือกฎหมายบังคับอย่างไรเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ?
อย่าลืมว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” !