จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยพบว่าสัดส่วนของคนสูงอายุในโครงสร้างประชากรจะเพิ่มขึ้น โดยที่ในปี 2549อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 71.5 ปี โดยที่ผู้ชายมีอายุขัยเฉลี่ยต่ำกว่าผู้หญิงคืออยู่ที่ 68 ปีส่วนผู้หญิงอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ปี ในปี 2563 อายุขัยเฉลี่ยคาดว่าจะเป็นที่ 81.3 ปี โดยที่อายุขัยเฉลี่ยฝ่ายชายอยู่ที่ 78.62 ปี และฝ่ายหญิงอยู่ที่ 83.94 ปีและด้วยอัตราการเจริญพันธุ์หรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยที่สตรีคนหนึ่งให้กำเนิดตลอดวัยมีบุตรของตน(Total Fertility Rate : TFR) และอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้สัดส่วนของคนวัยทำงานต่อคนสูงอายุและเด็กจะเพิ่มขึ้นจาก 3 ต่อ 1 (คนทำงาน 3 คนดูแลคน 1 คน) ในปี 2549 ไปเป็น 1 ต่อ 1 ในอีก 25 ปีข้างหน้า
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรมีผลต่อการจัดทำงบประมาณอย่างไรโครงสร้างประชากรที่คนสูงอายุมีจำนวนมากขึ้นทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นในการดูแลและให้สวัสดิการกับคนเหล่านี้ในสหรัฐอเมริกาสัดส่วนงบประมาณที่จัดสรรเพื่อการนี้จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 13 ในปี ค.ศ. 2030 ค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 9ต่อ GDP ในปี ค.ศ. 2050
ผลกระทบต่อฐานะการคลังของประเทศต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในขณะที่ประชากรสูงอายุขึ้น รัฐบาลคงจะต้องเลือกระหว่างเก็บภาษีเพิ่มขึ้นหรือลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม ในสหรัฐอเมริกาภาษีที่เก็บโดยรัฐบาลจะต้องเพิ่มขึ้นจาก 18% ต่อ GDP เป็น 24% ต่อ GDP ในปี ค.ศ. 2030 หรือมิฉะนั้นก็ต้องตัดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมและการดูแลรักษาพยาบาลลงจากร้อยละ 12 ต่อ GDP เหลือร้อยละ 6 ต่อ GDP
ทางเลือกอีกประการหนึ่งก็คือ รัฐบาลอาจจำเป็นต้องทำงบประมาณขาดดุลหรือถ้าขาดดุลอยู่แล้วก็ต้องเพิ่มการขาดดุล ซึ่งมีผลให้รัฐบาลต้องกู้เงินและหนี้ของประเทศก็จะต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการผลักภาระไปให้คนในยุคอนาคตเป็นผู้จ่าย การตัดสินใจของผู้วางนโยบายจะเป็นตัวกำหนดทิศทางที่ภาระทางเศรษฐกิจของประชากรสูงอายุจะถูกจัดสรรระหว่างคนในยุคนี้และคนในยุคหน้า ซึ่งต้องคำนึงถึงความยุติธรรมและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
สังคมที่ประชากรสูงอายุ จะนำไปสู่มาตรฐานการครองชีพที่ลดต่ำลง ทำไมการแก่ขึ้นของโครงสร้างประชากร จึงมีต้นทุนซึ่งส่งผลกระทบต่อมาตรฐานการครองชีพในระยะยาว เพราะเมื่อสังคมมีประชากรสูงอายุพ้นวัยทำงานมากขึ้น จำนวนผู้ที่ทำงานได้ก็ลดน้อยลง
ส่งผลให้ระดับของผลผลิตต่อคนลดลง เนื่องจากต้องจัดสรรให้กับคนจำนวนมากขึ้น ดังนั้นการลดลงของผู้ที่อยู่ในวัยทำงานจะลดรายได้ต่อหัว (Per Capita Real GDP) และลดการบริโภคต่อบุคคลลง การลดลงของผลผลิตและการบริโภคต่อบุคคล จึงเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
วิธีการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรทางหนึ่งก็คือ การเพิ่มระดับการออมของประเทศ ถ้าเราสามารถออมเงินได้เพิ่มขึ้นก็จะสามารถเพิ่มระดับทุนของประเทศ ด้วยการเพิ่มจำนวนโรงงาน เครื่องจักรและอุปกรณ์ ซึ่งจะส่งผลให้คนทำงานในอนาคตมีผลิตภาพมากขึ้นและลดผลที่จะเกิดขึ้นต่อผลผลิตต่อหัวและการบริโภคที่ลดลง
นอกจากนั้นทางเลือกอีกประการก็คือนำเงินออมที่เพิ่มขึ้นในประเทศไปซื้อทรัพย์สินทางการเงินในต่างประเทศหรือลดภาระหนี้ต่างประเทศลง อันนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงควรจัดตั้งกองทุนหรือบรรษัทเพื่อการลงทุนแห่งชาติในลักษณะ Government Investment Corporation หรือ Temasek เช่นเดียวกับเกาหลี สิงคโปร์ จีน มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบรูไน โดยใช้บางส่วนของเงินออมของภาครัฐ เอกชน และทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่
เพื่อลดผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประชากรในยุคนี้อาจต้องเสียสละ โดยการลดการบริโภคลงและออมเพิ่มขึ้นคนในยุคหน้าก็จะได้รับอานิสงส์จากคนในยุคนี้ที่บริโภคน้อยลงและลงทุนเพิ่มขึ้น ถ้าเราไม่เริ่มต้นที่จะเตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังเกิดขึ้น ภาระที่จะตกกับคนในยุคหน้าก็จะมากมายมหาศาล การตัดสินใจในช่วง 10-20 ปีข้างหน้า จะมีผลอย่างยิ่งต่อมาตรฐานความเป็นอยู่ การดำรงชีพของลูกหลานเราในอนาคต หากเราไม่ออมมากขึ้นในตอนนี้ ลูกหลานเราก็จะต้องเสียภาษีมากขึ้นเพื่อรับภาระของประชากร สูงอายุที่เพิ่มขึ้น
การเพิ่มการออมทำได้ใน 3 ระดับคือ ระดับรัฐบาลคงต้องลดค่าใช้จ่ายประจำและการขาดดุลลง ระดับบริษัทเอกชนก็ออมเพิ่มขึ้นในรูปกำไรสะสม และในระดับครอบครัวก็ต้องออมเงินเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรเพิ่มความรู้ การศึกษาทางด้านการเงินกับประชาชน เพิ่มการออมแบบอัตโนมัติ (ไม่ใช่ภาคบังคับ) โดยมีทางเลือกที่จะออกไปในอนาคต สำหรับมาตรการอื่นๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการศึกษา การเพิ่มการฝึกอบรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุและวิจัยขั้นพื้นฐาน การกระตุ้นส่งเสริมให้คนทำงานมากขึ้น และขยายเวลาวัยทำงานให้กว้างขึ้น การเพิ่มความคล่องตัวในตารางการทำงาน เช่น การทำงานบางเวลา บางวัน หรือทำงานในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เป็นต้น
ยิ่งเราตัดสินใจในเรื่องนี้ล่าช้าเพียงใด ภาระและผลกระทบที่หนักขึ้นก็จะตกกับคนในยุคต่อไป.
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรมีผลต่อการจัดทำงบประมาณอย่างไรโครงสร้างประชากรที่คนสูงอายุมีจำนวนมากขึ้นทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นในการดูแลและให้สวัสดิการกับคนเหล่านี้ในสหรัฐอเมริกาสัดส่วนงบประมาณที่จัดสรรเพื่อการนี้จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 13 ในปี ค.ศ. 2030 ค่ารักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 9ต่อ GDP ในปี ค.ศ. 2050
ผลกระทบต่อฐานะการคลังของประเทศต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในขณะที่ประชากรสูงอายุขึ้น รัฐบาลคงจะต้องเลือกระหว่างเก็บภาษีเพิ่มขึ้นหรือลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม ในสหรัฐอเมริกาภาษีที่เก็บโดยรัฐบาลจะต้องเพิ่มขึ้นจาก 18% ต่อ GDP เป็น 24% ต่อ GDP ในปี ค.ศ. 2030 หรือมิฉะนั้นก็ต้องตัดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมและการดูแลรักษาพยาบาลลงจากร้อยละ 12 ต่อ GDP เหลือร้อยละ 6 ต่อ GDP
ทางเลือกอีกประการหนึ่งก็คือ รัฐบาลอาจจำเป็นต้องทำงบประมาณขาดดุลหรือถ้าขาดดุลอยู่แล้วก็ต้องเพิ่มการขาดดุล ซึ่งมีผลให้รัฐบาลต้องกู้เงินและหนี้ของประเทศก็จะต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการผลักภาระไปให้คนในยุคอนาคตเป็นผู้จ่าย การตัดสินใจของผู้วางนโยบายจะเป็นตัวกำหนดทิศทางที่ภาระทางเศรษฐกิจของประชากรสูงอายุจะถูกจัดสรรระหว่างคนในยุคนี้และคนในยุคหน้า ซึ่งต้องคำนึงถึงความยุติธรรมและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
สังคมที่ประชากรสูงอายุ จะนำไปสู่มาตรฐานการครองชีพที่ลดต่ำลง ทำไมการแก่ขึ้นของโครงสร้างประชากร จึงมีต้นทุนซึ่งส่งผลกระทบต่อมาตรฐานการครองชีพในระยะยาว เพราะเมื่อสังคมมีประชากรสูงอายุพ้นวัยทำงานมากขึ้น จำนวนผู้ที่ทำงานได้ก็ลดน้อยลง
ส่งผลให้ระดับของผลผลิตต่อคนลดลง เนื่องจากต้องจัดสรรให้กับคนจำนวนมากขึ้น ดังนั้นการลดลงของผู้ที่อยู่ในวัยทำงานจะลดรายได้ต่อหัว (Per Capita Real GDP) และลดการบริโภคต่อบุคคลลง การลดลงของผลผลิตและการบริโภคต่อบุคคล จึงเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
วิธีการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรทางหนึ่งก็คือ การเพิ่มระดับการออมของประเทศ ถ้าเราสามารถออมเงินได้เพิ่มขึ้นก็จะสามารถเพิ่มระดับทุนของประเทศ ด้วยการเพิ่มจำนวนโรงงาน เครื่องจักรและอุปกรณ์ ซึ่งจะส่งผลให้คนทำงานในอนาคตมีผลิตภาพมากขึ้นและลดผลที่จะเกิดขึ้นต่อผลผลิตต่อหัวและการบริโภคที่ลดลง
นอกจากนั้นทางเลือกอีกประการก็คือนำเงินออมที่เพิ่มขึ้นในประเทศไปซื้อทรัพย์สินทางการเงินในต่างประเทศหรือลดภาระหนี้ต่างประเทศลง อันนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงควรจัดตั้งกองทุนหรือบรรษัทเพื่อการลงทุนแห่งชาติในลักษณะ Government Investment Corporation หรือ Temasek เช่นเดียวกับเกาหลี สิงคโปร์ จีน มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบรูไน โดยใช้บางส่วนของเงินออมของภาครัฐ เอกชน และทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่
เพื่อลดผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประชากรในยุคนี้อาจต้องเสียสละ โดยการลดการบริโภคลงและออมเพิ่มขึ้นคนในยุคหน้าก็จะได้รับอานิสงส์จากคนในยุคนี้ที่บริโภคน้อยลงและลงทุนเพิ่มขึ้น ถ้าเราไม่เริ่มต้นที่จะเตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังเกิดขึ้น ภาระที่จะตกกับคนในยุคหน้าก็จะมากมายมหาศาล การตัดสินใจในช่วง 10-20 ปีข้างหน้า จะมีผลอย่างยิ่งต่อมาตรฐานความเป็นอยู่ การดำรงชีพของลูกหลานเราในอนาคต หากเราไม่ออมมากขึ้นในตอนนี้ ลูกหลานเราก็จะต้องเสียภาษีมากขึ้นเพื่อรับภาระของประชากร สูงอายุที่เพิ่มขึ้น
การเพิ่มการออมทำได้ใน 3 ระดับคือ ระดับรัฐบาลคงต้องลดค่าใช้จ่ายประจำและการขาดดุลลง ระดับบริษัทเอกชนก็ออมเพิ่มขึ้นในรูปกำไรสะสม และในระดับครอบครัวก็ต้องออมเงินเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรเพิ่มความรู้ การศึกษาทางด้านการเงินกับประชาชน เพิ่มการออมแบบอัตโนมัติ (ไม่ใช่ภาคบังคับ) โดยมีทางเลือกที่จะออกไปในอนาคต สำหรับมาตรการอื่นๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการศึกษา การเพิ่มการฝึกอบรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุและวิจัยขั้นพื้นฐาน การกระตุ้นส่งเสริมให้คนทำงานมากขึ้น และขยายเวลาวัยทำงานให้กว้างขึ้น การเพิ่มความคล่องตัวในตารางการทำงาน เช่น การทำงานบางเวลา บางวัน หรือทำงานในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เป็นต้น
ยิ่งเราตัดสินใจในเรื่องนี้ล่าช้าเพียงใด ภาระและผลกระทบที่หนักขึ้นก็จะตกกับคนในยุคต่อไป.