ผบ.ทบ.- ผู้ว่าฯ ปัตตานีสั่งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเฝ้าระวังและติดตามความไหวของกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ในวันครบ 3 ปีเหตุปะทะทหารและกลุ่มก่อความไม่สงบที่มัสยิดกรือเซะอย่างเข้มงวด "สนธิ"เชื่อ"กรือเซะ 28 เม.ย." ไม่ใช่วันสำคัญของขบวนการก่อความไม่สงบ ขณะที่ทางการมาเลย์ผลักดันคนไทยเครือข่าย "ต้มยำกุ้ง" ที่ลอบไปค้าแรงงานกลับไทยอีก 71 คน จนท.ด้านความมั่นคงในชายแดนใต้หวั่นมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนแอบแฝงเข้ามาด้วย พร้อมเปิดเบื้องลึกขบวนการต้มยำกุ้งในมาเลเซีย
นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร เฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ จ.ปัตตานีอย่างเข้มงวดในวันนี้ (28 เม.ย.) ซึ่งเป็นวันครบรอบ 3 ปีของเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบที่มัสยิดกรือเซะ ต.ตันหยงลุโละ อ.เมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 28 เม.ย.47 ซึ่งครั้งนั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ศพ ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในจังหวัดงดจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งกิจกรรมด้านอื่นๆ ด้วย
พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี กล่าวว่า ในด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมแผนป้องกันการก่อเหตุร้ายไว้เป็นกรณีพิเศษทุกวันอยู่แล้ว และถึงแม้วันนี้จะเป็นวันครบรอบเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ทุกฝ่ายต่างก็พร้อมปฏิบัติงานรับมืออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่
ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช.กล่าวถึงกรณีที่มีการแจ้งเตือนอาจจะมีการก่อความรุนแรงในวันนี้ว่า ทุกคนต้องเข้าใจข้อมูลพื้นฐานเดิมของเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่งไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายของกระบวนการของตัวเองและขัดขืนคำสั่งนำคนออกมาปฏิบัติการ ทำให้เกิดความเสียหาย
"คิดว่าวันดังกล่าวไม่น่าจะใช่วันสำคัญของขบวนการ แต่เพื่อความไม่ประมาทผมได้กำชับให้หน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย และให้ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันได้แจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น"
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การที่เลขาธิการองค์การการประชุมอิสลาม (โอไอซี) จะเดินทางเยือนประเทศไทยและเข้าพบนายกรัฐมนตรีวันจันทร์หน้า รัฐบาลไม่มีข้อมูลรายงานเพิ่มเติม แต่หากเลขาธิการโอไอซี จะลงไปดูในพื้นที่ รัฐบาลก็พร้อมอำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์โดยภาพรวม อย่างไรก็ตาม เลขาธิการโอไอซี เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้อย่างสันติวิธีของรัฐบาลไทย
บ่ายวันเดียวกัน พ.ต.ท.อำนรรฆ ไตรกิตยานุกูล สว.ด่านตรวจคนเข้าเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ได้รับการประสานจากนายริส ฮาซาน หัวหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียว่า จะผลักดันคนไทยที่ถูกจับกุมในรัฐสลังงอ และ อ.กริ๊ก รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย 71 คนกลับไทย จึงพร้อมด้วยนายนพดล สองเมือง นายอำเภอเบตง, พ.ต.อ.ทรงเกียรติ วาทะกุล ผกก.สภ.อ.เบตง และ ร.อ.ต่อพงษ์ มาตาพิทักษ์ ผบ.ร้อย ฉก.1321 ไปรอรับและตรวจสอบที่บริเวณด่าน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ทางมาเลเซียได้ผลักดันแรงงานไทยกลับประเทศมาแล้วครั้งหนึ่งจำนวน 89 คน
โดยคนไทย 71 คนที่ถูกผลักดันกลับครั้งนี้ได้ถูกเจ้าหน้าที่แรงงานของประเทศมาเลเซียจับกุมในข้อหาประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาตในพื้นที่ อ.บาลิ่งและ อ.อีโปร์ รัฐเปรัค รัฐสลางอ และ อ.สุไหงปัตตานี ในประเทศมาเลเซีย โดยกลุ่มคนไทยดังกล่าวได้เข้าไปประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างในร้านต้มยำกุ้งที่มีเจ้าของร้านเป็นคนไทยเช่นกัน
ทั้งนี้ กลุ่มคนไทยดังกล่าวได้ทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวหรือบอร์เดอร์พาสเพียงเท่านั้น ซึ่งตามกฎหมายของมาเลเซียคนไทยที่เข้าไปทำงานจะต้องมีหนังสือเวิร์คเปอร์มิท หรือใบอนุญาตในการทำงานเท่านั้น จึงทำให้ทางการมาเลเซียได้ถูกจับกุมและได้ยกเว้นการดำเนินคดีในประเทศ แต่ใช้วิธีผลักดันกลับประเทศไทยแทน อย่างไรก็ตาม การผลักดันกลุ่มคนไทยในครั้งนี้มีคนไทยบางคนติดเชื้อไข้มาเลเรียมาด้วย ซึ่งการเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอเบตง ได้มีการตรวจเชื้ออย่างละเอียดก่อนที่จะมีการส่งกลับภูมิลำเนาเดิม ส่วนใหญ่เดินทางมาจาก จ.ปัตตานี นราธิวาส และยะลา
มีรายงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคงในชายแดนใต้ เปิดเผยว่า การผลักดันคนไทยกลับประเทศของเจ้าหน้าที่ทางการมาเลเซียครั้งนี้ กลุ่มที่ถูกผลักดันดังกล่าวรวมถึงครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบไม่พบเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงต้องการตัว
แต่ในการผลักดันในห้วงเวลานี้ทางเจ้าหน้าที่เกรงว่าจะมีสมาชิกของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ไม่มีหมายจับ หรือไม่ได้อยู่ในสารระบบ ได้แอบแฝงเข้ามาด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้หน่วยข่าวได้รับรายงานว่า คนมุสลิมที่ข้ามไปอยู่ในประเทศมาเลเซียส่วนหนึ่งได้รับความช่วยเหลือจากขบวนการพูโล เพื่อให้สามารถอยู่และประกอบอาชีพได้โดยไม่ถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของมาเลเซีย
"เพราะส่วนใหญ่คนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีเวิร์คเปอร์มิท หรือใบอนุญาตในการทำงาน ดังนั้น จึงต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้กับขบวนการพูโลและมีบัตรสมาชิกขบวนการพูโลทุกคน" รายงานข่าวระบุ และว่า
ขณะนี้คนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เดินทางไปประกอบอาชีพในมาเลเซียได้มีจำนวนมากขึ้นและมีร้านอาหารประเภทต้มยำกุ้งมากถึงประมาณ 5.000 แห่งกระจายไปทั่วทั้ง 13 รัฐ และเจ้าของร้านและพนักงานที่เป็นคนไทยรวมกันไม่ต่ำกว่า 200.000 คน ซึ่งคนไทยเหล่านี้ได้รวมตัวตั้งเป็นชมรมขึ้นโดยใช้ชื่อว่า "ชมรมต้มยำกุ้ง" อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2544 ก่อนที่จะกลายเป็นสมาคมต้มยำกุ้งอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน
รายงานข่าวดังกล่าวยังระบุว่า การรวมตัวกันของเครือข่ายต้มยำกุ้งของคนไทยในมาเลเซียนั้นมีอดีตแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ซึ่งมีชื่อจัดตั้งว่า "สุเบ" เป็นชาว ต.บาลอ อ.รามัน จ.ยะลา เป็นผู้นำ และมีกรรมการรับผิดชอบยังรัฐต่างๆ เพื่อดูแลสมาชิกโดยมีการเก็บเงินเข้าชมรมเป็นรายเดือนละประมาณ 1.000 บาท/คน
สำหรับเงินที่สมาชิกจ่ายให้กับสมาคมต้มยำกุ้งนั้น ส่วนหนึ่งคือค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของมาเลเซีย เพื่อซื้อความสะดวกมิให้มีการตรวจค้นหรือจับกุมแรงงานไทย ส่วนหนึ่งให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการร้านอาหารและตามรายงานด้านการข่าวของกองบัญชาการตำรวจสันติบาลและศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ฝ่ายไทยระบุว่าเงินทุนจำนวนนี้ยังถูกส่งมาสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนชายแดนใต้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหานี้ได้รับการปฏิเสธจากสมาคมต้มยำกุ้งของคนไทยในมาเลเซียมาโดยตลอดว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยแต่อย่างใด
อีกเหตุผลหนึ่งที่สมาคมต้มยำกุ้งของคนไทยในมาเลเซียสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เพราะคนในสมาคมมีความใกล้ชิดกับอดีตผู้บริหารมาเลเซีย โดยเป็นฐานทางการเมืองในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคหนึ่ง รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทั้งในการก่อตั้งชมรมต้มยำกุ้งขึ้นมาในช่วงแรกและได้รับการสนับสนุนจากคีย์แมนคนสำคัญของกลุ่มการเมืองในพื้นที่ด้วย
โดยข้อเท็จจริงคนไทยที่อยู่ในมาเลเซีย โดยยึดอาชีพขายต้มยำกุ้งนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีบางส่วนคือคนในขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้ง พูโล บีอาร์เอ็น มูจาฮีดิน และอื่นๆ ที่มีหมายจับของทางการไทย อีกทั้งที่ยังเป็นโจรและที่หมดสภาพโจร แต่กลับเมืองไทยไม่ได้ จึงยึดอาชีพขาย ต้มยำกุ้งอยู่ในมาเลเซีย แม้แต่นายสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตประธานขบวนการพูโลเอง ก่อนหน้าที่จะถูกสันติบาลมาเลเซียจับตัวส่งให้ทางการไทย ก็เปิดร้านขายต้มยำอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์มาแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้หน่วยข่าวความมั่นคงชายแดนไทย-มาเลเซีย ยังได้รับรายงานอีกว่า บุคคลสำคัญที่เป็นแกนนำในการเรียกเก็บเงินจากเจ้าของกิจการที่เป็นคนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไม่ว่าจะอยู่ในชมรมต้มยำกุ้งหรือไม่ รวมทั้งกิจการอื่นๆ ด้วย คือ นายมะลาเซ็ง ลูกสิงห์โต แกนนำคนสำคัญของขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นหลานชายนายเปาะมะ สุไหงบาตู อดีตหัวหน้ากลุ่มบีอาร์เอ็นคองเกรส
สำหรับนายมะลาเซ็ง ลูกสิงห์โต ปัจจุบันคือแกนนำคนสำคัญของขบวนการบีอาร์เอ็นในมาเลเซียที่มีอิทธิพลสูง และเป็นบุคคล 2 สัญชาติโดยมีกิจการต้มยำกุ้ง 2 แห่งคือ ในเมืองหลวงกรุงกัวลาลัมเปอร์ และที่เมืองยะโฮร์บารู อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าทีมเรียกค่าคุ้มครองจากคนในชายแดนใต้ของไทย โดยเงินเหล่านั้นถูกส่งมาเพื่อการก่อการร้ายโดยเฉพาะ นอกจากนี้ หน่วยข่าวความมั่นคงในชายแดนใต้ยังเชื่อด้วยว่า นายมะลาเซ็ง ลูกสิงโต อาจเป็นตัวเชื่อมอยู่กับสมาคมต้มยำกุ้งในมาเลเซีย รวมทั้งให้ที่พักพิงกลุ่มก่อความไม่สงบที่หลบหนีเข้าไปอยู่ในมาเลเซียด้วย
นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร เฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ จ.ปัตตานีอย่างเข้มงวดในวันนี้ (28 เม.ย.) ซึ่งเป็นวันครบรอบ 3 ปีของเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบที่มัสยิดกรือเซะ ต.ตันหยงลุโละ อ.เมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 28 เม.ย.47 ซึ่งครั้งนั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ศพ ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในจังหวัดงดจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งกิจกรรมด้านอื่นๆ ด้วย
พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี กล่าวว่า ในด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมแผนป้องกันการก่อเหตุร้ายไว้เป็นกรณีพิเศษทุกวันอยู่แล้ว และถึงแม้วันนี้จะเป็นวันครบรอบเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ทุกฝ่ายต่างก็พร้อมปฏิบัติงานรับมืออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่
ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช.กล่าวถึงกรณีที่มีการแจ้งเตือนอาจจะมีการก่อความรุนแรงในวันนี้ว่า ทุกคนต้องเข้าใจข้อมูลพื้นฐานเดิมของเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่งไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายของกระบวนการของตัวเองและขัดขืนคำสั่งนำคนออกมาปฏิบัติการ ทำให้เกิดความเสียหาย
"คิดว่าวันดังกล่าวไม่น่าจะใช่วันสำคัญของขบวนการ แต่เพื่อความไม่ประมาทผมได้กำชับให้หน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย และให้ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันได้แจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น"
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การที่เลขาธิการองค์การการประชุมอิสลาม (โอไอซี) จะเดินทางเยือนประเทศไทยและเข้าพบนายกรัฐมนตรีวันจันทร์หน้า รัฐบาลไม่มีข้อมูลรายงานเพิ่มเติม แต่หากเลขาธิการโอไอซี จะลงไปดูในพื้นที่ รัฐบาลก็พร้อมอำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์โดยภาพรวม อย่างไรก็ตาม เลขาธิการโอไอซี เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้อย่างสันติวิธีของรัฐบาลไทย
บ่ายวันเดียวกัน พ.ต.ท.อำนรรฆ ไตรกิตยานุกูล สว.ด่านตรวจคนเข้าเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา ได้รับการประสานจากนายริส ฮาซาน หัวหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียว่า จะผลักดันคนไทยที่ถูกจับกุมในรัฐสลังงอ และ อ.กริ๊ก รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย 71 คนกลับไทย จึงพร้อมด้วยนายนพดล สองเมือง นายอำเภอเบตง, พ.ต.อ.ทรงเกียรติ วาทะกุล ผกก.สภ.อ.เบตง และ ร.อ.ต่อพงษ์ มาตาพิทักษ์ ผบ.ร้อย ฉก.1321 ไปรอรับและตรวจสอบที่บริเวณด่าน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ทางมาเลเซียได้ผลักดันแรงงานไทยกลับประเทศมาแล้วครั้งหนึ่งจำนวน 89 คน
โดยคนไทย 71 คนที่ถูกผลักดันกลับครั้งนี้ได้ถูกเจ้าหน้าที่แรงงานของประเทศมาเลเซียจับกุมในข้อหาประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาตในพื้นที่ อ.บาลิ่งและ อ.อีโปร์ รัฐเปรัค รัฐสลางอ และ อ.สุไหงปัตตานี ในประเทศมาเลเซีย โดยกลุ่มคนไทยดังกล่าวได้เข้าไปประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างในร้านต้มยำกุ้งที่มีเจ้าของร้านเป็นคนไทยเช่นกัน
ทั้งนี้ กลุ่มคนไทยดังกล่าวได้ทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวหรือบอร์เดอร์พาสเพียงเท่านั้น ซึ่งตามกฎหมายของมาเลเซียคนไทยที่เข้าไปทำงานจะต้องมีหนังสือเวิร์คเปอร์มิท หรือใบอนุญาตในการทำงานเท่านั้น จึงทำให้ทางการมาเลเซียได้ถูกจับกุมและได้ยกเว้นการดำเนินคดีในประเทศ แต่ใช้วิธีผลักดันกลับประเทศไทยแทน อย่างไรก็ตาม การผลักดันกลุ่มคนไทยในครั้งนี้มีคนไทยบางคนติดเชื้อไข้มาเลเรียมาด้วย ซึ่งการเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอเบตง ได้มีการตรวจเชื้ออย่างละเอียดก่อนที่จะมีการส่งกลับภูมิลำเนาเดิม ส่วนใหญ่เดินทางมาจาก จ.ปัตตานี นราธิวาส และยะลา
มีรายงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคงในชายแดนใต้ เปิดเผยว่า การผลักดันคนไทยกลับประเทศของเจ้าหน้าที่ทางการมาเลเซียครั้งนี้ กลุ่มที่ถูกผลักดันดังกล่าวรวมถึงครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบไม่พบเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงต้องการตัว
แต่ในการผลักดันในห้วงเวลานี้ทางเจ้าหน้าที่เกรงว่าจะมีสมาชิกของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ไม่มีหมายจับ หรือไม่ได้อยู่ในสารระบบ ได้แอบแฝงเข้ามาด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้หน่วยข่าวได้รับรายงานว่า คนมุสลิมที่ข้ามไปอยู่ในประเทศมาเลเซียส่วนหนึ่งได้รับความช่วยเหลือจากขบวนการพูโล เพื่อให้สามารถอยู่และประกอบอาชีพได้โดยไม่ถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของมาเลเซีย
"เพราะส่วนใหญ่คนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีเวิร์คเปอร์มิท หรือใบอนุญาตในการทำงาน ดังนั้น จึงต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้กับขบวนการพูโลและมีบัตรสมาชิกขบวนการพูโลทุกคน" รายงานข่าวระบุ และว่า
ขณะนี้คนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เดินทางไปประกอบอาชีพในมาเลเซียได้มีจำนวนมากขึ้นและมีร้านอาหารประเภทต้มยำกุ้งมากถึงประมาณ 5.000 แห่งกระจายไปทั่วทั้ง 13 รัฐ และเจ้าของร้านและพนักงานที่เป็นคนไทยรวมกันไม่ต่ำกว่า 200.000 คน ซึ่งคนไทยเหล่านี้ได้รวมตัวตั้งเป็นชมรมขึ้นโดยใช้ชื่อว่า "ชมรมต้มยำกุ้ง" อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2544 ก่อนที่จะกลายเป็นสมาคมต้มยำกุ้งอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน
รายงานข่าวดังกล่าวยังระบุว่า การรวมตัวกันของเครือข่ายต้มยำกุ้งของคนไทยในมาเลเซียนั้นมีอดีตแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ซึ่งมีชื่อจัดตั้งว่า "สุเบ" เป็นชาว ต.บาลอ อ.รามัน จ.ยะลา เป็นผู้นำ และมีกรรมการรับผิดชอบยังรัฐต่างๆ เพื่อดูแลสมาชิกโดยมีการเก็บเงินเข้าชมรมเป็นรายเดือนละประมาณ 1.000 บาท/คน
สำหรับเงินที่สมาชิกจ่ายให้กับสมาคมต้มยำกุ้งนั้น ส่วนหนึ่งคือค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของมาเลเซีย เพื่อซื้อความสะดวกมิให้มีการตรวจค้นหรือจับกุมแรงงานไทย ส่วนหนึ่งให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการร้านอาหารและตามรายงานด้านการข่าวของกองบัญชาการตำรวจสันติบาลและศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ฝ่ายไทยระบุว่าเงินทุนจำนวนนี้ยังถูกส่งมาสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนชายแดนใต้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหานี้ได้รับการปฏิเสธจากสมาคมต้มยำกุ้งของคนไทยในมาเลเซียมาโดยตลอดว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยแต่อย่างใด
อีกเหตุผลหนึ่งที่สมาคมต้มยำกุ้งของคนไทยในมาเลเซียสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เพราะคนในสมาคมมีความใกล้ชิดกับอดีตผู้บริหารมาเลเซีย โดยเป็นฐานทางการเมืองในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคหนึ่ง รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทั้งในการก่อตั้งชมรมต้มยำกุ้งขึ้นมาในช่วงแรกและได้รับการสนับสนุนจากคีย์แมนคนสำคัญของกลุ่มการเมืองในพื้นที่ด้วย
โดยข้อเท็จจริงคนไทยที่อยู่ในมาเลเซีย โดยยึดอาชีพขายต้มยำกุ้งนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีบางส่วนคือคนในขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้ง พูโล บีอาร์เอ็น มูจาฮีดิน และอื่นๆ ที่มีหมายจับของทางการไทย อีกทั้งที่ยังเป็นโจรและที่หมดสภาพโจร แต่กลับเมืองไทยไม่ได้ จึงยึดอาชีพขาย ต้มยำกุ้งอยู่ในมาเลเซีย แม้แต่นายสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตประธานขบวนการพูโลเอง ก่อนหน้าที่จะถูกสันติบาลมาเลเซียจับตัวส่งให้ทางการไทย ก็เปิดร้านขายต้มยำอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์มาแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้หน่วยข่าวความมั่นคงชายแดนไทย-มาเลเซีย ยังได้รับรายงานอีกว่า บุคคลสำคัญที่เป็นแกนนำในการเรียกเก็บเงินจากเจ้าของกิจการที่เป็นคนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไม่ว่าจะอยู่ในชมรมต้มยำกุ้งหรือไม่ รวมทั้งกิจการอื่นๆ ด้วย คือ นายมะลาเซ็ง ลูกสิงห์โต แกนนำคนสำคัญของขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นหลานชายนายเปาะมะ สุไหงบาตู อดีตหัวหน้ากลุ่มบีอาร์เอ็นคองเกรส
สำหรับนายมะลาเซ็ง ลูกสิงห์โต ปัจจุบันคือแกนนำคนสำคัญของขบวนการบีอาร์เอ็นในมาเลเซียที่มีอิทธิพลสูง และเป็นบุคคล 2 สัญชาติโดยมีกิจการต้มยำกุ้ง 2 แห่งคือ ในเมืองหลวงกรุงกัวลาลัมเปอร์ และที่เมืองยะโฮร์บารู อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าทีมเรียกค่าคุ้มครองจากคนในชายแดนใต้ของไทย โดยเงินเหล่านั้นถูกส่งมาเพื่อการก่อการร้ายโดยเฉพาะ นอกจากนี้ หน่วยข่าวความมั่นคงในชายแดนใต้ยังเชื่อด้วยว่า นายมะลาเซ็ง ลูกสิงโต อาจเป็นตัวเชื่อมอยู่กับสมาคมต้มยำกุ้งในมาเลเซีย รวมทั้งให้ที่พักพิงกลุ่มก่อความไม่สงบที่หลบหนีเข้าไปอยู่ในมาเลเซียด้วย