xs
xsm
sm
md
lg

สังคมที่ไร้แก่นสารสาระ

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต


สังคมที่ดีตามอุดมคติของนักคิดคือสังคมที่คนมีความสมบูรณ์ทั้งในทางวัตถุและจิตใจ มีความสุข มีสิทธิเสรีภาพ มีเกียรติและศักดิ์ศรี มีระบบการเมืองการปกครองบริหารที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความยุติธรรม สมาชิกในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สมัครสมานสามัคคี มีระบบสวัสดิการ ดูแลเด็กและคนชรา มีความเอื้ออารีย์และเอื้ออาทรต่อกัน ฯลฯ แต่มีอยู่หลายสังคมในโลกนี้ที่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่สังคมที่ดีดังที่กล่าวมาแล้ว และในความเป็นจริงก็ไม่มีสังคมใดที่จะมีความสมบูรณ์ในทุกด้านตามอุดมคติ

อย่างไรก็ตามก็มีความแตกต่างระหว่างสังคม สังคมที่ด้อยพัฒนาที่ไม่สามารถจะพัฒนาตนเองโดยตามไม่ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก อาจอยู่ในสภาพของการล้าหลังในทุกๆ ด้าน สมาชิกของสังคมหลงทาง ขาดคุณภาพ ขาดความรู้และภูมิปัญญา ที่สำคัญมีค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรมที่แสดงถึงความด้อยพัฒนา กลายเป็นสังคมที่ขาดแก่นสารสาระ สังคมที่ขาดแก่นสารสาระจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ

1. คนในสังคมส่วนใหญ่ไม่มีระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อส่วนรวม ไม่ตรงต่อเวลา ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน

2. ขาดจิตสำนึกในการทำหน้าที่ของสมาชิกครอบครัว และในฐานะเป็นประชาชนที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ

3. ไม่คำนึงถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ยอมขายตัว ขายจิตวิญญาณ เพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น ยอมละเมิดศีลธรรมและกฎหมาย ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซื้อปริญญา ซื้อตำแหน่ง เพื่อจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ที่จอมปลอม

4. รักสนุกจนเกินเลย มีแต่การหาความสนุกสนานสำราญใจ ไม่ทำหน้าที่ในการประกอบอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนที่ต้องอาศัยรายได้จากบิดามารดา เพื่อความสนุกสนาน ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้แก่นสารและสาระ

5. มุ่งเน้นบูชาเงินตราเป็นหลัก นิยมการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ให้ความสำคัญกับวัตถุจนมองข้ามคุณความดี ความซื่อสัตย์สุจริต นำไปสู่วัตถุนิยม บริโภคนิยม และเงินตรานิยม

6. ไม่จริงจังกับการศึกษาเล่าเรียนเพื่ออนาคตหรือในการประกอบอาชีพ งานที่ได้รับมอบหมายก็กระทำอย่างเล่นๆ ไม่เกาะติดหรือทำด้วยจิตสำนึกหรือความรับผิดชอบ ทำแบบขอไปทีปัดให้พ้นๆ ตัว

7. มีความเชื่อที่งมงาย เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ สับสนในตรรกของเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ ปนเปกันระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์และอำนาจเร้นลับที่ตนมีศรัทธา จนบางครั้งขัดกับคำสอนของศาสนาที่ตนเชื่อถือ

8. มีแนวโน้มที่จะประจบสอพลอ ยกยอปอปั้นเพื่อผลประโยชน์โดยไม่มีความจริงใจ พูดจาเกินเลย ขาดน้ำหนักและความน่าเชื่อถือ

9. ขาดความอดทนอดกลั้น ไม่ขยันหมั่นเพียร ทิ้งงานกลางคัน ไม่ขวนขวายหาความรู้และการปรับปรุงตนเอง

10. มีอาตมันทางการเมืองในลักษณะของผู้ยอมศิโรราบ มีจิตใจที่เป็นทาส ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์

11. มองประเด็นปัญหาต่างๆ ในชีวิตแบบตื้นเขินและผิวเผิน ใช้ตรรกชั้นเดียวแบบง่ายๆ เช่น ซื้อทุกอย่างด้วยเงิน เสนอทุกอย่างด้วยเงิน โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกในเกียรติยศและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ทึกทักและสันนิษฐานล่วงหน้าโดยใช้มาตรฐานของตนเองเป็นหลัก

12. ไม่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ขาดความอิสระทางความคิด คอยรับฟังแต่คำสั่ง ทำตามนิสัยที่เคยชินกับประเพณีโดยไม่พินิจพิเคราะห์ถึงความถูกต้องเหมาะสม

13. ขาดวุฒิภาวะ มีลักษณะเป็นเด็ก มีแนวโน้มที่จะตีโพยตีพายพาลเกเร ใช้อารมณ์เป็นหลัก มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วและรุนแรง คุมสติอารมณ์ไม่ได้

14. ไม่มีหลักการในการชี้นำในการตัดสินใจ มีแนวโน้มที่จะกล่าวว่า “ผู้ใหญ่สั่งมา”

15. ไม่สามารถวิเคราะห์ดักปัญหาล่วงหน้า ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง สร้างความเสียหายต่อตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากระทำด้วยความเห็นแก่ตัว เช่น การทิ้งสารเคมีลงในแม่น้ำลำคลอง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและตนเองในที่สุด

16. มีแนวโน้มที่จะเอาแต่ได้ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่คำนึงถึงกฎหมาย ประเพณีและความยุติธรรม รังแกคนที่อ่อนแอกว่า

17. มีปัจเจกภาพที่เกินเลยจนไม่มีคนอื่นในสายตา เอาผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ยึดถือความอิสระจนมองข้ามความรับผิดชอบต่อสังคม ครอบครัวและประเทศชาติ

18. ไม่มีจิตสำนึกในเรื่องความถูกผิด (sense of guilt) สามารถที่จะหาประโยชน์ได้บนความเดือดร้อนของคนอื่น เช่น เอาน้ำกรดมาทำน้ำส้มสายชู ขายยาปลอม

19. มีนิสัยกะล่อน ตีความตะแบงกฎหมายแบบศรีธนญชัย ไม่คำนึงถึงศีลธรรมและจริยธรรมและหลักนิติธรรม สร้างความหายนะต่อองค์กรและสังคมโดยไม่รู้สึกผิด

20. ขาดความเคารพตนเอง ขาดความเชื่อมั่น จึงมีแนวโน้มที่จะไม่ให้เกียรติและเคารพผู้อื่น พูดจาสามหาวแบบนักเลงหัวไม้

21. ขาดสมบัติผู้ดีทั้งในการวางตัวในสังคมและในกระบวนการ ในวงวิชาชีพของตน เอาชนะคะคานฝ่ายตรงกันข้ามโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม จริยธรรมและความยุติธรรม

22. มีจริยธรรมแบบสถานการณ์ (situational ethic) หมายถึงการเปลี่ยนมาตรฐานศีลธรรมได้ตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน จนไม่มีจุดยืนที่แน่นอน

23. ขาดตรรกและวิธีคิดที่เป็นเหตุเป็นผลในแบบวิทยาศาสตร์ มีแนวโน้มที่จะมีข้อสรุปที่ไม่มีฐานของเหตุและผล

24. ไม่นิยมการขวนขวายหาความรู้ จึงกลายเป็นสังคมที่ขาดความรู้และภูมิปัญญา กลืนข้อมูลโดยไม่มีการเคี้ยวและย่อย จึงถูกปลุกเป็นกระแสได้โดยง่าย

25. ไม่เคร่งครัดในศาสนา นิยมการประกอบพิธีกรรมมากกว่าการศึกษาปรัชญา มีแบบกระสวนพฤติกรรมตามประเพณีโดยไม่เข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง และมีแนวโน้มไปทางไสยศาสตร์มากกว่าปรัชญาศาสนาเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาล

นอกจาก 25 ข้อดังกล่าวยังมีลักษณะอื่นๆ อีกที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่สภาวะดังกล่าวนั้นจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อคนในสังคมเริ่มมีอารมณ์รุนแรง ขับรถโดยไม่ระมัดระวัง มีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงทำร้ายกัน ฆ่าเด็กทารก ข่มขืนกระทำชำเราและฆ่า ฆ่ากันทั้งครอบครัว หลงงมงายในอำนาจเหนือธรรมชาติ ฯลฯ สภาพนั้นคือสภาพของ สังคมป่วย ในทางเศรษฐกิจการติดหนี้สินพะรุงพะรังของคนทุกระดับ ทำให้เกิดเป็นความทุกข์และเสี่ยงต่อการล่มสลายของเศรษฐกิจและธุรกิจได้ การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงฐานะ การลงทุนที่เกินเลย ฯลฯ จะทำให้เกิด เศรษฐกิจเปลี้ย ในทางการเมืองถ้าไม่สามารถตกลงกฎกติกาได้ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในอนาคต มีความหวาดวิตกที่จะเกิดความรุนแรงที่บานปลาย แผ่นดินลุกเป็นไฟ สภาพการเมืองเช่นนี้เป็นสภาพของ การเมืองป่วน องค์กรปกครองบริหารได้แก่ ข้าราชการ ถ้าล้าหลังตามไม่ทันเหตุการณ์ ถูกการเมืองครอบงำจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ปกป้องตนเองด้วยการทำงานอย่างเฉื่อยชา ไม่ให้ข่าวสารข้อมูลตามหน้าที่และตามตัวบทกฎหมาย ทำให้การบริหารงานของระบบราชการเกิดความชะงักงัน ราชการแปรปรวน จึงเป็นดัชนีชี้ที่ไม่ดีของความเสื่อมทางการปกครองบริหาร และที่สำคัญที่สุดเมื่อคนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ปัญญาชน ฯลฯ ถ้าหากเกิดความสับสนในการใช้ความรู้ และการแก้ไขปัญหาและการบริหารประเทศ ถูกครอบงำโดยโมหจริตและอวิชชา หรือวิตกจริต ก็จะมีสภาพของ ปัญญาวิปริต เกิดขึ้น

สังคมใดก็ตามที่มีความอ่อนแอ 25 ข้อจนนำไปสู่ความเสื่อม 5 ประการ อันได้แก่ สังคมป่วย เศรษฐกิจเปลี้ย การเมืองป่วน ราชการแปรปรวน ปัญญาวิปริต กำลังเป็นสังคมที่อยู่ในภยันตราย อาจจะวิวัฒนาการไปสู่วิกฤต กลียุค และมิคสัญญีได้ จำเป็นต้องมีความตื่นตัวโดยประชาชนและกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้นำ ร่วมกันแก้วิกฤตดังกล่าวเพื่อมิให้ขยายตัวต่อไป ด้วยการ “กู้ชาติ กู้จิตวิญญาณ สมานฉันท์ประชาชาติไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น