.
ปัญหาสังคมนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะ “ปัญหาสภาพจิตใจคน!” ที่จะมีพฤติการณ์ พฤติกรรมโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดจากธรรมชาติของผู้กระทำผิดเองหรือไม่ก็เกิดจากสภาวะกดดันจากสังคม
ในอดีตจะมีแต่ “ปัญหาจิตใจ” ที่เรียกว่า “โรคจิต” ก็ย่อมได้ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง แต่จากสภาวะโลกปัจจุบัน “โรคจิต” มิได้เกิดจากสภาวะธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากสังคมก่อให้เกิดขึ้นเอง อย่างกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกา เมื่อสัปดาห์ก่อน
ข่าวคราวของการฆาตกรรมหมู่ ที่สร้างความตื่นตระหนกตกอกตกใจอย่างมาก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่นักศึกษาชาวเกาหลีใต้ นายโซ ซึง ฮุย วัย 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวรรณคดีอังกฤษ หรือเรียกว่า “English Literature” มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ เวอร์จิเนีย (Virginia Technology Institute and University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกาทีเดียว “แสงแดด” เองยังเคยขับรถผ่านสถาบันการศึกษาแห่งนี้เลย แต่หลายสิบปีก่อน ช่วงตระเวนศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่อเมริกา
“ฆาตกรรมโหด-ฆาตกรรมหมู่” ในครั้งนี้ เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก มีการนำเสนอข่าวแทบจะทุกสถานี และทุกๆ ต้นชั่วโมงเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ของวันที่ 16 เมษายน เรื่อยมา แต่มาอึกทึกครึกโครมอย่างมากก็วันอังคารที่ 17 เมษายน และยิ่งดังมากขึ้น พร้อมการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาหลังจาก “เทป (Tape)” ของนายโซ ซึง ฮุย ถูกเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ NBC ที่นายโซ ซึง ฮุย ส่งทางไปรษณีย์ก่อนไป “ลุย!” ต่ออีก 30 ราย และปลิดชีพตนเองหลังจากนั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ มิใช่ไม่เคยเกิดที่สหรัฐอเมริกา ว่าไปแล้วเกิดหลายครั้งมาแล้ว และมักเกิดขึ้นกับกลุ่มวัยรุ่น ตั้งแต่นักเรียนชั้นประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา แต่ระดับมหาวิทยาลัยนั้น น่าจะเกิดน้อยครั้ง แต่เหตุการณ์สลดใจครั้งนี้ “รุนแรง-หนักที่สุด” ในประวัติการณ์ “การฆาตกรรมหมู่” ของประเทศสหรัฐอเมริกาทีเดียว
พอผมได้ยินข่าวครั้งแรก สารภาพว่า “สับสน-งง” พอสมควรเพราะจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้ พอมาทราบว่าเป็น “นักศึกษาชาวเอเชีย” ความคิดค่อยๆ พรั่งพรูออกมาว่า ต้องเป็นสาเหตุสำคัญของ “ความกดดัน” ทาง “ความรู้สึก-อารมณ์” ของนักศึกษาผู้ก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ จนเลยเถิดคิดไปว่าต้องเป็นกรณีพฤติกรรม “ความเก็บกด!” ที่ฝังลึกมานาน จนสามารถ “ระเบิด!” ได้ในที่สุด
ทั้งหลายทั้งปวง ขออนุญาตฟันธงเลยว่า “ก้นบึ้ง-ต้นตอ” ของเหตุการณ์ครั้งนี้ หลังจากการพิจารณาทบทวนอยู่ซักพัก จึงตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า เกิดจาก “การเหยียดผิว” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Racism!”
“การเหยียดผิว-Racism” นี้เป็นปัญหาสังคมของประเทศสหรัฐฯ มายาวนานแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ยุคยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่เลย และถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “ปัญหาเหยียดผิว” นี้มิใช่เกิดแต่เฉพาะสังคมอเมริกันเท่านั้น “สังคมฝรั่ง-สังคมตะวันตก” หรือ “Western World” เป็นเช่นนี้หมด
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า สังคมใด ประเทศใด ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็น “ผิวขาว” หรือ “White Caucasians” ซึ่งมักเป็นสังคมตะวันตก จะเกิดปรากฏการณ์เหยียดผิว (Racism) ทุกประเทศ โดยเฉพาะทวีปอเมริกาตอนเหนือ และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันตก
ประเทศตะวันตกที่มี “ชนผิวขาว” เป็นส่วนใหญ่ มักจะเจอปัญหาเหยียดผิว ซึ่งมิใช่เกิดแก่ชาวเอเชีย “กะเหรี่ยง” อย่างเราเท่านั้น “กลุ่มประชาชนผิวดำ” หรือ “Black People” จะโดนเหยียดผิวมากที่สุด ทั้งนี้ ผิวเหลืองอย่างชาวเอเชีย หรือพวกอินเดียนแดง ชาวเอเชีย ชาวเม็กซิกัน แม้กระทั่งชาวอเมริกาใต้ ก็โดนเหยียดผิวเช่นเดียวกัน!
กรณีเหตุการณ์ ของนาย โซ ซึง ฮุย นี้ ขอฟันธงเลยว่า เกิดจากความรู้สึกที่ฝังลึกมานานของนักศึกษาคนนี้ ที่ถูก “กดดัน-เก็บกด” มายาวนานหลายปี จนในที่สุดก็ระเบิดออกมา
จากคำกล่าวของเขาในเทปที่อัดเอง เผยแพร่เองนั้น ระบุชัดเจนว่า “เกลียดคนรวย-เกลียดผู้หญิง” จนเลยเถิดไปถึง “แนวคิดการปลดปล่อย” มีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ด้วยการหยิบยก “พระเยซู” และ “โมเซทส์”
เพื่อนระดับมัธยมของนายโซ ซึง ฮุย เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังหลังเหตุการณ์ว่า เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมฯ นั้น ครูได้เรียกนายโซ ซึง ฮุย ขึ้นมาพูดหน้าชั้นเรียน ทำนองกล่าวสุนทรพจน์หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีใดกรณีหนึ่งทำนองนั้น เขาจะถูกเพื่อนๆ ฝรั่งในชั้นเรียน “โห่!” พร้อมตะโกนไล่ว่า “เฮ้! ยูกลับไปไชน่า-กลับไปคอร์เรียเถอะ!” หรือ “Hey! Man...go Back to Korea- go Back to China!” ซึ่งสร้างความขายหน้า และไม่สำคัญเท่ากับ “ความอับอาย” ที่ถูก “ดูถูกเหยียดหยาม” ขนาดนั้น
ปัญหา Racism นี้เป็น “ปัญหาโลกแตก” ที่เกิดขึ้นกับประเทศตะวันตกมาโดยตลอด ยิ่งไปอยู่ในดินแดนของ “ฝรั่งหลังเขา!” แล้วด้วย จะเจอหนักกับคำถามโง่ๆ อาทิ “บ้านยูมีรถยนต์มั้ย-บ้านยูมีโทรทัศน์มั้ย” ทั้งๆ ที่โลกปัจจุบันนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์แล้ว แต่ “ฝรั่งโง่-ฝรั่งดักดาน!” ยังมีอยู่เยอะมาก
กรณีเหตุการณ์สลดนี้ยังมีอีกมาก และที่สำคัญเราต้องตระหนักตลอดเวลาว่า “ปัญหาเหยียดผิว (Racism)” นี้ยังคงเกิดไปอีกนานและเหตุการณ์เช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก! ตราบใดที่ “การเหยียดผิว” ยังฝังจมลึกอยู่เป็น “วัฒนธรรม (Culture)” ในสังคมตะวันตก
“แสงแดด” เองนั้นเคยศึกษาเล่าเรียนอยู่สหรัฐอเมริกา ถึงประมาณ 10 ปีเต็มๆ โดยเฉพาะอยู่ทาง “มิดเวสท์ (Midewest)” หรือภาคกลางๆ ติดกับมลรัฐทางด้านตะวันออก ทั้งมลรัฐเทนเนสซี่ (Tennessee) ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ และมลรัฐโอไฮโอ (OHIO) ทางตอนเหนือ ซึ่งทั้งสองมลรัฐถือว่าเป็น “บ้านนอก” ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะเป็น “อเมริกันชน” จริงๆ ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจใน “สังคมโลก” และ “วัฒนธรรม” ของประเทศอื่นมากมายนัก
ท่านผู้อ่านจึงพอจะเข้าใจได้ว่า คนอเมริกันที่พักอาศัยอยู่แถบนี้จะคิดอย่างไร เกี่ยวกับชาวต่างชาติที่มิใช่ “ฝรั่ง!” เรียกว่าบางเมือง บางแห่งที่ “แสงแดด” เดินซื้ออาหาร เด็กๆ จะหันมามอง “กะเหรี่ยง” อย่างเราแบบ “ตาค้าง” เหมือนเห็น “มนุษย์นอกโลก-ดาวอังคาร” อะไรทำนองนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งเมืองใหญ่ อย่างเช่น ชิคาโก ลอสแองเจลิส นิวยอร์ก กรุงวอชิงตัน ดี. ซี. ซึ่งประชาชนเขาจะหูตากว้างไกลและยอมรับ วัฒนธรรมอื่นๆ ได้ ก็ยัง “คิดต่าง-คิดแปลก” เกี่ยวกับชาวเอเชียเลยที่ยังไงๆ ขอย้ำว่าเป็น “ประชาชนชั้นสอง” หรือ “Second-Class Citizen”
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ใจกลางประเทศสหรัฐฯ หรืออยู่ตามเมืองใหญ่ๆ “ชาวต่างชาติ-ชาวเอเชีย” ที่มีสีผิว นัยย์ตาหยี ก็จะถูกปฏิบัติแตกต่างไปจาก “ชาวผิวขาว!” ซึ่งปัญหา “เหยียดผิว นี้เป็น “ปัญหาโลกแตก” ดั่งที่กล่าวไว้แล้ว แม้กระทั่งชาวอินเดียและชาวผิวดำก็จะถูกปฏิบัติแบบนี้ไม่แตกต่างกัน
แม้แต่ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีประเทศเมืองขึ้นเป็นอาณานิคมอยู่ทั้งโลก บ่อยครั้งที่ฝรั่งผิวขาว “ดูถูก-ดูหมิ่น-ดูแคลน” จนถึงขั้น “เหยียดหยาม” คนเอเชียอย่างพวกเรา ไม่ว่าพวกเราจะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงเขาอย่างไร ก็จะเกิดเหตุการณ์ “Racism” ทุกครั้ง
“แสงแดด” เองเดินทางไปมาทั่วโลก ทุกครั้งเวลาเดินทางไปสหรัฐฯ หรือทวีปยุโรปทีไร จะนึกหวาดๆ อยู่ในใจตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิบัติผิดแปลกไปจากฝรั่งผิวขาว
ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จึงพอจะเข้าใจได้ว่า “ความเก็บกด-กดดัน” จะเกิดขึ้นแบบสะสมกับนายโซ ซึง ฮุย มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แถมครอบครัวยากจนอีกต่างหาก กอปรกับ ถูกทั้งอาจารย์และเพื่อนนักศึกษา “เหยียด!” เหตุการณ์น่าสลดใจจึงเกิดขึ้น!
เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านที่จะส่งบุตรหลานไปศึกษาเล่าเรียนยังต่างประเทศ ซึ่งนิยมไปทางประเทศฝรั่ง ก็ต้อง “เตรียมตัว-เตรียมใจ” ว่าจะต้องประสบพบเจอกับ “ปัญหาเหยียดผิว (Racism)” อย่างแน่นอน
ว่าไปแล้ว เพื่อความเป็นธรรม ฝรั่งทั่วไปก็มีดีอยู่บ้าง แต่ก็มีบางส่วนที่จะแสดงอาการท่าทีชัดเจนจนน่าเกลียด และขอตอกย้ำว่า “ฝรั่งดักดาน!” หรือ “Ignorant!” เยอะมาก ทั้งๆ ที่อย่างกรุงลอนดอน มหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองระดับนานาชาติ ที่ผสมผสานกันมาก ฝรั่งยังดูถูกดูแคลนชนชาติที่ไม่ใช่ผิวขาวเลย!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกจะ “โลกาภิวัตน์” อย่างไร ฝรั่งมันก็คิดว่า “มันวิเศษกว่าใครเพื่อน!”
ปัญหาสังคมนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะ “ปัญหาสภาพจิตใจคน!” ที่จะมีพฤติการณ์ พฤติกรรมโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดจากธรรมชาติของผู้กระทำผิดเองหรือไม่ก็เกิดจากสภาวะกดดันจากสังคม
ในอดีตจะมีแต่ “ปัญหาจิตใจ” ที่เรียกว่า “โรคจิต” ก็ย่อมได้ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง แต่จากสภาวะโลกปัจจุบัน “โรคจิต” มิได้เกิดจากสภาวะธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากสังคมก่อให้เกิดขึ้นเอง อย่างกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกา เมื่อสัปดาห์ก่อน
ข่าวคราวของการฆาตกรรมหมู่ ที่สร้างความตื่นตระหนกตกอกตกใจอย่างมาก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่นักศึกษาชาวเกาหลีใต้ นายโซ ซึง ฮุย วัย 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวรรณคดีอังกฤษ หรือเรียกว่า “English Literature” มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ เวอร์จิเนีย (Virginia Technology Institute and University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกาทีเดียว “แสงแดด” เองยังเคยขับรถผ่านสถาบันการศึกษาแห่งนี้เลย แต่หลายสิบปีก่อน ช่วงตระเวนศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่อเมริกา
“ฆาตกรรมโหด-ฆาตกรรมหมู่” ในครั้งนี้ เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก มีการนำเสนอข่าวแทบจะทุกสถานี และทุกๆ ต้นชั่วโมงเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ของวันที่ 16 เมษายน เรื่อยมา แต่มาอึกทึกครึกโครมอย่างมากก็วันอังคารที่ 17 เมษายน และยิ่งดังมากขึ้น พร้อมการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาหลังจาก “เทป (Tape)” ของนายโซ ซึง ฮุย ถูกเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ NBC ที่นายโซ ซึง ฮุย ส่งทางไปรษณีย์ก่อนไป “ลุย!” ต่ออีก 30 ราย และปลิดชีพตนเองหลังจากนั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ มิใช่ไม่เคยเกิดที่สหรัฐอเมริกา ว่าไปแล้วเกิดหลายครั้งมาแล้ว และมักเกิดขึ้นกับกลุ่มวัยรุ่น ตั้งแต่นักเรียนชั้นประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา แต่ระดับมหาวิทยาลัยนั้น น่าจะเกิดน้อยครั้ง แต่เหตุการณ์สลดใจครั้งนี้ “รุนแรง-หนักที่สุด” ในประวัติการณ์ “การฆาตกรรมหมู่” ของประเทศสหรัฐอเมริกาทีเดียว
พอผมได้ยินข่าวครั้งแรก สารภาพว่า “สับสน-งง” พอสมควรเพราะจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้ พอมาทราบว่าเป็น “นักศึกษาชาวเอเชีย” ความคิดค่อยๆ พรั่งพรูออกมาว่า ต้องเป็นสาเหตุสำคัญของ “ความกดดัน” ทาง “ความรู้สึก-อารมณ์” ของนักศึกษาผู้ก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ จนเลยเถิดคิดไปว่าต้องเป็นกรณีพฤติกรรม “ความเก็บกด!” ที่ฝังลึกมานาน จนสามารถ “ระเบิด!” ได้ในที่สุด
ทั้งหลายทั้งปวง ขออนุญาตฟันธงเลยว่า “ก้นบึ้ง-ต้นตอ” ของเหตุการณ์ครั้งนี้ หลังจากการพิจารณาทบทวนอยู่ซักพัก จึงตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า เกิดจาก “การเหยียดผิว” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Racism!”
“การเหยียดผิว-Racism” นี้เป็นปัญหาสังคมของประเทศสหรัฐฯ มายาวนานแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ยุคยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่เลย และถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “ปัญหาเหยียดผิว” นี้มิใช่เกิดแต่เฉพาะสังคมอเมริกันเท่านั้น “สังคมฝรั่ง-สังคมตะวันตก” หรือ “Western World” เป็นเช่นนี้หมด
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า สังคมใด ประเทศใด ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็น “ผิวขาว” หรือ “White Caucasians” ซึ่งมักเป็นสังคมตะวันตก จะเกิดปรากฏการณ์เหยียดผิว (Racism) ทุกประเทศ โดยเฉพาะทวีปอเมริกาตอนเหนือ และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันตก
ประเทศตะวันตกที่มี “ชนผิวขาว” เป็นส่วนใหญ่ มักจะเจอปัญหาเหยียดผิว ซึ่งมิใช่เกิดแก่ชาวเอเชีย “กะเหรี่ยง” อย่างเราเท่านั้น “กลุ่มประชาชนผิวดำ” หรือ “Black People” จะโดนเหยียดผิวมากที่สุด ทั้งนี้ ผิวเหลืองอย่างชาวเอเชีย หรือพวกอินเดียนแดง ชาวเอเชีย ชาวเม็กซิกัน แม้กระทั่งชาวอเมริกาใต้ ก็โดนเหยียดผิวเช่นเดียวกัน!
กรณีเหตุการณ์ ของนาย โซ ซึง ฮุย นี้ ขอฟันธงเลยว่า เกิดจากความรู้สึกที่ฝังลึกมานานของนักศึกษาคนนี้ ที่ถูก “กดดัน-เก็บกด” มายาวนานหลายปี จนในที่สุดก็ระเบิดออกมา
จากคำกล่าวของเขาในเทปที่อัดเอง เผยแพร่เองนั้น ระบุชัดเจนว่า “เกลียดคนรวย-เกลียดผู้หญิง” จนเลยเถิดไปถึง “แนวคิดการปลดปล่อย” มีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ด้วยการหยิบยก “พระเยซู” และ “โมเซทส์”
เพื่อนระดับมัธยมของนายโซ ซึง ฮุย เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังหลังเหตุการณ์ว่า เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมฯ นั้น ครูได้เรียกนายโซ ซึง ฮุย ขึ้นมาพูดหน้าชั้นเรียน ทำนองกล่าวสุนทรพจน์หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีใดกรณีหนึ่งทำนองนั้น เขาจะถูกเพื่อนๆ ฝรั่งในชั้นเรียน “โห่!” พร้อมตะโกนไล่ว่า “เฮ้! ยูกลับไปไชน่า-กลับไปคอร์เรียเถอะ!” หรือ “Hey! Man...go Back to Korea- go Back to China!” ซึ่งสร้างความขายหน้า และไม่สำคัญเท่ากับ “ความอับอาย” ที่ถูก “ดูถูกเหยียดหยาม” ขนาดนั้น
ปัญหา Racism นี้เป็น “ปัญหาโลกแตก” ที่เกิดขึ้นกับประเทศตะวันตกมาโดยตลอด ยิ่งไปอยู่ในดินแดนของ “ฝรั่งหลังเขา!” แล้วด้วย จะเจอหนักกับคำถามโง่ๆ อาทิ “บ้านยูมีรถยนต์มั้ย-บ้านยูมีโทรทัศน์มั้ย” ทั้งๆ ที่โลกปัจจุบันนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์แล้ว แต่ “ฝรั่งโง่-ฝรั่งดักดาน!” ยังมีอยู่เยอะมาก
กรณีเหตุการณ์สลดนี้ยังมีอีกมาก และที่สำคัญเราต้องตระหนักตลอดเวลาว่า “ปัญหาเหยียดผิว (Racism)” นี้ยังคงเกิดไปอีกนานและเหตุการณ์เช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก! ตราบใดที่ “การเหยียดผิว” ยังฝังจมลึกอยู่เป็น “วัฒนธรรม (Culture)” ในสังคมตะวันตก
“แสงแดด” เองนั้นเคยศึกษาเล่าเรียนอยู่สหรัฐอเมริกา ถึงประมาณ 10 ปีเต็มๆ โดยเฉพาะอยู่ทาง “มิดเวสท์ (Midewest)” หรือภาคกลางๆ ติดกับมลรัฐทางด้านตะวันออก ทั้งมลรัฐเทนเนสซี่ (Tennessee) ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ และมลรัฐโอไฮโอ (OHIO) ทางตอนเหนือ ซึ่งทั้งสองมลรัฐถือว่าเป็น “บ้านนอก” ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะเป็น “อเมริกันชน” จริงๆ ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจใน “สังคมโลก” และ “วัฒนธรรม” ของประเทศอื่นมากมายนัก
ท่านผู้อ่านจึงพอจะเข้าใจได้ว่า คนอเมริกันที่พักอาศัยอยู่แถบนี้จะคิดอย่างไร เกี่ยวกับชาวต่างชาติที่มิใช่ “ฝรั่ง!” เรียกว่าบางเมือง บางแห่งที่ “แสงแดด” เดินซื้ออาหาร เด็กๆ จะหันมามอง “กะเหรี่ยง” อย่างเราแบบ “ตาค้าง” เหมือนเห็น “มนุษย์นอกโลก-ดาวอังคาร” อะไรทำนองนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งเมืองใหญ่ อย่างเช่น ชิคาโก ลอสแองเจลิส นิวยอร์ก กรุงวอชิงตัน ดี. ซี. ซึ่งประชาชนเขาจะหูตากว้างไกลและยอมรับ วัฒนธรรมอื่นๆ ได้ ก็ยัง “คิดต่าง-คิดแปลก” เกี่ยวกับชาวเอเชียเลยที่ยังไงๆ ขอย้ำว่าเป็น “ประชาชนชั้นสอง” หรือ “Second-Class Citizen”
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ใจกลางประเทศสหรัฐฯ หรืออยู่ตามเมืองใหญ่ๆ “ชาวต่างชาติ-ชาวเอเชีย” ที่มีสีผิว นัยย์ตาหยี ก็จะถูกปฏิบัติแตกต่างไปจาก “ชาวผิวขาว!” ซึ่งปัญหา “เหยียดผิว นี้เป็น “ปัญหาโลกแตก” ดั่งที่กล่าวไว้แล้ว แม้กระทั่งชาวอินเดียและชาวผิวดำก็จะถูกปฏิบัติแบบนี้ไม่แตกต่างกัน
แม้แต่ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีประเทศเมืองขึ้นเป็นอาณานิคมอยู่ทั้งโลก บ่อยครั้งที่ฝรั่งผิวขาว “ดูถูก-ดูหมิ่น-ดูแคลน” จนถึงขั้น “เหยียดหยาม” คนเอเชียอย่างพวกเรา ไม่ว่าพวกเราจะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงเขาอย่างไร ก็จะเกิดเหตุการณ์ “Racism” ทุกครั้ง
“แสงแดด” เองเดินทางไปมาทั่วโลก ทุกครั้งเวลาเดินทางไปสหรัฐฯ หรือทวีปยุโรปทีไร จะนึกหวาดๆ อยู่ในใจตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิบัติผิดแปลกไปจากฝรั่งผิวขาว
ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จึงพอจะเข้าใจได้ว่า “ความเก็บกด-กดดัน” จะเกิดขึ้นแบบสะสมกับนายโซ ซึง ฮุย มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แถมครอบครัวยากจนอีกต่างหาก กอปรกับ ถูกทั้งอาจารย์และเพื่อนนักศึกษา “เหยียด!” เหตุการณ์น่าสลดใจจึงเกิดขึ้น!
เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านที่จะส่งบุตรหลานไปศึกษาเล่าเรียนยังต่างประเทศ ซึ่งนิยมไปทางประเทศฝรั่ง ก็ต้อง “เตรียมตัว-เตรียมใจ” ว่าจะต้องประสบพบเจอกับ “ปัญหาเหยียดผิว (Racism)” อย่างแน่นอน
ว่าไปแล้ว เพื่อความเป็นธรรม ฝรั่งทั่วไปก็มีดีอยู่บ้าง แต่ก็มีบางส่วนที่จะแสดงอาการท่าทีชัดเจนจนน่าเกลียด และขอตอกย้ำว่า “ฝรั่งดักดาน!” หรือ “Ignorant!” เยอะมาก ทั้งๆ ที่อย่างกรุงลอนดอน มหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองระดับนานาชาติ ที่ผสมผสานกันมาก ฝรั่งยังดูถูกดูแคลนชนชาติที่ไม่ใช่ผิวขาวเลย!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกจะ “โลกาภิวัตน์” อย่างไร ฝรั่งมันก็คิดว่า “มันวิเศษกว่าใครเพื่อน!”