รายงาน “ลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบ” เมื่อฉบับวันศุกร์ของสัปดาห์ที่แล้วในชื่อ ฮ.พระที่นั่ง SUPER PUMA กับเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” ทักษิณ นั้น, เป็นเพียงการบอกกล่าวให้เห็นถึง “ความไม่เหมาะสม” ที่ได้มีการปฏิบัติไปแล้ว มีผลเห็นกันอยู่ในการปฏิบัตินั้น ทั้งเรื่องการนำเฮลิคอปเตอร์แบบ “ฮ. 9” ไปใช้ในการเดินทาง และ “ฮ. 9” SUPER PUMA จำนวน 2 เครื่อง ที่อยู่ในสภาพใหม่ มีชั่วโมงบินไม่ถึง 50 ชั่วโมง ก็ถูกนำไปตีราคาแล้ว เพิ่มงบประมาณไปอีกก้อนหนึ่ง ก็ได้มา ซึ่งเครื่องบินแอร์บัส (AIRBUS 319) ติดตราเครื่องหมาย สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ตัวเครื่อง และตั้งชื่อว่า “ไทยคู่ฟ้า” จากชื่อตึกไทยคู่ฟ้า ที่นั่งทำงานของนายกรัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาล
รายงานนั้นเป็นการเสนอความเป็นมา และความเป็นจริงเท่าที่จะทำได้ในวันนี้ โดยไม่ให้มีผลกระทบกระเทือนไปสู่ส่วนอื่นๆ ซึ่งว่ากันแล้ว ผลกระทบนั้น มีอยู่มากมายรอบด้าน ทั้งกระทบมากน้อยหนักและเบา
อีกทั้งมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องบางอย่าง ที่อยู่ในเอกสาร “ลับมาก” ที่ชั้นความลับ และระยะเวลาที่จะคุ้มครองชั้นความลับนั้นยังมีอยู่ ผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิที่จะเห็นหรือรู้ได้
มีบางประเด็นที่พอจะได้...คือความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน มีการอ้างอิงเอกสารบางฉบับได้ ก็ต้องเป็นเดือนตุลาคม 2550 นี้ เมื่อระยะเวลาของชั้นความลับผ่านสิบปีไปแล้ว
แต่มีบางอย่างที่สามารถรายงานอย่าง “ข่าวสาร” หรือการรายงานประกอบการตั้งข้อสังเกตอันเป็นสิ่งที่สามารถเสาะหามาจากแหล่งข่าว/ข้อมูล โดยไม่เข้าถึงชั้นความลับ (ซึ่งเข้าถึงไม่ได้อยู่แล้ว) ก็พอจะนำมาเป็นรายงานในการทำหน้าที่เผยแพร่บอกเล่าข่าวสารตามหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ได้ในกรอบของจรรยาบรรณ
เช่นการตั้งข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับ ฮ. 9 ซูเปอร์ พูม่า ที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีหลายคนตั้งแต่ นายบรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายชวน หลีกภัย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีความเกี่ยวข้องกันในลักษณะต่างๆ กันไป แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ “ฮ.พระราชพาหนะสำรอง” ประสบอุบัติเหตุชนภูเขาที่บ้านไอกาเปาะ ตำบลภูเขาทอง อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส เมื่อเวลา 19.42 น. วันที่ 19 กันยายน 2540 มีผู้เสียชีวิตเป็นข้าราชบริพารผู้ตามเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นายทหารราชองครักษ์ และนักบินรวม 14 คน ซึ่งต่อมา, จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ ฮ. 9 ที่เหลืออยู่ 2 เครื่องถูกนำไปใช้ในภารกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วต่อมาก็ได้ถูกนำไปตีราคาเป็นมูลค่าตั้งต้น ในการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส 319 ให้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข้อสังเกต และข้อน่าตั้งประเด็นสงสัยนอกเหนือไปจากคำถามว่า-เป็นการปฏิบัติหรือการกระทำที่เหมาะสม หรือสมควรแล้วหรือ?
มีสิ่งที่ยืนยันได้ถึงการเป็น ฮ.พระราชพาหนะ และ ฮ.พระราชพาหนะสำรอง (ซึ่งถือว่าเป็นพระราชพาหนะเช่นกัน) คือความตามหนังสือ กนฝ. ยก. ทอ. (กองนโยบายและแผน กรมยุทธการทหารอากาศ) ที่ 128/40 หนังสือที่ กห 0605.2/1374 วันที่ 12 พฤษภาคม 2540 เรื่องการฝึก นบ.ฮ. 9 (SUPER PUMA ) เรียน ผบ.ทอ.
1. ตามที่ ทอ.จัดหา ฮ. 9 (SUPER PUMA ) จำนวน 3 เครื่อง เพื่อใช้เป็น ฮ.พระราชพาหนะ ฮ.พระราชพาหนะสำรอง และฮ.ติดตาม โดยรับมอบและบรรจุ ฮ. 9 จำนวน 2 เครื่อง เข้าประจำการที่ฝูง 202 ตั้งแต่ ม.ค. 40 นั้น
ยกมาเพียงหนึ่งข้อคือข้อ 1 ของหนังสือนี้ เป็นการยืนยันว่า กองทัพอากาศได้จัดหาเฮลิคอปเตอร์จำนวน 3 เครื่องเป็นแบบ SUPER PUMA รุ่น MK 2 เพื่อเป็น ฮ.พระราชพาหนะ 1 เครื่อง ฮ.พระราชพาหนะสำรอง 1 เครื่อง และฮ.ติดตาม 1 เครื่อง (คือเป็นฮ.พระราชพาหนะหลัก และฮ.พระราชพาหนะสำรองรวม 2 เครื่อง อีก 1 เครื่องเป็นฮ.ติดตาม) ฮ.หมายเลข 2 ในขบวนเสด็จฯ วันนั้น และประสบอุบัติเหตุจึงอยู่ในฐานะของ ฮ.พระราชพาหนะสำรอง มีฐานะเป็น “พระราชพาหนะ” เช่นกัน โดยการบินถวายฯ ในวันนั้น ฮ.หมายเลข 3 ยังมิได้เข้าร่วมขบวนในฐานะ ฮ.ติดตาม
เมื่อ ฮ. 9 หมายเลข 2 ประสบอุบัติเหตุชนภูเขา เสียหายขั้นจำหน่าย จึงเหลือ ฮ. 9 หมายเลข 1 ซึ่งเป็น ฮ.พระราชพาหนะหลัก และฮ. 9 หมายเลข 3 ที่เป็นฮ.ติดตาม
การยืนยันโดยเอกสารดังกล่าวข้างต้น เป็นการยืนยันถึงการเป็น ฮ.พระราชพาหนะของเครื่องที่ประสบอุบัติเหตุ เพราะได้มีการแยกแบ่งภารกิจไว้อย่างชัดเจนว่า มีฮ.พระราชพาหนะ ฮ.พระราชพาหนะสำรอง และฮ.ติดตาม
เป้าหมายของการจัดหาของกองทัพอากาศก็มีความชัดเจนว่า ฮ.ซูเปอร์ พูม่า MK 2 นี้ เพื่อถวายฯ เป็น ฮ.พระราชพาหนะ และกองทัพอากาศยังได้ใช้รหัสเรียกขานจัดเป็น “แบบ ฮ. 9” โดยมุ่งเฉลิมพระเกียรติโดยการอัญเชิญเลข “9” อันเป็นเลขประจำรัชกาลมาใช้ โดยการเรียกแบบ “ฮ. 9” นี้ ต้องขอพระบรมราชานุญาต และได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว
ความเป็น ฮ. 9 จึงยังคงอยู่กับ ฮ.ซูเปอร์ พูม่า MK 2 นี้ตลอดไป, การนำมาใช้ในภารกิจของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ยังเป็น ฮ. 9 และเมื่อมีการนำไปแปลงเป็นทุนสำหรับการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส 319 “ไทยคู่ฟ้า” นั้น ก็เท่ากับเป็นการกระทำต่อ ฮ. 9 นี้โดยตรง เพราะยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงเรียกเป็น ฮ.อย่างอื่น ยังคงเป็น ฮ. 9 อยู่ดังเดิม
นี่เป็นประเด็นของ “สำนึก” ไม่เกี่ยวกับว่า การให้บริษัทผู้ผลิต ฮ.ในฝรั่งเศสคือบริษัท ยูโร คอปเตอร์ (EURO COPTER1) มาซื้อ ฮ. 9 ที่เหลือ 2 เครื่องกลับไป ตีราคาเพียงเศษหนึ่งส่วนสามของราคาที่ซื้อมาแล้ว เงินจากยูโร คอปเตอร์ โดยเข้าบริษัท AIR BUS ที่อยู่ฝรั่งเศสเหมือนกันไปเป็นค่าเครื่องบิน (งวดแรก) ของแอร์บัส 319 “ไทยคู่ฟ้า” นั้น เป็นการได้ราคามาอย่างเหมาะสมหรือไม่? สำหรับเฮลิคอปเตอร์ใหม่เอี่ยม การตั้งราคา การตีราคา การเจรจาเรื่องราคา เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างใด เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการตั้งข้อสงสัยหรือข้อสังเกตนี้ ที่มุ่งสู่คำถาม “ความเหมาะสมในทางปฏิบัติ” เพียงอย่างเดียว ส่วนปฏิบัติเช่นนั้นต่อ ฮ. 9 พระราชพาหนะอย่างเหมาะสมถูกควรแล้วหรือ?
ดังที่ได้รายงานไว้ข้างต้นว่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับหลายรัฐบาล คือการจัดหานั้นทำกันในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเลือกแบบเป็น SUPER PUMA , MK 2 ในช่วงนั้น, และเมื่อซื้อแล้วมีการส่งมอบ ฮ.ในสมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อ ฮ.พระที่นั่งสำรอง ประสบอุบัติเหตุชนภูเขานั้น รัฐบาล นายชวน หลีกภัย เป็นผู้สอบสวน ผลของการสอบสวนปรากฏอยู่ในการตอบกระทู้ถามของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร สมาชิกวุฒิสภา โดยตอบกระทู้ถามของ พล.ต.อ.วสิษฐ ในราชกิจจานุเบกษารวม 6 ข้อ (ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 115 ตอน 28 ก วันที่ 21 พฤษภาคม 2541) และประกาศในราชกิจจาถึงผลการสอบสวนในนามของรัฐบาล เรื่องราวและขั้นตอนในช่วงนั้น ยุติอยู่เพียงเท่านั้น
โดยไม่มีความชัดเจนต่อการที่ ฮ. 9 หมายเลข 1 ซึ่งเป็น ฮ.พระราชพาหนะ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับอยู่ ซึ่งถือว่า ฮ.พระที่นั่งประสบเหตุเช่นเดียวกัน คือ ฮ.พระที่นั่งต้องหักหลบภูเขาโดยกะทันหันอย่างรุนแรง และใบพัดหาง (TAIL ROTOR) ฟันยอดไม้ แพนหางระดับเสียหายมีรอยครูดกิ่งไม้ แต่นักบินสามารถบังคับเครื่องให้อยู่ในสภาพทำการบินได้ตามปกติ และเดินทางมาลง-ส่งเสด็จฯ ที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ได้โดยปลอดภัย และในวันรุ่งขึ้น เฮลิคอปเตอร์หมายเลข 1 ได้บินกลับมาดอนเมือง ทำการซ่อมแซมปรับปรุงแก้ไขที่ กซอ. 2 กรมช่างอากาศในทันที
ประเด็นนี้, มีความน่าสนใจมาก เพราะเป็น ฮ.พระที่นั่ง ซึ่งมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับอยู่ แต่ความกระจ่างชัดของการสอบสวน และผลของการสอบสวนที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่ทำกันในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ไม่ได้กล่าวถึงเหตุที่เกิด และความเสียหายที่ปรากฏต่อ ฮ.พระที่นั่ง (หมายเลข 1) แต่อย่างใด, มีแต่ประเด็นของอุบัติเหตุของ ฮ.หมายเลข 2 ซึ่งเป็น ฮ.พระที่นั่งสำรองที่ชนภูเขาเท่านั้น
ได้มีการเรียกร้องให้มีการเปิดเผย และลงลึกยิ่งกว่านั้น โดยมีผู้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อรัฐบาล ว่าการสอบสวนและสรุปเช่นนั้นไม่เป็นการเพียงพอ แต่ทางรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็ไม่ได้ทำอะไรอีก, จนมาถึงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีกลุ่มญาติของผู้เสียชีวิต ขอให้มีการสอบสวนใหม่ในประเด็นที่ว่า “ต้องมีผู้รับผิดชอบ” ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มีการดำเนินการเพื่อจะให้มีผลทางคดีอาญา โดยร้องทุกข์ทาง กองบัญชาการสอบสวนกลาง และเรื่องราวก็เงียบหายไปอีก, การเคลื่อนไหวทางกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตกับ ฮ.หมายเลข 2 นั้น ทำให้สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งให้ความสนใจมากถึงกับมีการจัดทำสารคดีเชิงข่าว/ขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และพร้อมจะออกอากาศตีแผ่ให้เกิดความกระจ่างชัด
ก็ไม่ได้รับอนุมัติการออกอากาศแพร่ภาพจากผู้บริหารสถานีโทรทัศน์แห่งนั้น
การถูกระงับไม่ได้ออกอากาศ ทำให้คณะผู้จัดทำเกิดความไม่พอใจอย่างลึกๆ ได้นำหลักฐานข้อมูล และปมประเด็นไปให้เพื่อนที่ทำรายการในลักษณะเดียวกันที่ทีวีอีกช่องหนึ่ง ได้มีการเตรียมงานกันไปมากประมาณ 80% ก็ได้รับคำสั่งจากผู้บริหารสถานีให้ยุติการทำงานต่อ โดยมีเหตุผลเพียงว่า-เป็นช่วงเวลาไม่เหมาะสมที่จะแพร่ภาพ
เรื่องของการระงับไม่ให้มีการแพร่ภาพออกอากาศของทีวีทั้ง 2 ช่องนี้ เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาล “ทักษิณ 1”
มีสิ่งที่ควรจะต้องตั้งข้อสงสัยอยู่คือ การปกปิดเรื่องนี้ให้เงียบไว้ที่สุดเท่าที่จะทำกันได้ คือให้มีการพูดถึงน้อยที่สุด หรือจะไม่พูดถึงเลย ลืมๆ กันไปเสีย, ซึ่งก็มีผลออกมาอย่างนั้น คือ คนลืมเหตุการณ์ ฮ. 9 ชนภูเขาที่บ้านไอกาเปาะ เมื่อหัวค่ำวันที่ 19 กันยายน 2540 และ ฮ. 9 ลำที่เป็น ฮ.พระที่นั่งก็ประสบอุบัติเหตุด้วยแต่ไม่ร้ายแรง
ในขณะที่เรื่อง ฮ. 9 เงียบหายไป จะด้วยเจตนาใดๆ ก็ตาม
ก็มีการนำ ฮ. 9 ที่เหลืออยู่ 2 เครื่องมาดำเนินการที่ต้องถามว่าเหมาะสมหรือไม่? ที่มีการปรับปรุงใหม่ด้วยงบประมาณจำนวนไม่น้อย และกองทัพอากาศนำมาให้เป็นเสมือน ฮ.ประจำตัวของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งๆ ที่ยังเรียกว่า ฮ. 9 หรือ ฮ.แบบ 9 ในการเดินทางจากกรุงเทพฯ (สนาม ฮ.กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์-สนามเป้า) ไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ และในเที่ยวบินกรุงเทพฯ หัวหิน-กรุงเทพฯ นั้น ก็เป็นการบินเพียงครั้งเดียว แล้วต้องนำไปเก็บที่โรงเก็บในกองบิน 2 โคกกระเทียม ลพบุรี อย่างเดิม เพราะมีผู้ทักท้วงกันมากว่าไม่เหมาะสม, โดยเฉพาะคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ตำหนิอย่างตรงไปตรงมา
ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็รับฟังโดยดี
อาจจะเป็นเพราะว่า ประชาชน/สังคม เริ่มกลับมาให้ความสนใจแล้ว และเกรงว่า ถ้าหากยังไม่หยุดใช้ ฮ.นั้น จะเกิดกระแสอย่างอื่นๆ ตามมา หรือเกรงว่า “บิ๊กจิ๋ว” อาจจะพูดอีกก็ได้ หลังจากที่เตือนมาครั้งหนึ่งแล้วไม่ฟัง เพราะโดยธรรมชาติแล้วเชื่อว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะต้องพูดอีกแน่ๆ
เรื่องราวของ ฮ. 9 เงียบไปอีกพัก และดูเหมือนว่าจะเงียบตลอดไป
เมื่อ ฮ. 9 หมายเลข 1 ซึ่งเป็น ฮ.พระราชพาหนะโดยแท้ และ ฮ.หมายเลข 3 ที่จัดภารกิจไว้เป็น ฮ.ติดตาม ได้ถูกจำหน่ายออกจากบัญชีของกองทัพอากาศ โดยขายคืนให้กับบริษัทผู้ผลิต ยูโร คอปเตอร์และนำเงินงบประมาณไปเติมให้พอที่จะจัดหาเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” แอร์บัส 319 ออกมาได้ เป็นอันว่า ฮ. 9 ที่มี 3 เครื่องนั้น ไม่มีอยู่ในกองทัพอากาศอีกแล้ว เหลือแต่เครื่องบินแอร์บัส “ไทยคู่ฟ้า” ซึ่งก็มิใช่เป็นของกองทัพอากาศ แต่เป็นสมบัติของสำนักนายกรัฐมนตรี โดยกองทัพอากาศเป็นผู้ดูแลรักษา และจัดนักบินทำการบิน ทั้งๆ ที่เครื่องบินลำนี้มีเงินของกองทัพอากาศคือค่า ฮ. 9 สองเครื่องนั้นรวมอยู่ด้วย ในการจัดหา
จนบัดนี้, แอร์บัส “ไทยคู่ฟ้า” ก็ยังเป็นของสำนักนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มตัว ทั้งๆ ที่ควรจะมีการโอนมาให้เป็นของกองทัพอากาศเสีย แล้วจัดเข้าประจำการที่กองบิน 6 (บน. 6) ดอนเมือง ซึ่งเป็นกองบินขนส่ง เอาเครื่องหมายที่ข้างลำตัว อันเป็นเครื่องหมายของสำนักนายกรัฐมนตรีออกเสียพร้อมกับคำว่า ไทยคู่ฟ้า ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เพราะดูเหมือนจะเป็น “เครื่องบินส่วนตัว” มากเกินไป แบบเครื่องบินของอัครมหาเศรษฐีทั้งหลายในโลกที่มีเครื่องบินส่วนตัวใช้ แต่นั่นเขาควักกระเป๋าออกเงินซื้อเอง
เครื่องบินแอร์บัสไทยคู่ฟ้า จึงยังคงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเก่าที่สง่าท้าทายอยู่
เครื่องบินพระราชพาหนะที่ถวายฯ อยู่ในขณะนี้ เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 737-200 (BOEING 737-200) ที่ข้างลำตัวมีคำว่า กองทัพอากาศไทย และเครื่องหมายก็เป็นเครื่องหมายของกองทัพอากาศไม่ได้มีเครื่องหมายพิเศษอย่างใดๆ ทั้งๆ ที่พึงจะทำได้เพื่อแสดงว่าเป็นเครื่องบินพิเศษคือเป็นเครื่องบินพระราชพาหนะ ทั้งนี้, เป็นไปโดยพระราชประสงค์ว่า เพื่อให้ผู้อื่นนำไปใช้ได้ด้วย เมื่อมีภารกิจ ไม่มีพระราชประสงค์จะทรงใช้ประจำพระองค์หรือเป็นส่วนพระองค์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” แล้ว ก็จะเห็นและเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า มีความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างไร ของผู้ที่ใช้หรืออยากจะได้เครื่องบินนี้มาใช้ จนลืมความเหมาะสม
รายงานนั้นเป็นการเสนอความเป็นมา และความเป็นจริงเท่าที่จะทำได้ในวันนี้ โดยไม่ให้มีผลกระทบกระเทือนไปสู่ส่วนอื่นๆ ซึ่งว่ากันแล้ว ผลกระทบนั้น มีอยู่มากมายรอบด้าน ทั้งกระทบมากน้อยหนักและเบา
อีกทั้งมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องบางอย่าง ที่อยู่ในเอกสาร “ลับมาก” ที่ชั้นความลับ และระยะเวลาที่จะคุ้มครองชั้นความลับนั้นยังมีอยู่ ผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิที่จะเห็นหรือรู้ได้
มีบางประเด็นที่พอจะได้...คือความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน มีการอ้างอิงเอกสารบางฉบับได้ ก็ต้องเป็นเดือนตุลาคม 2550 นี้ เมื่อระยะเวลาของชั้นความลับผ่านสิบปีไปแล้ว
แต่มีบางอย่างที่สามารถรายงานอย่าง “ข่าวสาร” หรือการรายงานประกอบการตั้งข้อสังเกตอันเป็นสิ่งที่สามารถเสาะหามาจากแหล่งข่าว/ข้อมูล โดยไม่เข้าถึงชั้นความลับ (ซึ่งเข้าถึงไม่ได้อยู่แล้ว) ก็พอจะนำมาเป็นรายงานในการทำหน้าที่เผยแพร่บอกเล่าข่าวสารตามหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ได้ในกรอบของจรรยาบรรณ
เช่นการตั้งข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับ ฮ. 9 ซูเปอร์ พูม่า ที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีหลายคนตั้งแต่ นายบรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายชวน หลีกภัย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีความเกี่ยวข้องกันในลักษณะต่างๆ กันไป แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ “ฮ.พระราชพาหนะสำรอง” ประสบอุบัติเหตุชนภูเขาที่บ้านไอกาเปาะ ตำบลภูเขาทอง อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส เมื่อเวลา 19.42 น. วันที่ 19 กันยายน 2540 มีผู้เสียชีวิตเป็นข้าราชบริพารผู้ตามเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นายทหารราชองครักษ์ และนักบินรวม 14 คน ซึ่งต่อมา, จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ ฮ. 9 ที่เหลืออยู่ 2 เครื่องถูกนำไปใช้ในภารกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วต่อมาก็ได้ถูกนำไปตีราคาเป็นมูลค่าตั้งต้น ในการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส 319 ให้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข้อสังเกต และข้อน่าตั้งประเด็นสงสัยนอกเหนือไปจากคำถามว่า-เป็นการปฏิบัติหรือการกระทำที่เหมาะสม หรือสมควรแล้วหรือ?
มีสิ่งที่ยืนยันได้ถึงการเป็น ฮ.พระราชพาหนะ และ ฮ.พระราชพาหนะสำรอง (ซึ่งถือว่าเป็นพระราชพาหนะเช่นกัน) คือความตามหนังสือ กนฝ. ยก. ทอ. (กองนโยบายและแผน กรมยุทธการทหารอากาศ) ที่ 128/40 หนังสือที่ กห 0605.2/1374 วันที่ 12 พฤษภาคม 2540 เรื่องการฝึก นบ.ฮ. 9 (SUPER PUMA ) เรียน ผบ.ทอ.
1. ตามที่ ทอ.จัดหา ฮ. 9 (SUPER PUMA ) จำนวน 3 เครื่อง เพื่อใช้เป็น ฮ.พระราชพาหนะ ฮ.พระราชพาหนะสำรอง และฮ.ติดตาม โดยรับมอบและบรรจุ ฮ. 9 จำนวน 2 เครื่อง เข้าประจำการที่ฝูง 202 ตั้งแต่ ม.ค. 40 นั้น
ยกมาเพียงหนึ่งข้อคือข้อ 1 ของหนังสือนี้ เป็นการยืนยันว่า กองทัพอากาศได้จัดหาเฮลิคอปเตอร์จำนวน 3 เครื่องเป็นแบบ SUPER PUMA รุ่น MK 2 เพื่อเป็น ฮ.พระราชพาหนะ 1 เครื่อง ฮ.พระราชพาหนะสำรอง 1 เครื่อง และฮ.ติดตาม 1 เครื่อง (คือเป็นฮ.พระราชพาหนะหลัก และฮ.พระราชพาหนะสำรองรวม 2 เครื่อง อีก 1 เครื่องเป็นฮ.ติดตาม) ฮ.หมายเลข 2 ในขบวนเสด็จฯ วันนั้น และประสบอุบัติเหตุจึงอยู่ในฐานะของ ฮ.พระราชพาหนะสำรอง มีฐานะเป็น “พระราชพาหนะ” เช่นกัน โดยการบินถวายฯ ในวันนั้น ฮ.หมายเลข 3 ยังมิได้เข้าร่วมขบวนในฐานะ ฮ.ติดตาม
เมื่อ ฮ. 9 หมายเลข 2 ประสบอุบัติเหตุชนภูเขา เสียหายขั้นจำหน่าย จึงเหลือ ฮ. 9 หมายเลข 1 ซึ่งเป็น ฮ.พระราชพาหนะหลัก และฮ. 9 หมายเลข 3 ที่เป็นฮ.ติดตาม
การยืนยันโดยเอกสารดังกล่าวข้างต้น เป็นการยืนยันถึงการเป็น ฮ.พระราชพาหนะของเครื่องที่ประสบอุบัติเหตุ เพราะได้มีการแยกแบ่งภารกิจไว้อย่างชัดเจนว่า มีฮ.พระราชพาหนะ ฮ.พระราชพาหนะสำรอง และฮ.ติดตาม
เป้าหมายของการจัดหาของกองทัพอากาศก็มีความชัดเจนว่า ฮ.ซูเปอร์ พูม่า MK 2 นี้ เพื่อถวายฯ เป็น ฮ.พระราชพาหนะ และกองทัพอากาศยังได้ใช้รหัสเรียกขานจัดเป็น “แบบ ฮ. 9” โดยมุ่งเฉลิมพระเกียรติโดยการอัญเชิญเลข “9” อันเป็นเลขประจำรัชกาลมาใช้ โดยการเรียกแบบ “ฮ. 9” นี้ ต้องขอพระบรมราชานุญาต และได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว
ความเป็น ฮ. 9 จึงยังคงอยู่กับ ฮ.ซูเปอร์ พูม่า MK 2 นี้ตลอดไป, การนำมาใช้ในภารกิจของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ยังเป็น ฮ. 9 และเมื่อมีการนำไปแปลงเป็นทุนสำหรับการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส 319 “ไทยคู่ฟ้า” นั้น ก็เท่ากับเป็นการกระทำต่อ ฮ. 9 นี้โดยตรง เพราะยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงเรียกเป็น ฮ.อย่างอื่น ยังคงเป็น ฮ. 9 อยู่ดังเดิม
นี่เป็นประเด็นของ “สำนึก” ไม่เกี่ยวกับว่า การให้บริษัทผู้ผลิต ฮ.ในฝรั่งเศสคือบริษัท ยูโร คอปเตอร์ (EURO COPTER1) มาซื้อ ฮ. 9 ที่เหลือ 2 เครื่องกลับไป ตีราคาเพียงเศษหนึ่งส่วนสามของราคาที่ซื้อมาแล้ว เงินจากยูโร คอปเตอร์ โดยเข้าบริษัท AIR BUS ที่อยู่ฝรั่งเศสเหมือนกันไปเป็นค่าเครื่องบิน (งวดแรก) ของแอร์บัส 319 “ไทยคู่ฟ้า” นั้น เป็นการได้ราคามาอย่างเหมาะสมหรือไม่? สำหรับเฮลิคอปเตอร์ใหม่เอี่ยม การตั้งราคา การตีราคา การเจรจาเรื่องราคา เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างใด เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการตั้งข้อสงสัยหรือข้อสังเกตนี้ ที่มุ่งสู่คำถาม “ความเหมาะสมในทางปฏิบัติ” เพียงอย่างเดียว ส่วนปฏิบัติเช่นนั้นต่อ ฮ. 9 พระราชพาหนะอย่างเหมาะสมถูกควรแล้วหรือ?
ดังที่ได้รายงานไว้ข้างต้นว่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับหลายรัฐบาล คือการจัดหานั้นทำกันในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเลือกแบบเป็น SUPER PUMA , MK 2 ในช่วงนั้น, และเมื่อซื้อแล้วมีการส่งมอบ ฮ.ในสมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อ ฮ.พระที่นั่งสำรอง ประสบอุบัติเหตุชนภูเขานั้น รัฐบาล นายชวน หลีกภัย เป็นผู้สอบสวน ผลของการสอบสวนปรากฏอยู่ในการตอบกระทู้ถามของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร สมาชิกวุฒิสภา โดยตอบกระทู้ถามของ พล.ต.อ.วสิษฐ ในราชกิจจานุเบกษารวม 6 ข้อ (ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 115 ตอน 28 ก วันที่ 21 พฤษภาคม 2541) และประกาศในราชกิจจาถึงผลการสอบสวนในนามของรัฐบาล เรื่องราวและขั้นตอนในช่วงนั้น ยุติอยู่เพียงเท่านั้น
โดยไม่มีความชัดเจนต่อการที่ ฮ. 9 หมายเลข 1 ซึ่งเป็น ฮ.พระราชพาหนะ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับอยู่ ซึ่งถือว่า ฮ.พระที่นั่งประสบเหตุเช่นเดียวกัน คือ ฮ.พระที่นั่งต้องหักหลบภูเขาโดยกะทันหันอย่างรุนแรง และใบพัดหาง (TAIL ROTOR) ฟันยอดไม้ แพนหางระดับเสียหายมีรอยครูดกิ่งไม้ แต่นักบินสามารถบังคับเครื่องให้อยู่ในสภาพทำการบินได้ตามปกติ และเดินทางมาลง-ส่งเสด็จฯ ที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ได้โดยปลอดภัย และในวันรุ่งขึ้น เฮลิคอปเตอร์หมายเลข 1 ได้บินกลับมาดอนเมือง ทำการซ่อมแซมปรับปรุงแก้ไขที่ กซอ. 2 กรมช่างอากาศในทันที
ประเด็นนี้, มีความน่าสนใจมาก เพราะเป็น ฮ.พระที่นั่ง ซึ่งมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับอยู่ แต่ความกระจ่างชัดของการสอบสวน และผลของการสอบสวนที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่ทำกันในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ไม่ได้กล่าวถึงเหตุที่เกิด และความเสียหายที่ปรากฏต่อ ฮ.พระที่นั่ง (หมายเลข 1) แต่อย่างใด, มีแต่ประเด็นของอุบัติเหตุของ ฮ.หมายเลข 2 ซึ่งเป็น ฮ.พระที่นั่งสำรองที่ชนภูเขาเท่านั้น
ได้มีการเรียกร้องให้มีการเปิดเผย และลงลึกยิ่งกว่านั้น โดยมีผู้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อรัฐบาล ว่าการสอบสวนและสรุปเช่นนั้นไม่เป็นการเพียงพอ แต่ทางรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็ไม่ได้ทำอะไรอีก, จนมาถึงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีกลุ่มญาติของผู้เสียชีวิต ขอให้มีการสอบสวนใหม่ในประเด็นที่ว่า “ต้องมีผู้รับผิดชอบ” ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มีการดำเนินการเพื่อจะให้มีผลทางคดีอาญา โดยร้องทุกข์ทาง กองบัญชาการสอบสวนกลาง และเรื่องราวก็เงียบหายไปอีก, การเคลื่อนไหวทางกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตกับ ฮ.หมายเลข 2 นั้น ทำให้สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งให้ความสนใจมากถึงกับมีการจัดทำสารคดีเชิงข่าว/ขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และพร้อมจะออกอากาศตีแผ่ให้เกิดความกระจ่างชัด
ก็ไม่ได้รับอนุมัติการออกอากาศแพร่ภาพจากผู้บริหารสถานีโทรทัศน์แห่งนั้น
การถูกระงับไม่ได้ออกอากาศ ทำให้คณะผู้จัดทำเกิดความไม่พอใจอย่างลึกๆ ได้นำหลักฐานข้อมูล และปมประเด็นไปให้เพื่อนที่ทำรายการในลักษณะเดียวกันที่ทีวีอีกช่องหนึ่ง ได้มีการเตรียมงานกันไปมากประมาณ 80% ก็ได้รับคำสั่งจากผู้บริหารสถานีให้ยุติการทำงานต่อ โดยมีเหตุผลเพียงว่า-เป็นช่วงเวลาไม่เหมาะสมที่จะแพร่ภาพ
เรื่องของการระงับไม่ให้มีการแพร่ภาพออกอากาศของทีวีทั้ง 2 ช่องนี้ เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาล “ทักษิณ 1”
มีสิ่งที่ควรจะต้องตั้งข้อสงสัยอยู่คือ การปกปิดเรื่องนี้ให้เงียบไว้ที่สุดเท่าที่จะทำกันได้ คือให้มีการพูดถึงน้อยที่สุด หรือจะไม่พูดถึงเลย ลืมๆ กันไปเสีย, ซึ่งก็มีผลออกมาอย่างนั้น คือ คนลืมเหตุการณ์ ฮ. 9 ชนภูเขาที่บ้านไอกาเปาะ เมื่อหัวค่ำวันที่ 19 กันยายน 2540 และ ฮ. 9 ลำที่เป็น ฮ.พระที่นั่งก็ประสบอุบัติเหตุด้วยแต่ไม่ร้ายแรง
ในขณะที่เรื่อง ฮ. 9 เงียบหายไป จะด้วยเจตนาใดๆ ก็ตาม
ก็มีการนำ ฮ. 9 ที่เหลืออยู่ 2 เครื่องมาดำเนินการที่ต้องถามว่าเหมาะสมหรือไม่? ที่มีการปรับปรุงใหม่ด้วยงบประมาณจำนวนไม่น้อย และกองทัพอากาศนำมาให้เป็นเสมือน ฮ.ประจำตัวของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งๆ ที่ยังเรียกว่า ฮ. 9 หรือ ฮ.แบบ 9 ในการเดินทางจากกรุงเทพฯ (สนาม ฮ.กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์-สนามเป้า) ไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ และในเที่ยวบินกรุงเทพฯ หัวหิน-กรุงเทพฯ นั้น ก็เป็นการบินเพียงครั้งเดียว แล้วต้องนำไปเก็บที่โรงเก็บในกองบิน 2 โคกกระเทียม ลพบุรี อย่างเดิม เพราะมีผู้ทักท้วงกันมากว่าไม่เหมาะสม, โดยเฉพาะคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ตำหนิอย่างตรงไปตรงมา
ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็รับฟังโดยดี
อาจจะเป็นเพราะว่า ประชาชน/สังคม เริ่มกลับมาให้ความสนใจแล้ว และเกรงว่า ถ้าหากยังไม่หยุดใช้ ฮ.นั้น จะเกิดกระแสอย่างอื่นๆ ตามมา หรือเกรงว่า “บิ๊กจิ๋ว” อาจจะพูดอีกก็ได้ หลังจากที่เตือนมาครั้งหนึ่งแล้วไม่ฟัง เพราะโดยธรรมชาติแล้วเชื่อว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะต้องพูดอีกแน่ๆ
เรื่องราวของ ฮ. 9 เงียบไปอีกพัก และดูเหมือนว่าจะเงียบตลอดไป
เมื่อ ฮ. 9 หมายเลข 1 ซึ่งเป็น ฮ.พระราชพาหนะโดยแท้ และ ฮ.หมายเลข 3 ที่จัดภารกิจไว้เป็น ฮ.ติดตาม ได้ถูกจำหน่ายออกจากบัญชีของกองทัพอากาศ โดยขายคืนให้กับบริษัทผู้ผลิต ยูโร คอปเตอร์และนำเงินงบประมาณไปเติมให้พอที่จะจัดหาเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” แอร์บัส 319 ออกมาได้ เป็นอันว่า ฮ. 9 ที่มี 3 เครื่องนั้น ไม่มีอยู่ในกองทัพอากาศอีกแล้ว เหลือแต่เครื่องบินแอร์บัส “ไทยคู่ฟ้า” ซึ่งก็มิใช่เป็นของกองทัพอากาศ แต่เป็นสมบัติของสำนักนายกรัฐมนตรี โดยกองทัพอากาศเป็นผู้ดูแลรักษา และจัดนักบินทำการบิน ทั้งๆ ที่เครื่องบินลำนี้มีเงินของกองทัพอากาศคือค่า ฮ. 9 สองเครื่องนั้นรวมอยู่ด้วย ในการจัดหา
จนบัดนี้, แอร์บัส “ไทยคู่ฟ้า” ก็ยังเป็นของสำนักนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มตัว ทั้งๆ ที่ควรจะมีการโอนมาให้เป็นของกองทัพอากาศเสีย แล้วจัดเข้าประจำการที่กองบิน 6 (บน. 6) ดอนเมือง ซึ่งเป็นกองบินขนส่ง เอาเครื่องหมายที่ข้างลำตัว อันเป็นเครื่องหมายของสำนักนายกรัฐมนตรีออกเสียพร้อมกับคำว่า ไทยคู่ฟ้า ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เพราะดูเหมือนจะเป็น “เครื่องบินส่วนตัว” มากเกินไป แบบเครื่องบินของอัครมหาเศรษฐีทั้งหลายในโลกที่มีเครื่องบินส่วนตัวใช้ แต่นั่นเขาควักกระเป๋าออกเงินซื้อเอง
เครื่องบินแอร์บัสไทยคู่ฟ้า จึงยังคงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเก่าที่สง่าท้าทายอยู่
เครื่องบินพระราชพาหนะที่ถวายฯ อยู่ในขณะนี้ เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 737-200 (BOEING 737-200) ที่ข้างลำตัวมีคำว่า กองทัพอากาศไทย และเครื่องหมายก็เป็นเครื่องหมายของกองทัพอากาศไม่ได้มีเครื่องหมายพิเศษอย่างใดๆ ทั้งๆ ที่พึงจะทำได้เพื่อแสดงว่าเป็นเครื่องบินพิเศษคือเป็นเครื่องบินพระราชพาหนะ ทั้งนี้, เป็นไปโดยพระราชประสงค์ว่า เพื่อให้ผู้อื่นนำไปใช้ได้ด้วย เมื่อมีภารกิจ ไม่มีพระราชประสงค์จะทรงใช้ประจำพระองค์หรือเป็นส่วนพระองค์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” แล้ว ก็จะเห็นและเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า มีความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างไร ของผู้ที่ใช้หรืออยากจะได้เครื่องบินนี้มาใช้ จนลืมความเหมาะสม