หลายคนที่คุ้นเคย ยามเจอกัน มักจะทักทายกัน ด้วยการถามถึงสารทุกข์สุกดิบ ตามธรรมเนียมของชาวตะวันออก โดยเฉพาะคนไทยเราจะยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ในยามที่อยู่ร่วมกับเพื่อนฝูงจำนวนมาก
แต่ยามนี้ กาลกลับตาลปัตรหลายคนอยากปลีกวิเวก หลีกหนีจากสังคม เบื่อหน่ายที่จะพูดคุยถึงปัญหาของบ้านเมือง
มันเป็นอารมณ์ร่วมของผู้คนในสังคมไทย
ไม่ว่าจะมีจุดยืนอยู่ฝ่ายไหน
ไม่ว่าจะมีฐานะแตกต่างกันมากเพียงใด
ทุกคนมีจุดร่วมอย่างหนึ่ง โดยมิได้นัดหมาย ทุกคนจะถามคำถามเดียวกันว่า
ประเทศไทยจะไปทางไหน?
รัฐบาลเฮงซวย เมื่อไหร่จะสำนึก?
ทุกคนถึงแม้ จะอยู่ในอาการเบื่อหน่าย และแสนเซ็ง กับคำถามที่ไม่ควรจะต้องหาคำตอบ แต่ทุกคนก็มีคำตอบอยู่ในใจ
แน่นอน คำตอบของทุกคนย่อมไม่เหมือนกัน บางหมู่ บางเหล่า อาจมีคำตอบที่คล้ายคลึงกัน และอยู่ในทิศทางเดียวกัน บางส่วนก็แตกต่างกันราวกับฟ้ากับดิน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเป็นปรากฏการณ์เหลือเชื่อ เพราะทุกคำตอบล้วนสะท้อนและเป็นไปตามจุดยืน และมุมมองที่กำหนดจากโลกทรรศน์ของแต่ละคน
คนที่เป็นเกษตรกร ก็มีคำตอบอย่างหนึ่ง
พ่อค้าวานิช ก็มีคำตอบอีกอย่างหนึ่ง
บรรดาปราชญ์เมธี ผู้คงแก่เรียน ก็มีคำตอบอีกอย่างหนึ่ง
แต่บนความต่างย่อมมีความเหมือน
นี่คือหลักการวิภาษวิธี ซึ่งเป็นสัจธรรม
แต่สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือน ในสภาพสังคมการเมือง ในขณะนี้ มันเป็นปรากฏการณ์ที่พิสดารยิ่ง
มันทำลายหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไปเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าปรากฏการณ์ นี้จะเกิดขึ้นจริง ในสังคม ที่เรียกว่าสังคมไทย
เป็นไปได้อย่างไร ที่ผู้คนทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่า “รัฐบาลนี้เฮงซวย”
.........เมื่อไหร่จะไปๆ เสีย.........
ผู้คนที่เยี่ยมยืน ที่สัมผัสด้วยประสบการณ์ตรง
บางคนก็สำแดงอาการโกรธเกี้ยว ถึงขั้นตีอกชกลม
บ้างก็จะออกไปรบราบนท้องถนน
บ้างก็เบื่อหน่ายสติสตังค์ก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
บ้างก็เริ่มพูดจาสับสนวกวน ย้ำคิดย้ำทำ
บ้างก็ท้อแท้ อยากหาที่อยู่ใหม่ ไม่เอาแล้วประเทศไทย
บ้างก็บ่นด่าตนเอง สะใจที่เคยลุ่มหลง รักห่วง อุตส่าห์เทใจสนับสนุน
ฯลฯ
ผมเอง ในฐานะผู้ฟัง สิ่งที่ทำได้ในเวลาสั้นๆ ก็คือการปลอบประโลม
ขออย่าเพิ่งท้อแท้ มันเป็นธรรมชาติของระบอบการเมืองไทย 70 กว่าปี แล้วที่สังคมไทยพยายามจะข้ามพ้นไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่มันก็ยังวนเวียนอยู่ภายใต้วงจรอุบาทว์ ที่สลับสับเปลี่ยนแบ่งปันผลประโยชน์แห่งอำนาจ ภายใต้นักจัดการฮั้วระดับชาติ
“จะทำอย่างไร ในเมื่อสังคมเรายังไม่มีความเชื่อว่า ประเทศนี้เป็นของเรา ทุกครั้งยามเกิดวิกฤตแห่งอำนาจ เราก็วิ่งโร่เรียกหาแต่อัศวินขี่ม้าขาว ในที่สุดประชาชนได้อะไร พอสถานการณ์คลี่คลายในระดับหนึ่ง นักจัดฮั้วระดับชาติ ก็กางแผนที่ประเทศไทย จัดสรรกางผัง แบ่งอำนาจกันแบบ win-win สมานฉันท์ มันคือคำตอบที่มีอยู่ทุกยุคทุกสมัยกว่า 75 ปี เราชินชากับมันเสียแล้ว บางครั้งอาจเสียเลือดเสียเนื้อ เหล่าวีรชน ผู้กล้าบ้าง ผู้มีอำนาจเขาไม่เสียใจหรอก เขาคิดว่า คนเหล่านั้น เป็นแค่ ของบวงสรวงสังเวย สะเดาะเคราะห์เท่านั้นเอง สังคมไทยมันก็มีแค่นี้ล่ะ ถ้าเป็นสังคมประเทศอื่น ประชาชนคงสรุปบทเรียนได้แล้ว”
“แต่อย่าเพิ่งท้อนะ บนความสับสนทางการเมือง ดูเหมือนมันไม่มีการพัฒนาการ จริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ด้านบวกในด้านลบ สิ่งใหม่ ในสิ่งเก่า มันก่อรูปสร้างตนเองมาโดยตลอด วันหนึ่งสิ่งใหม่จะพัฒนามาเป็นด้านหลัก และก่อปัจจัยเป็นคุณ เป็นพลังชี้ขาดของการเปลี่ยนแปลง และวันนั้นจะเป็นวันที่เราพูดอยากเต็มปากเต็มคำว่า แผ่นดินนี้เป็นของเรา”
กับเพื่อนฝูงกัลยาณมิตรที่มีเวลาคุยไม่มาก ผมก็จะหยิบเอาหนังสือเก่า “บันทึก นึกได้เอง” ของพระรูปเดียวที่ผมศรัทธา คืออาจารย์พุทธทาส ที่เขียนไว้ ด้วยลายมือ เป็นการบันทึกประจำวัน ในไดอารี่ส่วนตัวของท่าน เมื่อ ปี 2495 แล้วพลิกเปิดไป หน้าวันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ซึ่งท่านบันทึกในขณะจำพรรษา ที่สวนโมกข์ ท่าน ตั้งหัวข้อว่า
“การเมืองคืออะไร”
การเมือง คือสิ่งที่ตั้งรากฐานอยู่บนความทะเยอทะยาน ในการอยู่เติบ กินเติบ (เติบ คือภาษาโบราณ มีความหมาย ละโมบ, โลภ, ใหญ่, มาก, ไม่พอดี.ฟุ่มเฟือย ...ผู้เขียน) หรือความมัวเมาในความสุขทางเนื้อหนัง โดยปราศจากการนึกถึงโลกหน้า พระเป็นเจ้าและความตาย และมีอำนาจเป็นความถูกต้อง และประโยชน์ของตนเป็นความยุติธรรม
ความยุติธรรมและเป็นของใหม่ เพิ่งเกิดขึ้นในโลก เมื่อเกิดปราณนา การอยู่เติบ กินเติบกัน ขึ้นมาแล้วเท่านั้น
สำหรับการเมืองภายในประเทศนั้น ลัทธิฝ่ายอภิชนาธิปไตย นับตั้งแต่ราชาธิปไตย ลงมา ก็คือการสงวน การอยู่เติบ กินเติบ ไว้สำหรับคนบางชั้น บางพวก และลัทธิฝ่ายประชาธิปไตย ก็คือ การยื้อแย่ง เอาการอยู่เติบ กินเติบนั้นมาเฉลี่ยกันให้ทั่วถึง
เผด็จการกับประชาธิปไตย จึงไม่มีความหมายอันแตกต่างอะไรกัน เพราะเป็นการจัดเพื่อให้ฝ่ายของตน ได้มาซึ่งการอยู่เติบ กินเติบ นั้นเอง แหละประชาธิปไตยนั้น เมื่อถึงคราวที่จะแสดงบทบาทอันจริงจังขึ้นมา ก็ได้มอบกำลังและอำนาจ ให้คนคนหนึ่ง หรือกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง มีอำนาจเด็ดขาด และนั้นก็คือ เผด็จการนั้นเอย แล้วเหตุการณ์ ก็เป็นไปตามอำนาจ กิเลส ของผู้มีอำนาจ จึงเห็นได้ว่า ที่แท้นั้นก็คือ กิเลสาธิปไตยต่างหาก ที่บังคับกลุ่มชนให้เป็นไป
ในวงประชาธิปไตยนั้นเล่า ถ้าเป็นการปฏิวัติที่แย่งการอยู่เติบ กินเติบ มาจากอภิชนาธิปไตย ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่ถ้าใครเกิดการปฏิวัติ เพื่อยื้อแย่ง การอยู่เติบ กินเติบ ไปจากชนชั้นที่ครองอำนาจนั้น ไปแยกกระจายให้ทั่วถึง คนชั้นต่ำ โดยทั่วไป โลกสมัยนี้ยังถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด หรือเป็นอาชญากรรมที่เดียว (เช่น พวกเสรีประชาธิปไตย กำลังกล่าวหาพวกคอมมิวนิสต์อยู่?)
จึงเห็นได้ว่า อำนาจยังเป็นความยุติธรรมอยู่
สำหรับการเมืองระหว่างประเทศนั้น เป็นการใช้อุบาย เพื่อป้องกันรักษาการอยู่เติบ กินเติบ ของตน หรือลักล้วงแย่งชิงเอาของผู้อื่นมา พร้อมกันไปในตัว ในกรณีเช่นนี้ เผด็จการหรือประชาธิปไตย ย่อมสูญสิ้นความหมายไปด้วยกัน คงอยู่แต่ว่าวิธีใด ให้สำเร็จ ความประสงค์ของตนแล้ว ย่อมใช้วิธีนั้น จะขัดปลอก ว่าประชาธิปไตย หรือเผด็จการ ก็ล้วนแต่ไร้ความหมาย
ฉะนั้น การเมือง จึงมิใช่สิ่งที่สามารถจัดโลก ให้มีสันติภาพ ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์สะอาด ความสว่างไสวแจ่มแจ้ง และความสงบเยือกเย็น อันแท้จริง
เป็นอย่างไร ครับ 55 ปี ผ่านไปแล้ว หากนำเอา หลักคิดของท่านพุทธทาส มาอธิบายในเหตุการณ์ในสังคมไทย ปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่า ยังอยู่ในวังวนเมื่อ 50 กว่าปี
การปฏิวัติล่าสุดเมื่อ 19 กันยา ก็คือการยื้อแย่ง การอยู่เติบ กินเติบ จากระบอบของคุณทักษิณ มาแบ่งปันกันเองในหมู่พวกสังคมของชนชั้นสูง
หาใช่เป็นการยื้อแย่ง การอยู่เติบ กินเติบ ไปจากชนชั้นที่ครองอำนาจในขณะนั้น ไปแยกกระจายให้ทั่วถึงกับประชาชน โดยทั่วไป
ดังนั้น วันนี้เราจะไปหวังอะไร
อย่าเพ้อฝัน หันมาทบทวนสรุปบทเรียนกันเถอะ
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพึ่งตนเอง กองกำลังของพันธมิตร ต้องแปรเปลี่ยน เป็นกองกำลังสู้รบ ที่มีปัญญาเป็นอาวุธ ยึดมั่นแนวทาง นโยบายที่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประชาชน ในนามกองกำลังยามเฝ้าแผ่นดิน
มาเถอะ พวกเราสลัดความเบื่อหน่าย ท้อแท้
สร้างขวัญกำลังใจ ปลุกจิตสำนึกรับใช้ประชาชน
รวมพล จัดหมู่ ตรวจแถว ติดอาวุธทางปัญญา สร้างการนำรวมหมู่
แล้วประกาศก้องพร้อมกัน ให้สะท้านฟ้า สะเทือนแผ่นดิน
ว่า
เราจะสู้ เราจะสร้างสรรค์แผ่นดินของเรา เพราะแผ่นดินนี้เป็นของเรา
เราคือผู้สร้างแผ่นดิน เราคือผู้เลี้ยงแผ่นดิน
เราจะจัดการระบอบสังคมใหม่ ด้วยมือของเราเอง
ถึงวันนั้น เราจะเอาการอยู่เติบ กินเติบ มาปันส่วนแบ่งปันให้กับพี่น้องคนไทยทุกคน อย่างเสมอภาคเท่าเทียม
แต่ยามนี้ กาลกลับตาลปัตรหลายคนอยากปลีกวิเวก หลีกหนีจากสังคม เบื่อหน่ายที่จะพูดคุยถึงปัญหาของบ้านเมือง
มันเป็นอารมณ์ร่วมของผู้คนในสังคมไทย
ไม่ว่าจะมีจุดยืนอยู่ฝ่ายไหน
ไม่ว่าจะมีฐานะแตกต่างกันมากเพียงใด
ทุกคนมีจุดร่วมอย่างหนึ่ง โดยมิได้นัดหมาย ทุกคนจะถามคำถามเดียวกันว่า
ประเทศไทยจะไปทางไหน?
รัฐบาลเฮงซวย เมื่อไหร่จะสำนึก?
ทุกคนถึงแม้ จะอยู่ในอาการเบื่อหน่าย และแสนเซ็ง กับคำถามที่ไม่ควรจะต้องหาคำตอบ แต่ทุกคนก็มีคำตอบอยู่ในใจ
แน่นอน คำตอบของทุกคนย่อมไม่เหมือนกัน บางหมู่ บางเหล่า อาจมีคำตอบที่คล้ายคลึงกัน และอยู่ในทิศทางเดียวกัน บางส่วนก็แตกต่างกันราวกับฟ้ากับดิน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเป็นปรากฏการณ์เหลือเชื่อ เพราะทุกคำตอบล้วนสะท้อนและเป็นไปตามจุดยืน และมุมมองที่กำหนดจากโลกทรรศน์ของแต่ละคน
คนที่เป็นเกษตรกร ก็มีคำตอบอย่างหนึ่ง
พ่อค้าวานิช ก็มีคำตอบอีกอย่างหนึ่ง
บรรดาปราชญ์เมธี ผู้คงแก่เรียน ก็มีคำตอบอีกอย่างหนึ่ง
แต่บนความต่างย่อมมีความเหมือน
นี่คือหลักการวิภาษวิธี ซึ่งเป็นสัจธรรม
แต่สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือน ในสภาพสังคมการเมือง ในขณะนี้ มันเป็นปรากฏการณ์ที่พิสดารยิ่ง
มันทำลายหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไปเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าปรากฏการณ์ นี้จะเกิดขึ้นจริง ในสังคม ที่เรียกว่าสังคมไทย
เป็นไปได้อย่างไร ที่ผู้คนทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่า “รัฐบาลนี้เฮงซวย”
.........เมื่อไหร่จะไปๆ เสีย.........
ผู้คนที่เยี่ยมยืน ที่สัมผัสด้วยประสบการณ์ตรง
บางคนก็สำแดงอาการโกรธเกี้ยว ถึงขั้นตีอกชกลม
บ้างก็จะออกไปรบราบนท้องถนน
บ้างก็เบื่อหน่ายสติสตังค์ก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
บ้างก็เริ่มพูดจาสับสนวกวน ย้ำคิดย้ำทำ
บ้างก็ท้อแท้ อยากหาที่อยู่ใหม่ ไม่เอาแล้วประเทศไทย
บ้างก็บ่นด่าตนเอง สะใจที่เคยลุ่มหลง รักห่วง อุตส่าห์เทใจสนับสนุน
ฯลฯ
ผมเอง ในฐานะผู้ฟัง สิ่งที่ทำได้ในเวลาสั้นๆ ก็คือการปลอบประโลม
ขออย่าเพิ่งท้อแท้ มันเป็นธรรมชาติของระบอบการเมืองไทย 70 กว่าปี แล้วที่สังคมไทยพยายามจะข้ามพ้นไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่มันก็ยังวนเวียนอยู่ภายใต้วงจรอุบาทว์ ที่สลับสับเปลี่ยนแบ่งปันผลประโยชน์แห่งอำนาจ ภายใต้นักจัดการฮั้วระดับชาติ
“จะทำอย่างไร ในเมื่อสังคมเรายังไม่มีความเชื่อว่า ประเทศนี้เป็นของเรา ทุกครั้งยามเกิดวิกฤตแห่งอำนาจ เราก็วิ่งโร่เรียกหาแต่อัศวินขี่ม้าขาว ในที่สุดประชาชนได้อะไร พอสถานการณ์คลี่คลายในระดับหนึ่ง นักจัดฮั้วระดับชาติ ก็กางแผนที่ประเทศไทย จัดสรรกางผัง แบ่งอำนาจกันแบบ win-win สมานฉันท์ มันคือคำตอบที่มีอยู่ทุกยุคทุกสมัยกว่า 75 ปี เราชินชากับมันเสียแล้ว บางครั้งอาจเสียเลือดเสียเนื้อ เหล่าวีรชน ผู้กล้าบ้าง ผู้มีอำนาจเขาไม่เสียใจหรอก เขาคิดว่า คนเหล่านั้น เป็นแค่ ของบวงสรวงสังเวย สะเดาะเคราะห์เท่านั้นเอง สังคมไทยมันก็มีแค่นี้ล่ะ ถ้าเป็นสังคมประเทศอื่น ประชาชนคงสรุปบทเรียนได้แล้ว”
“แต่อย่าเพิ่งท้อนะ บนความสับสนทางการเมือง ดูเหมือนมันไม่มีการพัฒนาการ จริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ด้านบวกในด้านลบ สิ่งใหม่ ในสิ่งเก่า มันก่อรูปสร้างตนเองมาโดยตลอด วันหนึ่งสิ่งใหม่จะพัฒนามาเป็นด้านหลัก และก่อปัจจัยเป็นคุณ เป็นพลังชี้ขาดของการเปลี่ยนแปลง และวันนั้นจะเป็นวันที่เราพูดอยากเต็มปากเต็มคำว่า แผ่นดินนี้เป็นของเรา”
กับเพื่อนฝูงกัลยาณมิตรที่มีเวลาคุยไม่มาก ผมก็จะหยิบเอาหนังสือเก่า “บันทึก นึกได้เอง” ของพระรูปเดียวที่ผมศรัทธา คืออาจารย์พุทธทาส ที่เขียนไว้ ด้วยลายมือ เป็นการบันทึกประจำวัน ในไดอารี่ส่วนตัวของท่าน เมื่อ ปี 2495 แล้วพลิกเปิดไป หน้าวันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ซึ่งท่านบันทึกในขณะจำพรรษา ที่สวนโมกข์ ท่าน ตั้งหัวข้อว่า
“การเมืองคืออะไร”
การเมือง คือสิ่งที่ตั้งรากฐานอยู่บนความทะเยอทะยาน ในการอยู่เติบ กินเติบ (เติบ คือภาษาโบราณ มีความหมาย ละโมบ, โลภ, ใหญ่, มาก, ไม่พอดี.ฟุ่มเฟือย ...ผู้เขียน) หรือความมัวเมาในความสุขทางเนื้อหนัง โดยปราศจากการนึกถึงโลกหน้า พระเป็นเจ้าและความตาย และมีอำนาจเป็นความถูกต้อง และประโยชน์ของตนเป็นความยุติธรรม
ความยุติธรรมและเป็นของใหม่ เพิ่งเกิดขึ้นในโลก เมื่อเกิดปราณนา การอยู่เติบ กินเติบกัน ขึ้นมาแล้วเท่านั้น
สำหรับการเมืองภายในประเทศนั้น ลัทธิฝ่ายอภิชนาธิปไตย นับตั้งแต่ราชาธิปไตย ลงมา ก็คือการสงวน การอยู่เติบ กินเติบ ไว้สำหรับคนบางชั้น บางพวก และลัทธิฝ่ายประชาธิปไตย ก็คือ การยื้อแย่ง เอาการอยู่เติบ กินเติบนั้นมาเฉลี่ยกันให้ทั่วถึง
เผด็จการกับประชาธิปไตย จึงไม่มีความหมายอันแตกต่างอะไรกัน เพราะเป็นการจัดเพื่อให้ฝ่ายของตน ได้มาซึ่งการอยู่เติบ กินเติบ นั้นเอง แหละประชาธิปไตยนั้น เมื่อถึงคราวที่จะแสดงบทบาทอันจริงจังขึ้นมา ก็ได้มอบกำลังและอำนาจ ให้คนคนหนึ่ง หรือกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง มีอำนาจเด็ดขาด และนั้นก็คือ เผด็จการนั้นเอย แล้วเหตุการณ์ ก็เป็นไปตามอำนาจ กิเลส ของผู้มีอำนาจ จึงเห็นได้ว่า ที่แท้นั้นก็คือ กิเลสาธิปไตยต่างหาก ที่บังคับกลุ่มชนให้เป็นไป
ในวงประชาธิปไตยนั้นเล่า ถ้าเป็นการปฏิวัติที่แย่งการอยู่เติบ กินเติบ มาจากอภิชนาธิปไตย ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่ถ้าใครเกิดการปฏิวัติ เพื่อยื้อแย่ง การอยู่เติบ กินเติบ ไปจากชนชั้นที่ครองอำนาจนั้น ไปแยกกระจายให้ทั่วถึง คนชั้นต่ำ โดยทั่วไป โลกสมัยนี้ยังถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด หรือเป็นอาชญากรรมที่เดียว (เช่น พวกเสรีประชาธิปไตย กำลังกล่าวหาพวกคอมมิวนิสต์อยู่?)
จึงเห็นได้ว่า อำนาจยังเป็นความยุติธรรมอยู่
สำหรับการเมืองระหว่างประเทศนั้น เป็นการใช้อุบาย เพื่อป้องกันรักษาการอยู่เติบ กินเติบ ของตน หรือลักล้วงแย่งชิงเอาของผู้อื่นมา พร้อมกันไปในตัว ในกรณีเช่นนี้ เผด็จการหรือประชาธิปไตย ย่อมสูญสิ้นความหมายไปด้วยกัน คงอยู่แต่ว่าวิธีใด ให้สำเร็จ ความประสงค์ของตนแล้ว ย่อมใช้วิธีนั้น จะขัดปลอก ว่าประชาธิปไตย หรือเผด็จการ ก็ล้วนแต่ไร้ความหมาย
ฉะนั้น การเมือง จึงมิใช่สิ่งที่สามารถจัดโลก ให้มีสันติภาพ ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์สะอาด ความสว่างไสวแจ่มแจ้ง และความสงบเยือกเย็น อันแท้จริง
เป็นอย่างไร ครับ 55 ปี ผ่านไปแล้ว หากนำเอา หลักคิดของท่านพุทธทาส มาอธิบายในเหตุการณ์ในสังคมไทย ปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่า ยังอยู่ในวังวนเมื่อ 50 กว่าปี
การปฏิวัติล่าสุดเมื่อ 19 กันยา ก็คือการยื้อแย่ง การอยู่เติบ กินเติบ จากระบอบของคุณทักษิณ มาแบ่งปันกันเองในหมู่พวกสังคมของชนชั้นสูง
หาใช่เป็นการยื้อแย่ง การอยู่เติบ กินเติบ ไปจากชนชั้นที่ครองอำนาจในขณะนั้น ไปแยกกระจายให้ทั่วถึงกับประชาชน โดยทั่วไป
ดังนั้น วันนี้เราจะไปหวังอะไร
อย่าเพ้อฝัน หันมาทบทวนสรุปบทเรียนกันเถอะ
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพึ่งตนเอง กองกำลังของพันธมิตร ต้องแปรเปลี่ยน เป็นกองกำลังสู้รบ ที่มีปัญญาเป็นอาวุธ ยึดมั่นแนวทาง นโยบายที่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประชาชน ในนามกองกำลังยามเฝ้าแผ่นดิน
มาเถอะ พวกเราสลัดความเบื่อหน่าย ท้อแท้
สร้างขวัญกำลังใจ ปลุกจิตสำนึกรับใช้ประชาชน
รวมพล จัดหมู่ ตรวจแถว ติดอาวุธทางปัญญา สร้างการนำรวมหมู่
แล้วประกาศก้องพร้อมกัน ให้สะท้านฟ้า สะเทือนแผ่นดิน
ว่า
เราจะสู้ เราจะสร้างสรรค์แผ่นดินของเรา เพราะแผ่นดินนี้เป็นของเรา
เราคือผู้สร้างแผ่นดิน เราคือผู้เลี้ยงแผ่นดิน
เราจะจัดการระบอบสังคมใหม่ ด้วยมือของเราเอง
ถึงวันนั้น เราจะเอาการอยู่เติบ กินเติบ มาปันส่วนแบ่งปันให้กับพี่น้องคนไทยทุกคน อย่างเสมอภาคเท่าเทียม