xs
xsm
sm
md
lg

ใครคือโจร ใครคือพระ? องคุลิมาล, ทักษิณ, สุรยุทธ์

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

.
13 เมษายน 2550 หลังจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีได้ออกจากโรงพยาบาลเพราะใช้เวลาตรวจสุขภาพเป็นเวลาหลายวันจนประชาชนหลงเข้าใจผิดหลงเป็นห่วงนึกไปว่าได้ล้มป่วยด้วยโรคภัยร้ายแรง

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวด้วยการแสดงธรรมเทศนาเกี่ยวข้องกับหลักสมานฉันท์เอาไว้อย่างน่าสนใจ

“ผมคิดว่า คำเปรียบเทียบว่า พระกับโจรอยู่ด้วยกันไม่ได้นั้น ตนคิดว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ในหลักพุทธศาสนานั้น พระจะให้อภัยโจร พยายามพูดให้โจรกลับใจ พระพุทธเจ้าสอนองคุลิมาลให้กลับใจ จนสามารถบรรลุนิพพานได้”

“พระอยู่กับโจรได้”
อาจจะหมายความว่า “พล.อ.สุรยุทธ์ อยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณได้” เพราะ ขนาดพระพุทธเจ้ายังสามารถสอนโจรอย่างองคุลิมาลกลับใจจนสามารถบรรลุนิพพานได้ อาจจะเป็นการย้อนถามว่า ทำไมคนอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จะพยายามพูดให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับใจไม่ได้

แต่ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เทียบไม่ได้กับองคุลิมาล และ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เทียบไม่ได้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“องคุลิมาล” ชื่อเดิมคือ “อหิงสกะ” เป็นผู้มีความประพฤติดีนอบน้อมถ่อมตน ขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ยังเยาว์วัย ต่อมาถูกอาจารย์วางแผนกำจัดเพราะหลงเชื่อในศิษย์คนอื่นๆ ที่เกิดความริษยา

องคุลิมาลจึงถูกอาจารย์หลอกว่าถ้าจะสำเร็จวิชาให้ไปฆ่าคนที่ไม่ได้บูชาเทพบนสวรรค์โดยให้เอานิ้วมือขวามาพันนิ้วเพื่อเป็น “ค่าบูชาครู” อาจารย์คิดว่า เมื่อองคุลิมาลไปฆ่าคนเหล่านั้น คงพลาดท่าถูกคนใดคนหนึ่งฆ่าเสียก่อน

องคุลิมาลซ่อนตัวเพื่อดักฆ่าคนในป่าแล้วตัดนิ้วหัวแม่มือมาคล้องที่คอเพื่อให้จำได้ว่าฆ่าไปกี่คนแล้ว เหตุนี้เอง อหิงสกะจึงได้รับสมญานามว่า องคุลิมาล จนครบ 999 คน และเกือบจะฆ่ามารดาตัวเองเป็นคนสุดท้าย

พระพุทธองค์เสด็จกลับจากบิณฑบาตเวลาบ่าย เสด็จดำเนินไปตามทางที่มีโจรองคุลิมาลอยู่ เด็กเลี้ยงโคทั้งหลาย รู้ว่าพระพุทธองค์จะเสด็จดำเนินไปทางนั้น พากันมาห้ามไว้ แต่พระองค์ก็ยังเสด็จดำเนินไป

องคุลิมาลเห็นพระพุทธองค์ จึงถือดาบวิ่งไล่หมายจะฆ่าเอานิ้วให้ครบหนึ่งพันนิ้ว พระพุทธองค์เสด็จดำเนินด้วยพระบาทไปตามปกติ ทรงใช้อิทธิฤทธิ์บันดาลให้มีเหว หลุมบ่อ ภูเขา ป่าไม้ขวางหน้า ทำให้องคุลิมาลไล่ไม่ทัน จึงร้องตะโกนว่า “หยุด สมณะ หยุด”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านสิจงหยุด”

องคุลิมาล ขัดใจว่า ทำไมสมณะพูดเท็จว่า หยุดแล้ว ทั้งๆ ที่เดินไปอยู่ จึงกล่าวว่า เราทราบว่า สมณศากยบุตรพูดคำจริง มั่นใจสัจจะ แต่ทำไมสมณะนี้เดินอยู่ ยังพูดว่าเราหยุดแล้ว

พระพุทธองค์ตรัสว่า เราหยุดเบียดเบียนทำลายชีวิตสัตว์แล้ว ท่านควรจะหยุด องคุลิมาลได้ยินก็สะดุดใจ วางอาวุธเข้าไปกราบแทบพระบาท ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ และขอบวช พระพุทธองค์ประทานอุปสัมปทาให้แล้ว

พระองคุลิมาล บำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างเข้มงวดอยู่ในป่า ได้บรรลุพระอรหันต์ในเวลาต่อมา พระองคุลิมาล ถูกชาวบ้านขว้างด้วยก้อนดิน ท่อนไม้ ก้อนกรวด ขณะออกบิณฑบาต ศีรษะแตก เลือดไหลอาบ บาตรแตก สังฆาฏิฉีกขาด

พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสให้อดทนว่า:

“นี่เป็นผลแห่งกรรมที่เธอก่อไว้ กรรมที่จะให้ท่านไปใช้กรรมในนรกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี แต่ท่านก็ได้ชดใช้แล้วในปัจจุบันชาตินี้”

ไม่นานพระองคุลิมาลก็นิพพาน!!!

องคุลิมาล ไม่ได้ชั่วเพราะสันดาน เพราะถูกหลอกเชื่อไปตามอาจารย์ เมื่อดวงตาเห็นธรรมก็บวชเป็นพระสงฆ์จนเป็นพระอรหันต์ แต่ก็ยังต้องชดใช้กรรมถูกทำร้ายร่างกาย และสามารถเข้าสู่นิพพานได้ในท้ายที่สุด

ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เหมือนองคุลิมาล พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกล่าวหาในการกระทำผิดหลายเรื่อง ได้แก่ การมีผลประโยชน์ทับซ้อน การหลบเลี่ยงภาษี กระทำผิดจริยธรรมในการบริหารประเทศ เอื้อผลประโยชน์ให้ครอบครัวและญาติพี่น้อง ตระบัดสัตย์ ทำให้ประเทศชาติเกิดความแตกแยก แทรกแซงองค์กรอิสระจนขบวนการตรวจสอบพิกลพิการ และมีพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งหมดนี้มีการกล่าวหากันในสังคมอย่างกว้างขวางว่าเป็นการกระทำที่ได้ไตร่ตรองวางแผนเอาไว้แล้วอย่างเป็นขั้นตอน

ส่วนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปฏิบัติธรรมจนตรัสรู้ ปฐมเทศนา เป็นพระศาสดาของพุทธศาสนา สามารถที่จะรู้ได้ว่าใครมีศักยภาพเพียงพอที่จะบรรลุโพธิญาณ และสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์รู้จิตของแต่ละคนว่าจะหยุดทำชั่วและบรรลุธรรมได้อย่างไรในการเทศน์ให้กับถูกกับจิตของคนคนนั้น

คนอย่างองคุลิมาล หยุดทำชั่วได้ก็ต้องได้รับฟังการเทศน์จากระดับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ฟังเทศน์จากพระอรหันต์โดยทั่วไป

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าและไม่ใช่ทั้งพระอรหันต์ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมได้ในระดับพระพุทธเจ้า การนำไปเปรียบเทียบกรณีตัวเองกับพ.ต.ท.ทักษิณ กับกรณีของพระพุทธเจ้ากับองคุลิมาล จึงเป็นคนละเรื่องกัน

พล.อ.สุรยุทธ์ แค่ได้ถูกขนานนามว่าเป็นเพียงแค่ “ฤาษีเลี้ยงเต่า” ที่ใส่เกียร์ว่างเท่านั้น!!!

พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้แสดงความสำนึกผิดและบวชเพื่อบรรลุพระธรรม


ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไม่น่าที่จะนิพพานในชาตินี้ด้วย

แต่คนอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็สามารถอ้างหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่อมาเอามาใช้ในการหาความชอบธรรมให้กับประโยชน์เป้าหมายทางการเมืองของตัวเองด้วยกันทั้งคู่

17 กรกฎาคม 2549 ในช่วงที่การเมืองของรัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ในช่วงขาลงเพราะถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อบ้านเมืองมากมายจนเกิดวิกฤต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดที่วัดธรรมกายต่อหน้าศาสนิกชนหลายศาสนาว่า:

“ต้องไม่ยึดติดว่าว่าเป็นตัวกูของกู ทำให้เกิดความแตกแยก โดยยึดหลักความสมานฉันท์แบบพุทธศาสนา ใช้พรหมวิหาร 4 ใช้ความเมตตาเป็นหลัก”

13 เมษายน 2550
ในช่วงที่การเมืองของรัฐบาลชุดปัจจุบันอยู่ในช่วงขาลงเช่นกัน แต่เป็นเพราะถูกกล่าวหาว่าใส่เกียร์ว่างและไม่แก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้สัมภาษณ์ต่อหน้าสื่อสารมวลชนแสดงธรรมว่า

“พระพุทธเจ้าสอนองคุลิมาลให้กลับใจ จนสามารถบรรลุนิพพานได้นั้นเป็นสิ่งที่สอนได้อย่างดีว่า ในศาสนาพุทธนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้ทุกคนมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งควรนำไปใช้ในการดำรงชีวิต และแก้ไขปัญหาของตัวเอง”

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อ้างหลักธรรมพรหมวิหาร 4 เพียงเพื่อให้ทุกฝ่ายหยุดโจมตีตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตามหลักพรหมวิหาร 4 และกระทำความผิดต่อการปกครองบ้านเมือง

ในทางตรงกันข้าม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็อ้างหลักธรรมพรหมวิหาร 4 เพื่อให้หลายฝ่ายหยุดโจมตีตัวเองที่ไม่ได้ทำอะไรในการแก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติเช่นกัน

การส่งสัญญาณว่า “โจร” กับ “พระ” อยู่ด้วยกันได้ จึงเป็นการส่งสัญญาณที่มีความชัดเจนที่อาจทำให้เกิดความเชื่อได้ว่า พล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมที่จะอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เสมือนว่าจะปล่อยให้ทักษิณกลับมาในประเทศโดยไม่ต้องรับผลแห่งกรรมที่ตัวเองได้ทำลงไป

เมื่อหัวหน้ารัฐบาลเป็นเช่นนี้ คณะรัฐมนตรีก็ต้องใส่ “เกียร์ว่าง” วางเฉยตามเช่นกัน ข้าราชการก็ใส่เกียร์ว่างตามกันทั้งขบวน กระบวนการตรวจสอบของ คตส.ก็คงจะไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเพราะรัฐบาลชุดนี้อยากสมานฉันท์กับรัฐบาลชุดที่แล้ว

“ความสมานฉันท์” แปลว่าความพร้อมใจพอใจในสิ่งเดียวกัน หากเกิดขึ้นระหว่าง “พระ” กับ “โจร” ได้ ก็ต้องแปลว่าต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนใจ

“โจร” อยากสมานฉันท์กับ “พระ” ถ้าโจรนั้นกลับใจสำนึกผิด อย่างน้อยต้องเริ่มด้วยการยอมรับผิด ขอโทษต่อการกระทำความผิด คืนทรัพย์สินที่ปล้นมา และยอมรับโทษทัณฑ์ทางกฎหมายต่อความผิดนั้นอย่างไม่ขัดขืน หากไม่ใช่เงื่อนไขเหล่านี้ ก็แปลว่า “โจร” อยากได้ “พระ” มาเป็นพวกเพื่อสร้างอำนาจและอิทธิพลเพียงเพื่อที่จะไม่ต้องรับโทษในการกระทำความผิดของโจรเท่านั้น

ส่วนคนที่หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็น “พระ” อยากสมานฉันท์กับ “โจร” เมตตาต่อโจรอยากให้โจรมีความสุขบนความชั่ว, กรุณาต่อโจรไม่อยากให้โจรได้รับทุกข์จากการทุจริต, มุทิตาต่อโจรในความร่ำรวยของโจรจากการปล้นชาติ แล้วยังวางอุเบกขาวางเฉยไม่ทำอะไรอีก โดยอ้างว่าเพื่อความสมานฉันท์

คนคนนั้นก็ไม่ควรมาเสนอหน้าทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองในยามที่วิกฤตมีโจรเต็มบ้านเมือง!!!

กำลังโหลดความคิดเห็น