.
ได้อธิบายมาเป็นลำดับแล้วว่าประเทศไทยไม่เคยสร้างระบอบประชาธิปไตย (Democratic Regime) พวกเขาสร้างแต่รัฐธรรมนูญ (Constitution) กับระบบรัฐสภา (Parliamentary System) แล้วบิดเบือน โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ผู้ปกครองไทยนับแต่คณะรัฐประหารคณะแรกที่เรียกตัวเองว่าคณะราษฎร์ ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เมื่อ 24 มิถุนายน พ. ศ. 2475 คณะราษฎร์นี้มีความมุ่งหมายอย่างแรงกล้าที่ให้มีธรรมนูญการปกครอง ตามหลักฐานที่ปรากฏ โดยคณะราษฎร์มีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความตอนหนึ่งว่า ...คณะราษฎร์ไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน... ผู้เขียนจะไม่ตำหนิคณะราษฎร์ เพราะท่านไม่ได้โกหก และบิดเบือนว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย
แต่ต่อมาคณะผู้ปกครองรุ่นหลังๆ ต่างก็บิดเบือนว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันแท้ที่จริงที่ปรากฏคือคณะผู้ปกครองไทยชุดแล้วชุดเล่า ไม่เคยสักครั้งเดียวที่จะมีสร้างระบอบประชาธิปไตย พวกเขาโง่งมงายอยู่ในวังวนในวงจรนรกยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยโฆษณาชวนเชื่อว่าการสร้างรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือการสร้างระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง มีแต่คณะผู้ปกครองไทยประเทศเดียวในโลกเท่านั้นที่โง่งมงาย และบิดเบือนโฆษณาชวนเชื่อให้เชื่ออย่างนั้น เช่น ผู้ปกครองในอดีตได้สร้าง อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ ใหญ่ขึ้นกลางใจเมืองกรุงเทพมหานครแล้วตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และต่างก็หลงใหล โง่เขลาเบาปัญญาเชื่อตามคำโฆษณาชวนเชื่ออย่างผิดๆ อย่างไม่ได้ฉุกคิดกันเลย แต่คนมีปัญญา คนรู้จริงหาได้เชื่อเช่นนั้นไม่
กระทั่งคำว่าประชาธิปไตยกลายเป็นของวิเศษ เท่ห์ เก๋ จะเห็นได้จากปรากฏการณ์การเมืองไทย ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในลัทธิอะไร ต่างก็เรียกตัวเองว่ากลุ่มประชาธิปไตยทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่ออำพรางตัวเอง ดุจสุนัขจิ้งจอกคลุมด้วยเสื้อประชาธิปไตย ดังตัวอย่าง
พรรคคอมมิวนิสต์ก็เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย บางกลุ่มคนเคยเข้าป่าเข้าร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว แต่ก็เรียกตัวเองว่า สมาพันธ์ประชาธิปไตย
คณะรัฐประหารก็เรียกตัวเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มพีทีวี ทั้งๆ ที่กลุ่มเหล่านี้เคยร่วมและสนับระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญหรือระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา เป็นผลให้เกิดนายกฯ ทรยศ ทรราชโกงชาติจนอยู่ในแผ่นดินไม่ได้ถึงวันนี้ ส่วนพรรคการเมืองต่างๆ ในระบอบเผด็จการระบบรัฐสภาต่างก็มีนโยบาย “พรรค...มีนโยบายยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย...” พวกเขาเหล่านี้ล้วนต่างหลงใหล มัวเมาเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย คือหลงผิดเข้าใจระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ในท้ายที่สุดก็ทำให้ประเทศชาติและประชาชนเข้ารกเข้าพงลงเหวทุกทีไปอย่างซ้ำซาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายดังถูกสาบ
ผู้ปกครองชุดนี้โดย คมช. ก็ดี รัฐบาลก็ดี สมช. ก็ดี คณะยกร่างรัฐธรรมนูญก็ดี ยังโง่งมงาย หลับใหล ยังเอาหัวเดินต่างเท้า โดยไม่ฉุกคิดกันบ้างเลยหรือ ทั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่านักวิชาการรัฐศาสตร์ของประเทศไทยนั้นล้มเหลวอย่างสุดๆ เห็นทีจะต้องเผาตำราทิ้งเสียให้หมดกระมัง
อีกประเด็นหนึ่ง คณะ ส.ส.ร. ชุดนี้บางคนเป็นนักวิชาการรัฐศาสตร์ที่ไม่รู้จักประเทศของตัวเอง ประเทศไทยเป็นประเทศราชอาณาจักร (Kingdom) ไม่ใช่เป็นประเทศสาธารณรัฐ (Republic) เช่น พวกเขาพูดว่า “รัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น” เป็นศัพท์รัฐศาสตร์ของประเทศสาธารณะรัฐ นักวิชาการคนนั้นจึงพูดผิด อธิบายผิดที่ ผิดทาง ผิดประเทศ ประเทศไทยไม่มีคำว่ารัฐบาลกลาง และคำว่ารัฐบาลท้องถิ่น เพราะเป็นรัฐเดี่ยวและเป็นประเทศราชอาณาจักร
แท้จริงมีแนวคิดสาธารณรัฐแอบแฝงอยู่ ดังเช่น ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บางมาตรา กำหนดให้ประชาชนในจังหวัดนั้นๆ เช่น จังหวัดภูเก็ต สาม-สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถแสดงประชามติเพื่อปกครองตนเองได้ ถ้ามีอยู่จริง ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองไม่ได้คำนึงถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กันเลย หรือพวกเขาร่วมกันหลอกพระเจ้าแผ่นดิน และถ้าไม่มีการป้องกันอย่างแยบคาย สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจจะล่มสลาย ทั้งนี้เพราะทุกวันนี้พวกตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นตะวันตก ใจเป็นพวกสาธารณะรัฐมันมีอำนาจมากขึ้นทุกที หลายฝ่ายต่างก็วิตก และควรอย่างยิ่งที่ประชาชนผู้รักชาติทั้งหลาย จะได้สังเกตไว้บ้าง อย่าได้ประมาท อาจจะสิ้นชาติ สิ้นสถาบันโดยไม่รู้ตัว
ในอีกปรากฏการณ์หนึ่งประชาชนกำลังเสื่อมถอยจากพระสัจธรรมคำสอนลงอย่างน่าใจหาย ทั้งนี้เพราะศาสนาพุทธ พระสงฆ์ และชาวพุทธทั้งหลาย ตกอยู่ใต้ระบอบเผด็จการ 2 รูปแบบมายาวนานร่วม 75 ปีแล้ว สมดังอุปมา ปลาย่อมได้รับพิษร้ายจากน้ำเน่าฉันใด ประชาชนไทย ก็ย่อมจะได้รับพิษร้ายจากระบอบเผด็จการ ฉันนั้น
ชาวไทยที่อ้างตนเองว่าเป็นชาวพุทธ แต่กำลังหลงใหล โง่งมงาย วัตถุเครื่องรางของขลังอย่างน่ารังเกียจที่สุด ท่านกำลังหลงทาง ถูกหลอก ถูกต้ม อีกด้านหนึ่งก็น่าเห็นใจผู้คนเหล่านั้น มันแสดงให้เห็นว่าสถาบันพระพุทธศาสนาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะผู้อ้างตนว่าเป็นพระสงฆ์ นับตั้งแต่สมเด็จทั้ง 9 รูป เถรสมาคม พระที่มีสมณศักดิ์ ถ้าไม่รู้จักตักเตือน ห้าม เจ้าอาวาสต่างๆ ล้มเหลวสุดๆ (ยกเว้นพระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุต ปยุตโต) และพระพรหมจริยา (หลวงพ่อปัญญา วัดชลประทานฯ) ท่านทั้งสองไม่เคยทำวัตถุมงคลหลอกต้มชาวบ้าน และภิกษุทั้งหลายที่ไม่ทำวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังทั้งหลาย)
ทำไมเถรสมาคม ปล่อยให้เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ทั่วประเทศร่วมกันหลอกต้มประชาชน โดยร่วมมือกับนายทุนผู้ผลิตเครื่องรางของขลัง เป็นเดรัจฉานวิชา หลอกต้มประชาชน เป็นการหาเงินจากประชาชนผู้โง่เขลา มันเป็นการทำบาปอย่างร้ายกาจที่สุดอีกอย่างหนึ่ง พวกอลัชชีพวกนี้มันได้ทั้งเงิน ยศสมณศักดิ์ และอำนาจ ก็ยิ่งเพิ่มกำลังอำนาจทำให้ประชาชนโง่งมงายมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทำให้นึกถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ได้ทำการสึก นักบวชอลัชชี (ผู้ไม่อาย)ไปหลายหมื่นรูป
พวกขบวนการวัตถุเครื่องของขลังจอมปลอมเหล่านั้น มันร้ายกาจมาก เพราะมีการโฆษณาชวนเชื่ออ้างสรรพคุณต่างๆ นานา เช่น จตุคามรามเทพโกหกพกลมหลอกต้มทั้งนั้น รุ่นรวยหมื่นล้าน รุ่นรวยไม่เลิก รุ่นมึงมีกูไว้จะไม่จน รุ่นอภิมหาเศรษฐี อัญมณีเสริมดวง ฯลฯ ถ้าเป็นจริงตามที่อวดอ้างรับรองคนไทยไม่มีจน ทั่วโลกไม่จน อยู่ดีมีสุขกันถ้วนหน้า จะไม่มีสงคราม ปัญหาภาคใต้จะไม่มี การปล้น จี้ ฆ่า ข่มขืน อาชญากรรมทั้งหลายจะหมดไปสิ้น
แต่มันไม่จริง มันเป็นของลวง ของหลอก มันเป็น การส่งเสริมให้คนโลภ คนทำก็โลภ คนที่หลงงมงายเป็นมิจฉาศรัทธาก็โลภ ขบวนการเหล่านี้จึงเป็นขบวนการนรกนี่เอง ความโลภคือสภาวะความเป็นเปรต ความหลงคือสภาวะความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ความกลัวคือสภาวะความเป็นอสุรกาย ความโกรธคือสภาวะสัตว์นรก เกิดขึ้นครอบงำจิตใจ ไอ้พวกนักบวช (ไม่สมควรที่จะเรียกว่าพระสงฆ์) ภายใต้ระบอบเผด็จการจึงกลายเป็นอลัชชี ซึ่งไม่ต่างไปจากนักการเมืองโกงชาติ ต่างก็ตกนรกเช่นเดียวกัน
ขอให้ชาวพุทธรู้แจ้งโดยธรรมตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า วัตถุทุกชนิดมีลักษณะเป็นกลาง คือไม่บวก ไม่ลบ ไม่ดี ไม่ร้าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้นำไปใช้อย่างไร ขึ้นอยู่กับความโง่ หรือฉลาด ใช้อย่างมีปัญญา หรือใช้อย่างอวิชชา กิเลส ตัณหา ยกตัวอย่างเช่น มีด มันก็อยู่ของมันเฉยๆ เอาไปปอกผลไม้เพื่อรับประทานก็เป็นคุณ นำไปแทงทำร้ายผู้อื่นก็จะกลายเป็นอาวุธโดยทันที
วัตถุเครื่องของขลังวางไว้ตรงหน้าแล้วสั่งให้เลื่อน ให้สั่น มันเลื่อนไม่ได้ มันสั่นไม่ได้ เอาค้อนทุบมัน มันก็ไม่โวยวาย เพราะวัตถุมีค่าเป็นกลางๆ จะเห็นได้ว่าสู้ลูกๆ หลานๆ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมเกิดแก่ เจ็บ ตาย ของท่านไม่ได้ ที่สามารถทำโน่นทำนี่ให้ได้ ไปซื้อข้าวผัด โอเลี้ยงได้ ฯลฯ นี่ซิศักดิ์สิทธิ์จริง
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ การสอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์ เช่น การไม่ฆ่าเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม การไม่พูดโกหก การไม่พูดส่อเสียด การไม่พูดคำหยาบ การไม่พูดเพ้อเจ้อ การไม่โลภอยากได้ของเขา การไม่พยาบาทคิดปองร้าย การเห็นถูกต้องตามคลองธรรม กุศลกรรมบถ 10 ข้อนี้ ครอบคลุมทางกาย 3 วาจา4 และทางใจ 3 ขอรับรองว่าธรรมทั้ง 10 ข้อนี้ ถ้าใครปฏิบัติได้จริงรับรองว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง เพราะทำให้จิตใจดี เป็นปัจจัยให้คิดดี พูดดี ทำดี ประกอบอาชีพดี มีความเพียรดี มีความระลึกดี มีความตั้งใจมั่นดีในท้ายที่สุด ก็ประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกง ไม่ต้องตกนรก
ขอให้ชาวพุทธได้ทราบว่า พระภิกษุ พระสงฆ์ ที่เป็นพุทธสาวกที่แท้จริงขั้นต่ำสุด คือพระโสดาบัน จะมีปัญญารู้แจ้งจากการวิปัสสนา เชื่อมั่นในพระสัจธรรมคำสอน เชื่อมั่นในความดีสูงสุด ประเสริฐสุด สุดยอดที่สุดอยู่ในมนุษยชาติแล้วทุกคน เชื่อมั่น เมตตาในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ต้องเสาะแสวงหาจากวัตถุภายนอกใดๆ มายึดเหนี่ยวจิตใจอีกเลย พระอริยะสงฆ์จะไม่ทำวัตถุมงคล เพื่อหลอก เพื่อลวงเพื่อมนุษย์ด้วยกันอย่างเด็ดขาด ส่วนผู้ที่อ้างตัวเป็นภิกษุก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ถ้ายังทำเดรัจฉานวิชา อ้างว่าเป็นพุทธาภิเษก เอาพระพุทธศาสนาบังหน้า หากินด้วยการปลุกเสกต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นพวกนอกรีต เป็นพวกเปรตหัวโล้นห่มเหลือง หาใช่พุทธสาวกที่แท้จริงไม่
การทำเหรียญวัตถุมงคล พระพุทธเจ้า พระมหากษัตริย์ผู้เป็นมหาราช ก็ถือทำขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงพระสัจธรรมคำสอนและให้ระลึกถึงคุณงามความดีที่ทรงเสียสละอันยิ่งใหญ่จะได้เจริญรอยตาม
พิสูจน์ด้วยกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายเสื่อม จะเห็นได้ว่า เหตุเพราะระบอบการเมืองเผด็จการ (เลว) มายาวนาน เป็นปัจจัยให้รัฐบาล รัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครับครัว บุคคล และส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดต้องเสื่อมไปด้วยนั่นเอง แม้นักบวชก็ไม่เว้น จึงต้องช่วยกันรีบเร่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อันเป็นแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของแผ่นดิน คือระบอบเผด็จการนั่นเอง
ได้อธิบายมาเป็นลำดับแล้วว่าประเทศไทยไม่เคยสร้างระบอบประชาธิปไตย (Democratic Regime) พวกเขาสร้างแต่รัฐธรรมนูญ (Constitution) กับระบบรัฐสภา (Parliamentary System) แล้วบิดเบือน โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ผู้ปกครองไทยนับแต่คณะรัฐประหารคณะแรกที่เรียกตัวเองว่าคณะราษฎร์ ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เมื่อ 24 มิถุนายน พ. ศ. 2475 คณะราษฎร์นี้มีความมุ่งหมายอย่างแรงกล้าที่ให้มีธรรมนูญการปกครอง ตามหลักฐานที่ปรากฏ โดยคณะราษฎร์มีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความตอนหนึ่งว่า ...คณะราษฎร์ไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน... ผู้เขียนจะไม่ตำหนิคณะราษฎร์ เพราะท่านไม่ได้โกหก และบิดเบือนว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย
แต่ต่อมาคณะผู้ปกครองรุ่นหลังๆ ต่างก็บิดเบือนว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันแท้ที่จริงที่ปรากฏคือคณะผู้ปกครองไทยชุดแล้วชุดเล่า ไม่เคยสักครั้งเดียวที่จะมีสร้างระบอบประชาธิปไตย พวกเขาโง่งมงายอยู่ในวังวนในวงจรนรกยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยโฆษณาชวนเชื่อว่าการสร้างรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือการสร้างระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง มีแต่คณะผู้ปกครองไทยประเทศเดียวในโลกเท่านั้นที่โง่งมงาย และบิดเบือนโฆษณาชวนเชื่อให้เชื่ออย่างนั้น เช่น ผู้ปกครองในอดีตได้สร้าง อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ ใหญ่ขึ้นกลางใจเมืองกรุงเทพมหานครแล้วตั้งชื่อว่า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และต่างก็หลงใหล โง่เขลาเบาปัญญาเชื่อตามคำโฆษณาชวนเชื่ออย่างผิดๆ อย่างไม่ได้ฉุกคิดกันเลย แต่คนมีปัญญา คนรู้จริงหาได้เชื่อเช่นนั้นไม่
กระทั่งคำว่าประชาธิปไตยกลายเป็นของวิเศษ เท่ห์ เก๋ จะเห็นได้จากปรากฏการณ์การเมืองไทย ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในลัทธิอะไร ต่างก็เรียกตัวเองว่ากลุ่มประชาธิปไตยทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่ออำพรางตัวเอง ดุจสุนัขจิ้งจอกคลุมด้วยเสื้อประชาธิปไตย ดังตัวอย่าง
พรรคคอมมิวนิสต์ก็เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย บางกลุ่มคนเคยเข้าป่าเข้าร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว แต่ก็เรียกตัวเองว่า สมาพันธ์ประชาธิปไตย
คณะรัฐประหารก็เรียกตัวเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มพีทีวี ทั้งๆ ที่กลุ่มเหล่านี้เคยร่วมและสนับระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญหรือระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา เป็นผลให้เกิดนายกฯ ทรยศ ทรราชโกงชาติจนอยู่ในแผ่นดินไม่ได้ถึงวันนี้ ส่วนพรรคการเมืองต่างๆ ในระบอบเผด็จการระบบรัฐสภาต่างก็มีนโยบาย “พรรค...มีนโยบายยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย...” พวกเขาเหล่านี้ล้วนต่างหลงใหล มัวเมาเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย คือหลงผิดเข้าใจระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ในท้ายที่สุดก็ทำให้ประเทศชาติและประชาชนเข้ารกเข้าพงลงเหวทุกทีไปอย่างซ้ำซาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายดังถูกสาบ
ผู้ปกครองชุดนี้โดย คมช. ก็ดี รัฐบาลก็ดี สมช. ก็ดี คณะยกร่างรัฐธรรมนูญก็ดี ยังโง่งมงาย หลับใหล ยังเอาหัวเดินต่างเท้า โดยไม่ฉุกคิดกันบ้างเลยหรือ ทั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่านักวิชาการรัฐศาสตร์ของประเทศไทยนั้นล้มเหลวอย่างสุดๆ เห็นทีจะต้องเผาตำราทิ้งเสียให้หมดกระมัง
อีกประเด็นหนึ่ง คณะ ส.ส.ร. ชุดนี้บางคนเป็นนักวิชาการรัฐศาสตร์ที่ไม่รู้จักประเทศของตัวเอง ประเทศไทยเป็นประเทศราชอาณาจักร (Kingdom) ไม่ใช่เป็นประเทศสาธารณรัฐ (Republic) เช่น พวกเขาพูดว่า “รัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น” เป็นศัพท์รัฐศาสตร์ของประเทศสาธารณะรัฐ นักวิชาการคนนั้นจึงพูดผิด อธิบายผิดที่ ผิดทาง ผิดประเทศ ประเทศไทยไม่มีคำว่ารัฐบาลกลาง และคำว่ารัฐบาลท้องถิ่น เพราะเป็นรัฐเดี่ยวและเป็นประเทศราชอาณาจักร
แท้จริงมีแนวคิดสาธารณรัฐแอบแฝงอยู่ ดังเช่น ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บางมาตรา กำหนดให้ประชาชนในจังหวัดนั้นๆ เช่น จังหวัดภูเก็ต สาม-สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถแสดงประชามติเพื่อปกครองตนเองได้ ถ้ามีอยู่จริง ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองไม่ได้คำนึงถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กันเลย หรือพวกเขาร่วมกันหลอกพระเจ้าแผ่นดิน และถ้าไม่มีการป้องกันอย่างแยบคาย สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจจะล่มสลาย ทั้งนี้เพราะทุกวันนี้พวกตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นตะวันตก ใจเป็นพวกสาธารณะรัฐมันมีอำนาจมากขึ้นทุกที หลายฝ่ายต่างก็วิตก และควรอย่างยิ่งที่ประชาชนผู้รักชาติทั้งหลาย จะได้สังเกตไว้บ้าง อย่าได้ประมาท อาจจะสิ้นชาติ สิ้นสถาบันโดยไม่รู้ตัว
ในอีกปรากฏการณ์หนึ่งประชาชนกำลังเสื่อมถอยจากพระสัจธรรมคำสอนลงอย่างน่าใจหาย ทั้งนี้เพราะศาสนาพุทธ พระสงฆ์ และชาวพุทธทั้งหลาย ตกอยู่ใต้ระบอบเผด็จการ 2 รูปแบบมายาวนานร่วม 75 ปีแล้ว สมดังอุปมา ปลาย่อมได้รับพิษร้ายจากน้ำเน่าฉันใด ประชาชนไทย ก็ย่อมจะได้รับพิษร้ายจากระบอบเผด็จการ ฉันนั้น
ชาวไทยที่อ้างตนเองว่าเป็นชาวพุทธ แต่กำลังหลงใหล โง่งมงาย วัตถุเครื่องรางของขลังอย่างน่ารังเกียจที่สุด ท่านกำลังหลงทาง ถูกหลอก ถูกต้ม อีกด้านหนึ่งก็น่าเห็นใจผู้คนเหล่านั้น มันแสดงให้เห็นว่าสถาบันพระพุทธศาสนาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะผู้อ้างตนว่าเป็นพระสงฆ์ นับตั้งแต่สมเด็จทั้ง 9 รูป เถรสมาคม พระที่มีสมณศักดิ์ ถ้าไม่รู้จักตักเตือน ห้าม เจ้าอาวาสต่างๆ ล้มเหลวสุดๆ (ยกเว้นพระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุต ปยุตโต) และพระพรหมจริยา (หลวงพ่อปัญญา วัดชลประทานฯ) ท่านทั้งสองไม่เคยทำวัตถุมงคลหลอกต้มชาวบ้าน และภิกษุทั้งหลายที่ไม่ทำวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังทั้งหลาย)
ทำไมเถรสมาคม ปล่อยให้เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ทั่วประเทศร่วมกันหลอกต้มประชาชน โดยร่วมมือกับนายทุนผู้ผลิตเครื่องรางของขลัง เป็นเดรัจฉานวิชา หลอกต้มประชาชน เป็นการหาเงินจากประชาชนผู้โง่เขลา มันเป็นการทำบาปอย่างร้ายกาจที่สุดอีกอย่างหนึ่ง พวกอลัชชีพวกนี้มันได้ทั้งเงิน ยศสมณศักดิ์ และอำนาจ ก็ยิ่งเพิ่มกำลังอำนาจทำให้ประชาชนโง่งมงายมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทำให้นึกถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ได้ทำการสึก นักบวชอลัชชี (ผู้ไม่อาย)ไปหลายหมื่นรูป
พวกขบวนการวัตถุเครื่องของขลังจอมปลอมเหล่านั้น มันร้ายกาจมาก เพราะมีการโฆษณาชวนเชื่ออ้างสรรพคุณต่างๆ นานา เช่น จตุคามรามเทพโกหกพกลมหลอกต้มทั้งนั้น รุ่นรวยหมื่นล้าน รุ่นรวยไม่เลิก รุ่นมึงมีกูไว้จะไม่จน รุ่นอภิมหาเศรษฐี อัญมณีเสริมดวง ฯลฯ ถ้าเป็นจริงตามที่อวดอ้างรับรองคนไทยไม่มีจน ทั่วโลกไม่จน อยู่ดีมีสุขกันถ้วนหน้า จะไม่มีสงคราม ปัญหาภาคใต้จะไม่มี การปล้น จี้ ฆ่า ข่มขืน อาชญากรรมทั้งหลายจะหมดไปสิ้น
แต่มันไม่จริง มันเป็นของลวง ของหลอก มันเป็น การส่งเสริมให้คนโลภ คนทำก็โลภ คนที่หลงงมงายเป็นมิจฉาศรัทธาก็โลภ ขบวนการเหล่านี้จึงเป็นขบวนการนรกนี่เอง ความโลภคือสภาวะความเป็นเปรต ความหลงคือสภาวะความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ความกลัวคือสภาวะความเป็นอสุรกาย ความโกรธคือสภาวะสัตว์นรก เกิดขึ้นครอบงำจิตใจ ไอ้พวกนักบวช (ไม่สมควรที่จะเรียกว่าพระสงฆ์) ภายใต้ระบอบเผด็จการจึงกลายเป็นอลัชชี ซึ่งไม่ต่างไปจากนักการเมืองโกงชาติ ต่างก็ตกนรกเช่นเดียวกัน
ขอให้ชาวพุทธรู้แจ้งโดยธรรมตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า วัตถุทุกชนิดมีลักษณะเป็นกลาง คือไม่บวก ไม่ลบ ไม่ดี ไม่ร้าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้นำไปใช้อย่างไร ขึ้นอยู่กับความโง่ หรือฉลาด ใช้อย่างมีปัญญา หรือใช้อย่างอวิชชา กิเลส ตัณหา ยกตัวอย่างเช่น มีด มันก็อยู่ของมันเฉยๆ เอาไปปอกผลไม้เพื่อรับประทานก็เป็นคุณ นำไปแทงทำร้ายผู้อื่นก็จะกลายเป็นอาวุธโดยทันที
วัตถุเครื่องของขลังวางไว้ตรงหน้าแล้วสั่งให้เลื่อน ให้สั่น มันเลื่อนไม่ได้ มันสั่นไม่ได้ เอาค้อนทุบมัน มันก็ไม่โวยวาย เพราะวัตถุมีค่าเป็นกลางๆ จะเห็นได้ว่าสู้ลูกๆ หลานๆ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมเกิดแก่ เจ็บ ตาย ของท่านไม่ได้ ที่สามารถทำโน่นทำนี่ให้ได้ ไปซื้อข้าวผัด โอเลี้ยงได้ ฯลฯ นี่ซิศักดิ์สิทธิ์จริง
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ การสอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์ เช่น การไม่ฆ่าเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม การไม่พูดโกหก การไม่พูดส่อเสียด การไม่พูดคำหยาบ การไม่พูดเพ้อเจ้อ การไม่โลภอยากได้ของเขา การไม่พยาบาทคิดปองร้าย การเห็นถูกต้องตามคลองธรรม กุศลกรรมบถ 10 ข้อนี้ ครอบคลุมทางกาย 3 วาจา4 และทางใจ 3 ขอรับรองว่าธรรมทั้ง 10 ข้อนี้ ถ้าใครปฏิบัติได้จริงรับรองว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง เพราะทำให้จิตใจดี เป็นปัจจัยให้คิดดี พูดดี ทำดี ประกอบอาชีพดี มีความเพียรดี มีความระลึกดี มีความตั้งใจมั่นดีในท้ายที่สุด ก็ประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกง ไม่ต้องตกนรก
ขอให้ชาวพุทธได้ทราบว่า พระภิกษุ พระสงฆ์ ที่เป็นพุทธสาวกที่แท้จริงขั้นต่ำสุด คือพระโสดาบัน จะมีปัญญารู้แจ้งจากการวิปัสสนา เชื่อมั่นในพระสัจธรรมคำสอน เชื่อมั่นในความดีสูงสุด ประเสริฐสุด สุดยอดที่สุดอยู่ในมนุษยชาติแล้วทุกคน เชื่อมั่น เมตตาในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ต้องเสาะแสวงหาจากวัตถุภายนอกใดๆ มายึดเหนี่ยวจิตใจอีกเลย พระอริยะสงฆ์จะไม่ทำวัตถุมงคล เพื่อหลอก เพื่อลวงเพื่อมนุษย์ด้วยกันอย่างเด็ดขาด ส่วนผู้ที่อ้างตัวเป็นภิกษุก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ถ้ายังทำเดรัจฉานวิชา อ้างว่าเป็นพุทธาภิเษก เอาพระพุทธศาสนาบังหน้า หากินด้วยการปลุกเสกต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นพวกนอกรีต เป็นพวกเปรตหัวโล้นห่มเหลือง หาใช่พุทธสาวกที่แท้จริงไม่
การทำเหรียญวัตถุมงคล พระพุทธเจ้า พระมหากษัตริย์ผู้เป็นมหาราช ก็ถือทำขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงพระสัจธรรมคำสอนและให้ระลึกถึงคุณงามความดีที่ทรงเสียสละอันยิ่งใหญ่จะได้เจริญรอยตาม
พิสูจน์ด้วยกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายเสื่อม จะเห็นได้ว่า เหตุเพราะระบอบการเมืองเผด็จการ (เลว) มายาวนาน เป็นปัจจัยให้รัฐบาล รัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครับครัว บุคคล และส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดต้องเสื่อมไปด้วยนั่นเอง แม้นักบวชก็ไม่เว้น จึงต้องช่วยกันรีบเร่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อันเป็นแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของแผ่นดิน คือระบอบเผด็จการนั่นเอง