xs
xsm
sm
md
lg

ยุดเลือกตั้ง ยั้งนองเลือด เชือดรัฐธรรมนูญ

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

.
คนที่เคยเสี่ยงชีวิตสู้เพื่อประชาธิปไตยมาอย่างผม เหตุไฉนจึงเชื่อว่านี่คือข้อสรุปที่ถูกต้องไปได้

ชื่อบทความนี้ เกิดจากสาเหตุที่ผมเขียน “พลเอกสายหยุด ยอดทหารประชาธิปไตยกับการหยุดเลือกตั้ง” ตอนจบผมยิงคำถามไปว่า “หรือว่า ท่านในฐานะยอดทหารประชาธิปไตยจะช่วยผมยุด ไม่ใช่หยุดการเลือกตั้งไว้สักครั้งจนปฏิรูปสำเร็จก่อนจะดีไหม”

พลเอกสายหยุดกรุณาโทร.มา ผมเรียนถามว่า ท่านมีข้อข้องใจหรือต้องการให้ผมแก้ไขอะไรในบทความหรือ ท่านบอกว่าไม่มี มีแต่ว่า อาจารย์กับผมต้องมาช่วยกันหาทางออกให้บ้านเมือง และหาทางลงที่ราบรื่นให้ทหารเขา (หมายถึง คมช.) ดีกว่า

ผมรีบตอบยินดี และพลเอกสายหยุดได้เสนอทางออกคร่าวๆ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นความคิดที่วิเศษ ผมอยากให้สังคมได้ยินจากปากพลเอกสายหยุดเอง

ผมเห็นด้วยกับพลเอกสายหยุดว่าถึงยังไงรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างกันอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ผ่าน ถึงผ่านไปก็จะโดยคว่ำอีก ทีแรกผมตั้งใจจะใส่วลีที่สามของชื่อบทความว่า ยุติการเชือดรัฐธรรมนูญ หมายความว่าเมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้วต่อไปทหารอย่ามายึดอำนาจอีกครั้นได้ฟังพลเอกสายหยุดเข้า ไหนๆรัฐธรรมนูญก็จะคว่ำอยู่ดีแล้ว ทำไมเราไม่ช่วยกันเชือดเร็วๆ เสียเลย จะได้ประหยัดเงินและประหยัดเวลาของแผ่นดิน

ถึงแม้วลีที่หนึ่ง “ยุดเลือกตั้ง” กับวลีที่สาม “เชือดรัฐธรรมนูญ” จะตรงกันข้ามกับความตั้งใจหรือคำประกาศของ คมช. แบบหน้ามือเป็นหลังมือก็สมควรกระทำ เพราะจะเป็นการช่วยให้บ้านเมืองรอดพ้นจากความเสี่ยงนองเลือด และอันตรายจากการคืนชีพของประชาธิปไตยรวมศูนย์แบบใหม่ของทักษิณที่พลเอกสายหยุดรับไม่ได้ เช่นเดียวกับศาล พันธมิตร และสิบล้านเสียงที่ “โหวตโน” ทั่วประเทศไทย

เรื่องสำคัญคือ (1)การเลือกตั้ง การนองเลือด และการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญของ ส.ส.ร. และ (2) การพิสูจน์สี่เหตุแห่งการยึดอำนาจ ทั้งรัฐบาลและ คมช. ยังเข้าใจผิดในเรื่องแรก และยังไม่สำเร็จในเรื่องที่สอง

เมื่อนายกรัฐมนตรีกลับมาจากญี่ปุ่นแล้ว ผมอยากเห็นการปรับตัว 360 องศาของรัฐบาลและคมช. ซึ่งผมคิดว่าจำเป็นยิ่งยวด เว้นแต่ว่าทั้งคู่จะสู้เพื่อประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแต่ปาก แต่การกระทำนั้นตรงกันข้าม

ด้วยเวลามันชักจะมีน้อย และหน้ากระดาษจำกัด ผมขอฟันธงในเรื่องแรกทั้ง 3 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. เราต้องชะลอการเลือกตั้งไว้จนกว่าจะปฏิรูปพรรคการเมืองและระบบการเลือกตั้งเสียก่อน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1.1 การที่นายกฯ ประกาศการเลือกตั้งเดือนธันวาคม ปี 2550 นี้ เป็นเจตนาดี ไม่ยึดติดหรือคิดสืบทอดอำนาจ แต่เป็นความหวังที่ไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะสภาพการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ หรือระหว่างอำนาจใหม่ด้วยกันเองยังไม่ลงตัว กับทั้งพลังประชาชนแต่ละกลุ่มยังมีผลประโยชน์และแนวทางแตกต่างกันอยู่ไม่เป็นเอกภาพ ซ้ำยังถูกตอกลิ่มด้วยสมาชิกพรรคและมวลชนที่เป็นบริวารของทักษิณ ความคืบหน้าหรือคลี่คลายของคดีทักษิณและลูกเมียจะมีผลอย่างมากในการสร้างสถานการณ์ไปสู่จุดขัดแย้งที่การเลือกตั้งจะต้องเลื่อนออกไป

1.2 การเลือกตั้งในบริบทเดิมจะนำไปสู่การผุกร่อนและทำลายสถาบันกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ที่ศาลสั่งเป็นโมฆะและการยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายนปีเดียวกัน เป็นข้อบ่งชี้ว่าเราผ่านวิกฤตมาได้อย่างหวุดหวิด

บริบทเดิมที่ว่านี้คืออย่างไร ก็คือการเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้งที่ใช้รัฐธรรมนูญปี 2521-2535-2540 ทุกครั้งตกอยู่ใต้ระบบพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง เหมือนกัน แก๊งผู้สมัครเลือกตั้งและพรรคที่เป็นแก๊งเลือกตั้งของคนหน้าเดิมๆ เปลี่ยนป้ายเปลี่ยนสังกัดเปลี่ยนยี่ห้อ ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ อยู่ใต้อุ้งมือของอำนาจนิยมเผด็จการหรือทุนนิยม (หัวหน้า) พรรคสลับกัน มีการซื้อเสียงขายเสียงเลือก ซื้อผู้แทนซื้อพรรค ซื้ออำนาจและตำแหน่ง ผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างก็ถูกจองจำไว้ในคุกเหมือนนายเสนาะ เทียนทอง ว่า สภาจึงอยู่ใต้อาณัติของระบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” อย่างสิ้นเชิง

หากผลุนผลันเลือกตั้งใหม่ ผีบุญในเสื้อคลุมตัวใหม่จะยกโขยงกันกลับเข้ามาอีก อย่างนี้หรือคือประชาธิปไตยที่พวกเราต้องการ

1.3 สภาร่างของ คมช.(คุณมีชัย)ในปี 2534 ประกาศเปรี้ยงว่าจะกำจัดหัวหน้าแก๊งนักการเมืองชั่ว 25 นาย ไม่ให้กลับมาสมัครได้อีก นอกจากจะเป็นราคาคุยแล้ว หนึ่งใน25 นายนั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า หากคราวนี้มีการยุบพรรค กวาดกรรมการบริหารลงจากเวทีให้หมด การเมืองไทยจะสะอาดขึ้นทันตาเห็น มันไม่จริงดอกครับ นักสมัครเลือกตั้งเวลานี้มีอยู่สัก 2พันคนเศษ ที่จะผลัดกันตกผลัดกันได้มีอยู่จริงๆไม่เกิน 500 คน ส่วนใหญ่ล้วนแต่เคยถูกซื้อมาแล้ว และพร้อมจะขายตัวเป็นร่างทรงอีก ผู้มีอำนาจแท้จริงก็นั่งชักใยอยู่ข้างนอก ทำทุกอย่างที่เคยทำมาแล้วจนบ้านเมืองเจียนจะพัง

ที่พูดอย่างนี้มิใช่ผมดูถูกผู้แทนราษฎรเหมือนกับผู้มีอำนาจหรือปัญญาชนทั้งหลาย ผมเชื่อว่าผู้แทนดีๆเคยมีมาแล้วในอดีตและจะมีต่อไปในอนาคต แม้แต่จะสร้างสายพันธุ์ขึ้นมาใหม่ก็สร้างได้ แต่เนื่องจากระบบที่มีอยู่เดี๋ยวนี้มันไม่ดี ผู้แทนส่วนใหญ่จึงกลายเป็นขันทีกันหมด

หากไม่แก้ระบบให้ดีแล้ว คนดีก็จะไม่กล้าสมัคร ถึงสมัครเล็ดรอดเข้ามาได้จำนวนหนึ่ง ก็จะถูกระบบบดขยี้จนหมดน้ำยา

การแก้หรือสร้างระบบให้ดีมิใช่สิ่งที่กระทำมิได้ แต่เงื่อนไขแรกที่จะกระทำอย่างนั้นก็คือเราต้องไม่เดินตามกรอบคิดหรือบริบทเดิม (Old Paradigm) อย่างที่เรากำลังทำกันอยู่เดี๋ยวนี้

1.4 เราจะแก้ตัวอย่างไรถ้าหากเรายืดการเลือกตั้งออกไป และเราจะยืดได้นานเท่าไร

ก่อนอื่น ผมขอบอกว่าเสียดายเวลา 6 เดือนที่ผ่านไป เพราะทั้ง คมช. และรัฐบาลเดินทางผิด จึงมีภูมิคุ้มกันน้อย ถูกกดดันและต่อต้านจากกลุ่มอำนาจเก่าและบริวารซึ่งกำหนัดเลือกตั้งก็ดี จากผู้รักประชาธิปไตยที่ไร้เดียงสาก็ดี หรือจากสื่อและรัฐบาลต่างประเทศก็ดี

ผมเชื่อว่าภายในประเทศเราชี้แจงได้ง่ายๆ ว่า การเลือกตั้งเร็วเกินไปจะทำให้เสี่ยงกลับไปสู่ระบอบเก่าที่ทำลายรัฐธรรมนูญ ทำลายสิทธิมนุษยชน คอร์รัปชันโกงกิน ทำลายพระราชอำนาจในหลวง และผุกร่อนโยกคลอนสถาบันกษัตริย์ ฯลฯ

แต่สำหรับต่างประเทศที่ไม่รู้เรื่องและคนไทยที่เข้าใจประชาธิปไตยจริงๆ เราจะต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ ให้เห็นว่า เรากำลังปูพื้นฐานไปสู่ประชาธิปไตยอย่างจริงจัง

ตัวอย่างที่ดีก็มีอยู่แล้ว คือ สมัชชาพระราชทานของในหลวงในปี 2516 กับ ส.ส.ร. จากประชาชนในปี 2539 ผมไม่เข้าใจว่าทำไม คมช. จึงดื้อดึงไปเอาตัวอย่างเลวๆ จากปี 2521 กับปี 2534 มาได้ หน้าไม่อายจริงๆ

ตัวอย่างที่ดีกว่านี้ก็สร้างขึ้นมาได้ถ้าหากรักในหลวงและประชาธิปไตยจริงๆ นั่นก็คือ แนวทางราชประชาสมาสัยที่ผมเสนอมาแล้วหลายครั้ง

คำถามว่านานเท่าไร ผมว่าย่อมขึ้นกับแผนที่อนาคต(Roadmap) กับการจัดอันดับความสำคัญของวาระแห่งชาติโดย คมช. กับรัฐบาล ผมเคยได้ยินทหารอ้างตัวอย่างโปรตุเกส ของเขาทำวันที่ 25 เมษายน 1974 เวลาผ่านตั้ง 33 ปี เราน่าจะฉลาดกว่าเขา ขบวนการกองทัพเพื่อประชาธิปไตยของโปรตุเกสใช้เวลาหนึ่งปีเต็มในการเลือกสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 25 เมษายน 1975 และใช้เวลาอีก 1 ปีในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและเลือกตั้งในวันเดียวกัน คือวันที่ 25 เมษายน 1976 ตั้งแต่นั้นมาประชาธิปไตยโปรตุเกสก็หยั่งรากและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ

2. เราต้องช่วยกันยับยั้งการนองเลือดอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยพฤษภาทมิฬอีก
สังคมไทยเป็นสังคมที่อวดดีและประมาท การต่อสู้ ด้วยกำลังและบางครั้งก็สูญเสียเลือดเนื้อ ผมรู้หรือเดาได้ก่อนอย่างน้อยก็ครึ่งปีทุกครั้ง ถ้าไม่ประมาทเราน่าจะป้องกันได้

ผมพนันกับเลขาธิการพรรคสามัคคีธรรมว่า ถ้าหากพลเอกสุจินดาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจะอยู่ได้ไม่ถึง 3 เดือน เขาหัวเราะเยาะบอกไม่มีทางเพราะ (1) สี่เหล่าทัพเป็นเอกภาพ หนุนนายกฯ ร้อยเปอร์เซ็นต์ (2)สภาผู้แทนเสียงข้างมากเหลือเฟือ(3)วงการธุรกิจโอบอุ้มคุ้มชูนายกฯ เต็มที่ และ (4)สื่อและปัญญาชนเดินเข้าบ้านนายกฯ หัวกระไดไม่แห้ง

นี่คือความประมาท ไม่เคารพเสียงประชาชน และมองไม่เห็นมือล่องหนของ 2 นายพลค่ายปรปักษ์ที่หันมาประสานกันกับม็อบมือถือโค่นรัฐบาล คราวนี้มือล่องหนนายพลน่าจะมีมากกว่าเดิม

ผมเห็นข้อแตกต่างระหว่าง รสช. กับ คมช. ฝ่ายหลังมิได้แสวงหาอำนาจแต่ตกกระไดพลอยโจน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าอยู่อย่างไม่ด่างพร้อยและไม่แอบซ่อนแผนสืบอำนาจ โอกาสนองเลือดอาจจะลดลง แต่เนื่องจากสมการแห่งอำนาจเปลี่ยนไปไม่แน่นอนทั้งอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ กองทัพและตำรวจขาดเอกภาพ ตัวแสดงนอกระบบมีมากทั้งในระดับชาติ ภูมิภาคและระดับโลก โอกาสเสียดทานมีสูง อุบัติเหตุย่อมเกิดได้ทุกเวลา เช่น น้ำผึ้งหยดเดียว หรือทักษิณลอบเข้าประเทศหรือถูกลอบสังหารตอนเข้าประเทศอย่างอกิโน เป็นต้น

3. ประชาชนและผู้รักประชาธิปไตยที่แท้จริงควรคว่ำรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างกันอยู่นี้ เพราะประชาชนไม่มีส่วนร่วมแต่ต้น และมิใช่รัฐธรรมนูญแบบราชประชาสมาสัย รัฐธรรมนูญแบบอื่นๆพิสูจน์มาแล้วว่าล้มเหลวหมด การมีส่วนร่วมที่แท้จริงของประชาชนและการแผ่พระบารมีของในหลวงในขบวนการร่างและลงประชามติเท่านั้นจึงจะทำให้รัฐธรรมนูญผ่านและมีความยั่งยืนได้

ในเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้เริ่มมาอย่างผิดพลาด ถูกรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวขุดหลุมดักอำพรางไว้หลายชั้นหลายเชิง โอกาสที่รัฐธรรมนูญจะคว่ำมีอยู่หลายโค้ง

สมมติว่าลากสังขารไปได้ถึงการลงประชามติ ผู้ที่จะรวมหัวกันคัดค้านจะมีมากมาย ได้แก่ มวลชนของทักษิณ คนยากคนจนที่ผิดหวังรัฐบาลสุรยุทธ์ กลุ่มพุทธหรือกลุ่มหลากหลายที่ไม่เห็นข้อเรียกร้องของตนบรรจุในร่างรัฐธรรมนูญ ประชาชนก้าวหน้าจาก 10 ล้านโหวตโนที่เห็นความไม่เป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

ในที่สุด คมช.ก็จะต้องหยิบรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มาใช้ ผมเองรับสัญลักษณ์ได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากผู้ร่างทุกจังหวัด ถึงเนื้อหารัฐธรรมนูญจะบกพร่องและเป็นเผด็จการ รวมทั้งทำลายพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญอยู่หลายมาตรา ผมก็จะกล้ำกลืนรับ โดยหวังว่าจะแก้ไขเสีย

ไหนๆ ก็ไหนๆ ดั่งนี้แล้ว ทำไม คมช.ไม่รวบรวมปัญญาสมาธิและความกล้าหาญประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เสียเลย บทบัญญัติใดที่เป็นปัญหาและอุปสรรคก็ประกาศงดใช้ชั่วคราว จะได้เอาเวลาและงบประมาณที่จะสูญเปล่าไปทำการปฏิรูปอย่างอื่น รวมทั้งระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้งด้วย

หากหาทางออกไม่ได้จริงๆ เชื่อผมเถิดครับ กราบบังคมทูลถวายพระราชอำนาจคืน ให้ในหลวงทรงชี้ทางเดินตามจารีตประชาธิปไตย ผมเชื่อว่าหนทางนี้จะราบรื่นแจ่มใสไปนานเท่านาน ทั่วโลกก็จะแซ่ซ้องสรรเสริญไทย ยิ่งใหญ่เหมือนวันฉลองสิริราชสมบัติแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น