xs
xsm
sm
md
lg

ยืดอายุแวต 7% อีก 1 ปี คลังงมเข็มกระตุ้น ศก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์” ระดมกึ๋นทีมที่ปรึกษาสร้างระบบเตือนภัยควบคู่สร้างวินัยทางการคลังป้องกันวิกฤติด้านการคลังในอนาคต พร้อมหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเสนอเข้า ครม. ขณะที่มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ยังลังเลลดภาษีหรือดอกเบี้ย สมหมายเสนอต่ออายุแวต 7% อีก 1 ปี ยันคลังยังไม่ถังแตก พร้อมเรียก รสก.เร่งเบิกจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ด้าน ครม.ผ่อนผันส่วนราชการและ รสก.ก่อหนี้ผูกพัน

นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการหารือกับคณะที่ปรึกษา รมว.คลังเพื่อหารือเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจด้านต่างๆ โดยเฉพาะภาระที่เกี่ยวข้องกับด้านการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งการดำเนินนโยบายการคลังนับจากนี้ระบบต่างๆ จะต้องเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อให้มีระบบการเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ยังได้หารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว โดยคณะที่ปรึกษาจะพิจารณานโยบายที่อาจจะสามารถช่วยเหลือประชาชนระดับฐานรากให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้จะได้ผลักดันให้ข้อเสนอต่างๆ ของคณะที่ปรึกษานำเสนอเข้ามาให้มีความชัดเจนมากขึ้น

“ข้อเสนอต่างๆ ที่รวบรวมกันในวันนี้จะมีการนำไปปรึกษากับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากในทางปฏิบัติจริงสามารถทำได้ก็จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดการปฏิบัติจริงต่อไป” นายฉลองภพกล่าว

รมว.คลังกล่าวว่า นอกจากการช่วยเหลือประชาชนระดับฐานรากแล้วทางคณะที่ปรึกษายังได้เสนอแนะมาตรการเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากตัวเลขการขยายตัวของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบว่ามีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ ภาครัฐจึงพยายามหาแนวทางในการเข้าไปกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

“ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะใช้มาตรการด้านภาษี หรือดอกเบี้ยเข้ามาช่วยในการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยหรือไม่ มาตรการกระตุ้นในส่วนนี้จะต้องเข้าไปดูรายละเอียดว่าหากลดภาษีแล้วจะส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ หรือไม่” รมว.คลังกล่าว

**เสนอคงแวต 7%อีก 1 ปี

นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จะยังคงเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ที่ระดับ 7% หลังจากที่ได้ผ่อนผันการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 10% ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2550 ไปอีกอย่างน้อยเป็นเวลา 1 ปี เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งในขณะนี้ทางกรมสรรพากรอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดดังกล่าวอยู่และจะนำเสนอให้แก่นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาภายในเดือนเม.ย.นี้

นายสมหมาย ยังได้กล่าวว่าถึง การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2550 นั้น เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด และจะไม่มีผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2550 แต่อย่างใด ถึงแม้ว่าการจัดเก็บรายได้ในเดือนมีนาคม 2550 จะต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ก็ตาม ซึ่งในขณะนี้ขอยืนยันว่าเงินคงคลังยังมีเพียงพอในการบริหารจัดการอยู่ ไม่มีถังแตกอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ยอดการเก็บรายได้รัฐบาลรอบ 5 เดือนของปีงบประมาณ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เก็บรายได้สุทธิ 506,000 ล้านบาท เกินเป้า 3,230 ล้านบาทกรมสรรพากรเก็บเกินเป้า 498 ล้านบาท กรมสรรพสามิตเก็บเกินเป้า 8,440 ล้านบาทกรมศุลกากรเก็บภาษีเกินเป้า 337 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้เกินเป้า 9,280 ล้านบาท

**เรียกรัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายกระตุ้น

นายสมหมายเปิดเผยว่าวันนี้ (3 เม.ย.) จะเชิญรัฐวิสาหกิจ 23 แห่ง เข้ามาหารือ เพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายตามแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง นายสมหมายยอมรับว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 ยอดเบิกจ่ายยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายดีนัก การหารือในวันนี้จะทำให้ทราบว่าเกิดปัญหาอะไรบ้างที่ทำให้การเบิกจ่ายล่าช้า เชื่อว่า หากรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ เช่น ปตท.และ กฟผ.สามารถเร่งรัดเบิกเงินลงทุนโครงการขนาดใหญ่ 4-5 โครงการได้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวขึ้นบ้าง

**ครม.ผ่อนผันก่อหนี้ผูกพัน

นายณัฐฐวัฒน์ สุทธิโยธิน ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการผ่อนผันให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจสามารถก่อหนี้ผูกพันได้จนถึงสิ้นไตรมาส 3 หรือสิ้นเดือนมิ.ย.50 จากเดิมที่ประชุม ครม.มีมติลงวันที่ 6 ก.พ.50 เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2550 โดยกำหนดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในสิ้นไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ2550 ช่วงสิ้นเดือนมี.ค.50

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รายงานการติดตามสถานการณ์เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณดังกล่าว โดยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนก.พ.50 มีหน่วยงานที่ก่อหนี้ผูกพันทั้งสิ้น 117 หน่วยงาน จากหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายลงทุน 235 หน่วยงาน วงเงิน 147,324 ล้านบาท ปรากฏว่าสามารถก่อหนี้ผูกพันได้แล้วจำนวน 59,342 ล้านบาทคิดเป็น 40.28% หน่วยงานที่ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้จำนวน 54,295 ล้านบาทคิดเป็น 36.85% ซึ่งอยู่ในขั้นตอน หน่วยงานที่ยังไม่ได้ดำเนินการ 3,304 ล้านบาท คิดเป็น 2.24% ส่วนกำลังเตรียมการจำนวน 28,959 ล้านบาท คิดเป็น 19.66% การจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน 22,032 ล้านบาท คิดเป็น 14.95% ขณะที่ดำเนินการเอง จำนวน 18,105 ล้านบาท คิดเป็น 12.29% และอื่นๆ จำนวน 15,582 ล้านบาท คิดเป็น 10.58%.
กำลังโหลดความคิดเห็น