เปิดผลวิจัยร้อน พบรถบัสประสบอุบัติเหตุสูงถึง 4,000 คันต่อปี มูลค่าเสียหาย 8,000 ล้านบาท กรุงเทพฯ ครองแชมป์บ่อยที่สุด พบสาเหตุมาจากอุปกรณ์ในรถ-ถนนไม่มีมาตรฐานเพียงพอ แถมพนักงานขับรถร้อยละ 7 เท่านั้นmujผ่านโรงเรียนสอนขับรถ ขณะที่ร้อยละ 80 เคยประสบอุบัติเหตุมาแล้ว เสนอให้รัฐเข้มงวดออกใบขับขี่รถสาธารณะมากขึ้น
วานนี้ (29 มี.ค. ) ที่อาคารเอส เอ็มทาวเวอร์ สำนักงานกองทุนสนับสนุน การเสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดงานแถลงข่าวเรื่อง “ชีวิตคนใช้รถโดยสารปลอดภัยแค่ไหน” โดยมีนักวิชาการมาเปิดเผยเบื้องลึก ถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะ
รศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ จากศูนย์อุบัติเหตุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เปิด เผยผลการศึกษาเบื้องต้น เรื่อง “โครงการวิจัยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุบัติเหตุรถโดยสารในประเทศไทย” ว่า ในระหว่างปี 2542 -2548 รถโดยสารขนาดใหญ่ประสบอุบัติเหตุมากถึง 4,000 คันต่อปี หรือประมาณร้อยละ3 จากอุบัติเหตุทั้งหมด ซึ่งกทม. และปริมณฑลยังครองพื้นที่การเกิดอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่มากที่สุด โดยในพื้นที่ กทม. เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด 2,269คัน หรือร้อยละ57.4 แต่จำนวนอุบัติเหตุในภูมิภาคกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2542 รถโดยสารขนาดใหญ่ประสบอุบัติเหตุจาก 948 คันเพิ่มสูงเป็น 1,928 คันในปี 2547
ทั้งนี้ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้งกับรถโดยสารขนาดใหญ่ โดยเฉลี่ยจะมีผู้เสียชีวิต 0.42 ราย บาดเจ็บสาหัส 0.90 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 2.69 ราย และมูลค่าความสูญเสียเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท โดยรวมแล้ว ความสูญเสียจากอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่มีมูลค่าประมาณ 7,000 - 8,000 ล้านบาท/ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 5 จากมูลค่าความเสียหายจากอุบัติเหตุทั้งปี 170,000 ล้านบาท ซึ่งถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่ดูไม่มากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายทั้งหมด แต่การเดินทางโดยรถโดยสารอันเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดสรรนั้น ควรจะต้องมีความปลอดภัยมากกว่านี้อีกมาก เพราะรัฐควรที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตของประชาชนที่เดินทางโดยรถสาธารณะอย่างเต็มที่
ด้านนายศาตราวุธ พลบูรณ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย กล่าวถึงผลการศึกษาอุบัติเหตุรถทัวร์คณะครูพลิกคว่ำที่ อ.ดอนสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มีผู้เสียชีวิต 17 คน เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า รถโดยสาร 2 ชั้น ซึ่งได้รับการเสริมชั้นที่ 2 การติดตั้งที่นั่งไม่ได้มาตรฐาน เป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยผู้เสียชีวิต 15 ราย อยู่บนชั้น 2 หลังเกิดเหตุเบาะที่นั่งหลุดออกหมด และความสูงของรถทำให้เกิดความไม่สมดุล และเสถียรภาพความปลอดภัยของรถต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไป 8 เท่า
ส่วนอุบัติเหตุรถทัวร์ไฟไหม้ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี นักวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีสุรนารี กล่าวว่า จากการติดตามจำลองสถานการณ์อุบัติเหตุที่มีผู้เสียชีวิตมาก เนื่องจากขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยในห้องโดยสาร ขณะที่องค์ประกอบความบกพร่องของเครื่องยนต์หลายส่วนทำให้เกิดประกายไฟลุกไหม้ และวัสดุที่ใช้ประกอบตัวรถไม่มีส่วนใดที่กันไฟได้ ทั้งฟองน้ำบุเบาะ ผ้าม่าน และผ้าห่ม ล้วนเป็นวัสดุติดไฟทำให้ไฟไหม้รวดเร็ว และได้เสนอนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเน้นย้ำเรื่องการตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานอู่ต่อรถและเข้มงวดในการออกใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ ฝึกอบรมพนักงานอย่างมีระบบ และเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์รถให้มีคุณภาพ หากต้นทุนสูงภาครัฐควรเข้ามาช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ค่าโดยสารเป็นภาระของประชาชน
นอกจากนั้น จากการสำรวจเบื้องต้น พนักงานขับรถโดยสาร (พขร.) ร้อยละ 48 เรียนรู้วิธีการขับรถโดยสารด้วยตนเอง รองลงมาร้อยละ 23 เป็นเด็กประจำรถมาก่อน และน้อยสุดร้อยละ 7 เท่านั้น ที่เรียนจากโรงเรียนสอนขับรถ และยังพบว่า พนักงานขับรถมากถึงร้อยละ 30 เคยประสบอุบัติเหตุระหว่างการขับรถ และในจำนวนนี้ พบว่าประสบอุบัติเหตุ 2 ครั้ง มีถึงร้อยละ 16 ประสบอุบัติเหตุมากถึง 3 ครั้ง ร้อยละ 4 แต่ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียว คือ ร้อยละ 80
นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลขอนแก่น และประธานคณะทำงานสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรในจังหวัดนำร่อง (สอจร.) ได้เสนอแนวทางการจัดการเพื่อลดอุบัติเหตุของรถบัสอย่างยั่งยืน ทั้งการดำเนินการก่อนเกิด เมื่อเกิด และหลังเกิดอุบัติเหตุ เช่น มีองค์กรหลักรับผิดชอบ ทบทวนและปรับปรุงมาตรฐานรถ คนขับรถ และความปลอดภัยบนท้องถนน กำหนดบทลงโทษอย่างจริงจัง กำหนดสิทธิและรณรงค์ให้ผู้โดยสารรู้จักพิทักษ์สิทธิ จัดเวทีสาธารณะเพื่อพูดคุยถึงปัญหาของรถโดยสารสาธารณะ และพัฒนาหน่วยกู้ภัยและหน่วยกู้ชีพให้มีประสิทธิภาพ โดยต้องดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นระบบ
วานนี้ (29 มี.ค. ) ที่อาคารเอส เอ็มทาวเวอร์ สำนักงานกองทุนสนับสนุน การเสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดงานแถลงข่าวเรื่อง “ชีวิตคนใช้รถโดยสารปลอดภัยแค่ไหน” โดยมีนักวิชาการมาเปิดเผยเบื้องลึก ถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะ
รศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ จากศูนย์อุบัติเหตุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เปิด เผยผลการศึกษาเบื้องต้น เรื่อง “โครงการวิจัยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุบัติเหตุรถโดยสารในประเทศไทย” ว่า ในระหว่างปี 2542 -2548 รถโดยสารขนาดใหญ่ประสบอุบัติเหตุมากถึง 4,000 คันต่อปี หรือประมาณร้อยละ3 จากอุบัติเหตุทั้งหมด ซึ่งกทม. และปริมณฑลยังครองพื้นที่การเกิดอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่มากที่สุด โดยในพื้นที่ กทม. เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด 2,269คัน หรือร้อยละ57.4 แต่จำนวนอุบัติเหตุในภูมิภาคกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2542 รถโดยสารขนาดใหญ่ประสบอุบัติเหตุจาก 948 คันเพิ่มสูงเป็น 1,928 คันในปี 2547
ทั้งนี้ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้งกับรถโดยสารขนาดใหญ่ โดยเฉลี่ยจะมีผู้เสียชีวิต 0.42 ราย บาดเจ็บสาหัส 0.90 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 2.69 ราย และมูลค่าความสูญเสียเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท โดยรวมแล้ว ความสูญเสียจากอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่มีมูลค่าประมาณ 7,000 - 8,000 ล้านบาท/ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 5 จากมูลค่าความเสียหายจากอุบัติเหตุทั้งปี 170,000 ล้านบาท ซึ่งถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่ดูไม่มากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายทั้งหมด แต่การเดินทางโดยรถโดยสารอันเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดสรรนั้น ควรจะต้องมีความปลอดภัยมากกว่านี้อีกมาก เพราะรัฐควรที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตของประชาชนที่เดินทางโดยรถสาธารณะอย่างเต็มที่
ด้านนายศาตราวุธ พลบูรณ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย กล่าวถึงผลการศึกษาอุบัติเหตุรถทัวร์คณะครูพลิกคว่ำที่ อ.ดอนสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มีผู้เสียชีวิต 17 คน เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า รถโดยสาร 2 ชั้น ซึ่งได้รับการเสริมชั้นที่ 2 การติดตั้งที่นั่งไม่ได้มาตรฐาน เป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยผู้เสียชีวิต 15 ราย อยู่บนชั้น 2 หลังเกิดเหตุเบาะที่นั่งหลุดออกหมด และความสูงของรถทำให้เกิดความไม่สมดุล และเสถียรภาพความปลอดภัยของรถต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไป 8 เท่า
ส่วนอุบัติเหตุรถทัวร์ไฟไหม้ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี นักวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีสุรนารี กล่าวว่า จากการติดตามจำลองสถานการณ์อุบัติเหตุที่มีผู้เสียชีวิตมาก เนื่องจากขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยในห้องโดยสาร ขณะที่องค์ประกอบความบกพร่องของเครื่องยนต์หลายส่วนทำให้เกิดประกายไฟลุกไหม้ และวัสดุที่ใช้ประกอบตัวรถไม่มีส่วนใดที่กันไฟได้ ทั้งฟองน้ำบุเบาะ ผ้าม่าน และผ้าห่ม ล้วนเป็นวัสดุติดไฟทำให้ไฟไหม้รวดเร็ว และได้เสนอนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเน้นย้ำเรื่องการตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานอู่ต่อรถและเข้มงวดในการออกใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ ฝึกอบรมพนักงานอย่างมีระบบ และเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์รถให้มีคุณภาพ หากต้นทุนสูงภาครัฐควรเข้ามาช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ค่าโดยสารเป็นภาระของประชาชน
นอกจากนั้น จากการสำรวจเบื้องต้น พนักงานขับรถโดยสาร (พขร.) ร้อยละ 48 เรียนรู้วิธีการขับรถโดยสารด้วยตนเอง รองลงมาร้อยละ 23 เป็นเด็กประจำรถมาก่อน และน้อยสุดร้อยละ 7 เท่านั้น ที่เรียนจากโรงเรียนสอนขับรถ และยังพบว่า พนักงานขับรถมากถึงร้อยละ 30 เคยประสบอุบัติเหตุระหว่างการขับรถ และในจำนวนนี้ พบว่าประสบอุบัติเหตุ 2 ครั้ง มีถึงร้อยละ 16 ประสบอุบัติเหตุมากถึง 3 ครั้ง ร้อยละ 4 แต่ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียว คือ ร้อยละ 80
นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลขอนแก่น และประธานคณะทำงานสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรในจังหวัดนำร่อง (สอจร.) ได้เสนอแนวทางการจัดการเพื่อลดอุบัติเหตุของรถบัสอย่างยั่งยืน ทั้งการดำเนินการก่อนเกิด เมื่อเกิด และหลังเกิดอุบัติเหตุ เช่น มีองค์กรหลักรับผิดชอบ ทบทวนและปรับปรุงมาตรฐานรถ คนขับรถ และความปลอดภัยบนท้องถนน กำหนดบทลงโทษอย่างจริงจัง กำหนดสิทธิและรณรงค์ให้ผู้โดยสารรู้จักพิทักษ์สิทธิ จัดเวทีสาธารณะเพื่อพูดคุยถึงปัญหาของรถโดยสารสาธารณะ และพัฒนาหน่วยกู้ภัยและหน่วยกู้ชีพให้มีประสิทธิภาพ โดยต้องดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นระบบ