.
การเจรจาติดต่อกันระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกตั้งคำถามจากผู้สื่อข่าวในหลายโอกาส อาจจะเป็นเพราะผู้สื่อข่าวต้องการที่จะได้มีโอกาสที่จะรู้ว่ามีการเจรจาหรือข้อตกลงกันหรือไม่ในทางการเมืองระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
จากการค้นคว้าข้อมูลของ www.myfirstinfo.com ได้ลำดับเหตุการณ์การให้สัมภาษณ์ที่น่าจะเชื่อได้ว่าบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กับอำนาจของรัฐดังต่อไปนี้
14 ตุลาคม 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “เป็นสิทธิของคุณทักษิณ ที่จะกลับมา แต่จะกลับมาห้วงเวลาใดคงต้องหารือกับทุกๆ ฝ่ายก่อน ซึ่งผมกับคุณทักษิณ เคยโทรศัพท์คุยกันแล้ว ทั้งเรื่องการเคลื่อนไหวในประเทศและอีกหลายๆ ประเด็น”
สำหรับข้อความนี้ขอให้สังเกตคำว่า “และอีกหลายๆ ประเด็น” อันหมายถึงว่านอกจากการเคลื่อนไหวในประเทศแล้วยังมีอีกหลายประเด็นที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสื่อสารมวลชน
13 พฤศจิกายน 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า “ตัวอย่างที่เห็นกันอยู่คือพยายามที่จะใช้ วิธีการเจรจาพูดคุยด้วยสันติวิธีในทุกๆ เรื่อง แม้แต่คุณทักษิณเอง ผมก็คุยทางโทรศัพท์ แต่มันไม่ได้อย่างที่เรานึกหรอก ไม่ได้นึกว่ามันจะได้คำตอบที่ชัดเจนว่า เอาละครับผมไม่กลับ ไม่ใช่”
เดือนตุลาคม 2549 จึงอาจจะตั้งสมมติฐานพอได้ว่า มีการเจรจากันแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง และอาจจะมี “บทสนทนาบางอย่าง” ที่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูล
20 มกราคม 2550 นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯ แถลงว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ฝากผมมากราบขอบพระคุณ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มีความเมตตาโดยเฉพาะเรื่องที่ให้อดีตนายกฯ เดินทางกลับประเทศไทยได้”
“ท่านฝากผมมาเรียนว่า “คำมั่นสัญญาที่เคยคุยกัน” ระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับอดีตนายกฯ ทักษิณ นั้น “อดีตนายกฯ ยังรักษาอยู่แล้ว” ก็ไม่ต้องกังวลใดๆ เลยในเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในต่างประเทศ ท่านเอาใจช่วยขอให้ คมช.และรัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่ไม่ต้องหวาดระแวง”
ตรงนี้น่าจะเป็นการเจรจาพูดคุยกันเป็นครั้งที่ 2 โดยขอให้ท่านผู้อ่านได้สังเกตคำว่า “คำมั่นสัญญาที่เคยคุยกัน” และสังเกตว่า “อดีตนายกฯ ยังรักษา(คำมั่นสัญญา)อยู่แล้ว” แสดงว่ามีการเจรจาตกลงเงื่อนไขที่เป็น “คำมั่นสัญญา” ต่อกัน ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยในเงื่อนไขที่ว่านั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เป็นคำพูดเดียวกันกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ใช้เป็นประจำในช่วงหลังว่า “สมานฉันท์”
26 มีนาคม 2550 ปรากฏคำให้สัมภาษณ์ที่สำคัญของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ในหนังสือพิมพ์มติชนว่า “คุณทักษิณ เคยโทร.มาเมื่อ 2 เดือนก่อน ก็ไม่มีอะไรจริงๆ ก็พูดกันธรรมดา พูดง่ายๆ ว่าก็คุยกันธรรมดา พูดง่ายๆว่าก็คุยกัน เขาก็เรียกผมว่า พี่ พี่ครับอย่างนั้นอย่างนี้ คุยเรื่องครอบครัว เรื่องทางการเมือง เขาก็พูดว่าผมจะยังไม่เข้ามา ผมไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมืองอะไร ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ โทร.มาพูดกันว่า “ช่วยดูครอบครัวผมด้วยนะครับ” อะไรอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมคิดว่าผมไม่ได้ปิด ผมก็ต้องรับฟัง แนวคิดก็คือถ้าเผื่อคุณทักษิณไม่ได้มีข้อหาที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความยุติธรรม แต่ถ้ามีข้อหาทางกฎหมายขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ศาลต้องตัดสินต่อไป “ผมไม่ได้ไปพิพากษาว่าท่านผิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ใช่”
เมื่อประมวลจากคำพูดและคำสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ แล้ว หลายคนอาจสงสัยกันว่า อะไรคือข้อเรียกร้องของ พ.ต.ท.ทักษิณต่อ พล.อ.สุรยุทธ์
แต่สำหรับคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ถ้ามีการเจรจากันก็ต้องมาวิเคราะห์กันต่อว่าถ้ามีข้อเรียกร้องกันแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะเรียกร้องอะไร?
“ช่วยดูครอบครัวผมด้วยนะครับ” เป็นข้อความที่ พล.อ.สุรยุทธ์ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เรียกร้องเอาไว้และน่าจะเป็นเงื่อนไขในคำมั่นสัญญาและข้อตกลง....
“ครอบครัว” เป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณรักมากที่สุด แต่ดูเหมือนว่า ถ้า “การเรียกร้องมีมากกว่านั้น” ประชาชนทั่วไปก็คงไม่มีโอกาสได้รับรู้ในบทสนทนานั้นได้
8 พฤศจิกายน 2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ว่ามีโอกาสพูดคุยกันครั้งเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณมีเนื้อความว่า “อดีตนายกฯ เป็นห่วงทรัพย์สินและครอบครัวว่า การจะอายัดหรือยึดทรัพย์ใครใช้กฎหมายเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าถูกหรือผิด จึงจะนำไปสู่ตรงนั้น”
พล.อ.สนธิยังกล่าวอีกว่า “เรายังเป็นประเทศประชาธิปไตย มีการใช้กฎหมาย มีนักสิทธิมนุษยชนอยู่ จึงต้องใช้กรอบกฎหมายในการปฏิบัติ คมช. คงไม่ไปชี้นำ เพราะอำนาจไม่มีในตรงนั้นแล้ว คตส. และ ป.ป.ช. ก็คงดำเนินการไปตามนโยบาย ในส่วนของผู้ที่ถูกตรวจสอบก็คงคุยกับทางรัฐบาลเอง ทางเราไม่มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้อง”
จึงวิเคราะห์ต่อได้ว่า “ครอบครัว” และ “การอายัดทรัพย์สิน” น่าจะเป็น 2 ประการสำคัญในการเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจในเวลานั้น ซึ่ง พล.อ.สนธิ ได้โยนให้เป็นการตัดสินใจของ คตส. และ ป.ป.ช. และที่สำคัญคือ ให้ไปคุยกันเองกับ “รัฐบาล”
“รัฐบาล” ที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์”!!!
มีคำถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะมีความจำเป็นอะไร และทำไมจะต้องทำตามคำร้องขอของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร?
ถ้าการเจรจาครั้งแรกระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.สุรยุทธ์ที่อยู่ในช่วงเวลาประมาณวันที่ 14 ตุลาคม 2549 มีเนื้อหาเพื่อดูแลครอบครัวและทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่น่าจะมีการเรียกร้องกลับเป็นเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ประการแรก พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องยังไม่กลับเข้ามาในประเทศ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งแล้วเสร็จ
ประการที่สอง ยุติความเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศและนอกประเทศ
เฉพาะ 2 ประเด็นดังกล่าว น้ำหนักที่จะไปดูแล “ครอบครัว” และ “ทรัพย์สิน” เพียงแค่ไม่อายัดทรัพย์ และไม่จับกุมและคุ้มครองความปลอดภัยของครอบครัวชินวัตร ถ้ามีการเจรจากันจริงก็น่าจะถือได้ว่าบรรลุเงื่อนไขในการเจรจาพอสมควร
แต่ในอีกด้านหนึ่ง คตส. ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาโดยคำสั่งของ คปค. ก็เดินหน้าตรวจสอบและแถลงข่าวออกมาเป็นระยะและรุกคืบไปรุกล้ำอาณาจักรของ “ทรัพย์สิน” และ “ครอบครัว” พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้นตามลำดับ
นับตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม เป็นต้นมาดูเหมือนว่า บรรยากาศต้องการ “สมานฉันท์” ของพล.อ.สุรยุทธ์ ที่มีความคล้ายคลึงกับความมุ่งหวังของ พ.ต.ท.ทักษิณได้มีความเด่นชัดมากขึ้นและหลายกรณีดูเหมือนกำลังเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดมาก่อนมากมาย ประกาศอุ้มพนักงานไอทีวี, ไม่ออกมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการให้ความร่วมมือกับ คตส., ไม่เดินหน้าร้องทุกข์กล่าวโทษคนในรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างจริงจัง, ไม่ประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในความเลวร้ายระบอบทักษิณอย่างจริงจัง, และยังมีความพยายามที่จะเอาคนของรัฐบาลชุดที่แล้วมาร่วมงานหลายคน
ยังไม่นับกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีความพยายามที่จะไม่ต่ออายุให้ คตส. และเตรียมแต่งตั้ง ผบ.ทบ.คนใหม่ที่ไม่ใช่แกนนำสำคัญของคนใน คมช.!!!
เกิดอะไรขึ้นขอให้สังเกตการไล่เรียงลำดับเวลาดังต่อไปนี้ให้ดีๆ
14 ตุลาคม 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.สุรยุทธ์ พูดคุยกันครั้งที่ 1
26 ตุลาคม 2549 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
26 ธันวาคม 2549 พรรคไทยรักไทยแถลงข่าวโจมตี พล.อ.สุรยุทธ์ และแกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนที่ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบรายละเอียดบ้านพักของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ “เขายายเที่ยง”
หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์ มีการปล่อยข่าวว่าพรรคไทยรักไทยเตรียมถล่มโจมตี พล.อ.สุรยุทธ์ อีกหลายเรื่องนอกจากกรณีของ เขายายเที่ยง ตัวอย่างเช่น เรื่อง รถยนต์คันหรู 2 คัน, บ้านที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง, การใช้จ่ายเงินของมูลนิธิแห่งหนึ่ง, และการไม่จ่ายภาษีของใครบางคน ฯลฯ
20 มกราคม 2550 นพดล ปัทมะ ออกมาแถลงข่าวฝากจาก พ.ต.ท.ทักษิณ กราบขอบคุณ พล.อ.สุรยุทธ์ และย้ำว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ยังรักษาคำมั่นสัญญาที่เคยคุยกัน อันสะท้อนว่าการเจรจาครั้งที่ 2 ได้ผ่านไปอย่างดีมากขึ้นไปกว่าเดิม”
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พรรคไทยรักไทยก็ดูเหมือนจะสงบปากสงบคำในเรื่องราวต่างๆ ที่จะถล่มโจมตี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็เป็นอย่างที่เราเห็นเป็นอยู่ทุกวันนี้!!!
ส่วน “คำมั่นสัญญา” ที่ว่าคงไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าเป็นอย่างไร แต่ดูแล้วสงสัยว่าจะเป็นคำมั่นสัญญาที่มีราคาแพงจริงๆ!!!
การเจรจาติดต่อกันระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกตั้งคำถามจากผู้สื่อข่าวในหลายโอกาส อาจจะเป็นเพราะผู้สื่อข่าวต้องการที่จะได้มีโอกาสที่จะรู้ว่ามีการเจรจาหรือข้อตกลงกันหรือไม่ในทางการเมืองระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
จากการค้นคว้าข้อมูลของ www.myfirstinfo.com ได้ลำดับเหตุการณ์การให้สัมภาษณ์ที่น่าจะเชื่อได้ว่าบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กับอำนาจของรัฐดังต่อไปนี้
14 ตุลาคม 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “เป็นสิทธิของคุณทักษิณ ที่จะกลับมา แต่จะกลับมาห้วงเวลาใดคงต้องหารือกับทุกๆ ฝ่ายก่อน ซึ่งผมกับคุณทักษิณ เคยโทรศัพท์คุยกันแล้ว ทั้งเรื่องการเคลื่อนไหวในประเทศและอีกหลายๆ ประเด็น”
สำหรับข้อความนี้ขอให้สังเกตคำว่า “และอีกหลายๆ ประเด็น” อันหมายถึงว่านอกจากการเคลื่อนไหวในประเทศแล้วยังมีอีกหลายประเด็นที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสื่อสารมวลชน
13 พฤศจิกายน 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า “ตัวอย่างที่เห็นกันอยู่คือพยายามที่จะใช้ วิธีการเจรจาพูดคุยด้วยสันติวิธีในทุกๆ เรื่อง แม้แต่คุณทักษิณเอง ผมก็คุยทางโทรศัพท์ แต่มันไม่ได้อย่างที่เรานึกหรอก ไม่ได้นึกว่ามันจะได้คำตอบที่ชัดเจนว่า เอาละครับผมไม่กลับ ไม่ใช่”
เดือนตุลาคม 2549 จึงอาจจะตั้งสมมติฐานพอได้ว่า มีการเจรจากันแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง และอาจจะมี “บทสนทนาบางอย่าง” ที่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูล
20 มกราคม 2550 นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯ แถลงว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ฝากผมมากราบขอบพระคุณ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มีความเมตตาโดยเฉพาะเรื่องที่ให้อดีตนายกฯ เดินทางกลับประเทศไทยได้”
“ท่านฝากผมมาเรียนว่า “คำมั่นสัญญาที่เคยคุยกัน” ระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับอดีตนายกฯ ทักษิณ นั้น “อดีตนายกฯ ยังรักษาอยู่แล้ว” ก็ไม่ต้องกังวลใดๆ เลยในเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในต่างประเทศ ท่านเอาใจช่วยขอให้ คมช.และรัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่ไม่ต้องหวาดระแวง”
ตรงนี้น่าจะเป็นการเจรจาพูดคุยกันเป็นครั้งที่ 2 โดยขอให้ท่านผู้อ่านได้สังเกตคำว่า “คำมั่นสัญญาที่เคยคุยกัน” และสังเกตว่า “อดีตนายกฯ ยังรักษา(คำมั่นสัญญา)อยู่แล้ว” แสดงว่ามีการเจรจาตกลงเงื่อนไขที่เป็น “คำมั่นสัญญา” ต่อกัน ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยในเงื่อนไขที่ว่านั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เป็นคำพูดเดียวกันกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ใช้เป็นประจำในช่วงหลังว่า “สมานฉันท์”
26 มีนาคม 2550 ปรากฏคำให้สัมภาษณ์ที่สำคัญของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ในหนังสือพิมพ์มติชนว่า “คุณทักษิณ เคยโทร.มาเมื่อ 2 เดือนก่อน ก็ไม่มีอะไรจริงๆ ก็พูดกันธรรมดา พูดง่ายๆ ว่าก็คุยกันธรรมดา พูดง่ายๆว่าก็คุยกัน เขาก็เรียกผมว่า พี่ พี่ครับอย่างนั้นอย่างนี้ คุยเรื่องครอบครัว เรื่องทางการเมือง เขาก็พูดว่าผมจะยังไม่เข้ามา ผมไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมืองอะไร ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ โทร.มาพูดกันว่า “ช่วยดูครอบครัวผมด้วยนะครับ” อะไรอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมคิดว่าผมไม่ได้ปิด ผมก็ต้องรับฟัง แนวคิดก็คือถ้าเผื่อคุณทักษิณไม่ได้มีข้อหาที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความยุติธรรม แต่ถ้ามีข้อหาทางกฎหมายขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ศาลต้องตัดสินต่อไป “ผมไม่ได้ไปพิพากษาว่าท่านผิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ใช่”
เมื่อประมวลจากคำพูดและคำสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ แล้ว หลายคนอาจสงสัยกันว่า อะไรคือข้อเรียกร้องของ พ.ต.ท.ทักษิณต่อ พล.อ.สุรยุทธ์
แต่สำหรับคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ถ้ามีการเจรจากันก็ต้องมาวิเคราะห์กันต่อว่าถ้ามีข้อเรียกร้องกันแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะเรียกร้องอะไร?
“ช่วยดูครอบครัวผมด้วยนะครับ” เป็นข้อความที่ พล.อ.สุรยุทธ์ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เรียกร้องเอาไว้และน่าจะเป็นเงื่อนไขในคำมั่นสัญญาและข้อตกลง....
“ครอบครัว” เป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณรักมากที่สุด แต่ดูเหมือนว่า ถ้า “การเรียกร้องมีมากกว่านั้น” ประชาชนทั่วไปก็คงไม่มีโอกาสได้รับรู้ในบทสนทนานั้นได้
8 พฤศจิกายน 2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ว่ามีโอกาสพูดคุยกันครั้งเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณมีเนื้อความว่า “อดีตนายกฯ เป็นห่วงทรัพย์สินและครอบครัวว่า การจะอายัดหรือยึดทรัพย์ใครใช้กฎหมายเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าถูกหรือผิด จึงจะนำไปสู่ตรงนั้น”
พล.อ.สนธิยังกล่าวอีกว่า “เรายังเป็นประเทศประชาธิปไตย มีการใช้กฎหมาย มีนักสิทธิมนุษยชนอยู่ จึงต้องใช้กรอบกฎหมายในการปฏิบัติ คมช. คงไม่ไปชี้นำ เพราะอำนาจไม่มีในตรงนั้นแล้ว คตส. และ ป.ป.ช. ก็คงดำเนินการไปตามนโยบาย ในส่วนของผู้ที่ถูกตรวจสอบก็คงคุยกับทางรัฐบาลเอง ทางเราไม่มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้อง”
จึงวิเคราะห์ต่อได้ว่า “ครอบครัว” และ “การอายัดทรัพย์สิน” น่าจะเป็น 2 ประการสำคัญในการเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจในเวลานั้น ซึ่ง พล.อ.สนธิ ได้โยนให้เป็นการตัดสินใจของ คตส. และ ป.ป.ช. และที่สำคัญคือ ให้ไปคุยกันเองกับ “รัฐบาล”
“รัฐบาล” ที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์”!!!
มีคำถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะมีความจำเป็นอะไร และทำไมจะต้องทำตามคำร้องขอของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร?
ถ้าการเจรจาครั้งแรกระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.สุรยุทธ์ที่อยู่ในช่วงเวลาประมาณวันที่ 14 ตุลาคม 2549 มีเนื้อหาเพื่อดูแลครอบครัวและทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่น่าจะมีการเรียกร้องกลับเป็นเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ประการแรก พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องยังไม่กลับเข้ามาในประเทศ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งแล้วเสร็จ
ประการที่สอง ยุติความเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศและนอกประเทศ
เฉพาะ 2 ประเด็นดังกล่าว น้ำหนักที่จะไปดูแล “ครอบครัว” และ “ทรัพย์สิน” เพียงแค่ไม่อายัดทรัพย์ และไม่จับกุมและคุ้มครองความปลอดภัยของครอบครัวชินวัตร ถ้ามีการเจรจากันจริงก็น่าจะถือได้ว่าบรรลุเงื่อนไขในการเจรจาพอสมควร
แต่ในอีกด้านหนึ่ง คตส. ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาโดยคำสั่งของ คปค. ก็เดินหน้าตรวจสอบและแถลงข่าวออกมาเป็นระยะและรุกคืบไปรุกล้ำอาณาจักรของ “ทรัพย์สิน” และ “ครอบครัว” พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้นตามลำดับ
นับตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม เป็นต้นมาดูเหมือนว่า บรรยากาศต้องการ “สมานฉันท์” ของพล.อ.สุรยุทธ์ ที่มีความคล้ายคลึงกับความมุ่งหวังของ พ.ต.ท.ทักษิณได้มีความเด่นชัดมากขึ้นและหลายกรณีดูเหมือนกำลังเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดมาก่อนมากมาย ประกาศอุ้มพนักงานไอทีวี, ไม่ออกมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการให้ความร่วมมือกับ คตส., ไม่เดินหน้าร้องทุกข์กล่าวโทษคนในรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างจริงจัง, ไม่ประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในความเลวร้ายระบอบทักษิณอย่างจริงจัง, และยังมีความพยายามที่จะเอาคนของรัฐบาลชุดที่แล้วมาร่วมงานหลายคน
ยังไม่นับกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีความพยายามที่จะไม่ต่ออายุให้ คตส. และเตรียมแต่งตั้ง ผบ.ทบ.คนใหม่ที่ไม่ใช่แกนนำสำคัญของคนใน คมช.!!!
เกิดอะไรขึ้นขอให้สังเกตการไล่เรียงลำดับเวลาดังต่อไปนี้ให้ดีๆ
14 ตุลาคม 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.สุรยุทธ์ พูดคุยกันครั้งที่ 1
26 ตุลาคม 2549 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
26 ธันวาคม 2549 พรรคไทยรักไทยแถลงข่าวโจมตี พล.อ.สุรยุทธ์ และแกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนที่ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบรายละเอียดบ้านพักของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ “เขายายเที่ยง”
หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์ มีการปล่อยข่าวว่าพรรคไทยรักไทยเตรียมถล่มโจมตี พล.อ.สุรยุทธ์ อีกหลายเรื่องนอกจากกรณีของ เขายายเที่ยง ตัวอย่างเช่น เรื่อง รถยนต์คันหรู 2 คัน, บ้านที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง, การใช้จ่ายเงินของมูลนิธิแห่งหนึ่ง, และการไม่จ่ายภาษีของใครบางคน ฯลฯ
20 มกราคม 2550 นพดล ปัทมะ ออกมาแถลงข่าวฝากจาก พ.ต.ท.ทักษิณ กราบขอบคุณ พล.อ.สุรยุทธ์ และย้ำว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ยังรักษาคำมั่นสัญญาที่เคยคุยกัน อันสะท้อนว่าการเจรจาครั้งที่ 2 ได้ผ่านไปอย่างดีมากขึ้นไปกว่าเดิม”
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พรรคไทยรักไทยก็ดูเหมือนจะสงบปากสงบคำในเรื่องราวต่างๆ ที่จะถล่มโจมตี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็เป็นอย่างที่เราเห็นเป็นอยู่ทุกวันนี้!!!
ส่วน “คำมั่นสัญญา” ที่ว่าคงไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าเป็นอย่างไร แต่ดูแล้วสงสัยว่าจะเป็นคำมั่นสัญญาที่มีราคาแพงจริงๆ!!!