พนักงานแปลงสินทรัพย์เป็นทุนสุดทน "อำพน"ตั้งธงยุบเลียรัฐบาล แถมสั่งจ่ายชดเชยแค่ 3 เดือน เตรียมฟ้องศาลอาญา-ศาลปกครอง หลังถูกท้าอยากได้ 11 เดือนฟ้องเอาเอง จวกหวังสร้างผลงานล้างภาพ"เด็กเนวิน" แฉไร้คุณสมบัติผู้นำทิศทางเศรษฐกิจ เหตุปูมหลังเชลียร์"ยี้ห้อย"จนได้ข้ามห้วยนั่งสภาพัฒน์
จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติให้ยุบโอนสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน(สปท.) ก่อนกำหนดเวลา จากเดิมวันที่ 2 มิ.ย.51 เป็นวันที่ 30 มิ.ย.50 นั้น แหล่งข่าวระดับสูงจาก สปท.เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการพิจารณาค่าชดเชยให้แก่พนักงาน สปท.โดยมีนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอของพนักงาน สปท.ใน 2 ประเด็น คือ 1.ชดเชยตามกฎหมายแรงงานว่าด้วยการเลิกจ้าง ที่ทางพนักงานได้เสนอปรับเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยใหม่ เพิ่มจากกฎหมายแรงงาน 50% ของอายุงานแต่ละคน เนื่องจากเห็นรัฐบาลสั่งเลิกจ้างก่อนกำหนดและไม่เป็นธรรม และที่ผ่านมาพนักงานไม่ได้รับการช่วยเหลือเรื่องสวัสดิการต่างๆ อย่างเพียงพอ ไม่เคยได้รับการปรับเลื่อนตำแหน่ง ที่สำคัญผลการประเมินการดำเนินการของ สปท.จัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด แต่ปรากฏว่า ทางคณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรจ่ายค่าชดเชยให้พนักงานตามกฎหมายแรงงานว่าด้วยการเลิกจ้างเพียงอย่างเดียว
ส่วนขอเรียกร้องที่ 2 เรื่องการชดเชยตามสัญญาจ้าง โดยอ้างถึงกรณีที่รัฐเลิกสัญญาจ้างก่อนกำหนดเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ขอรับเงินช่วยเหลือ ทั้งนี้ตามสัญญาเดิมสิ้นสุดในวันที่ 2 มิ.ย.51 แต่มติ ครม.สั่งให้สัญญาสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.50 โดยไม่มีเหตุผลรองรับ ถือเป็นการเลิกจ้างก่อนกำหนดที่ไร้ความเป็นธรรม ฉะนั้น ทางพนักงานจึงเรียกร้องขอให้จ่ายค่าเยียวยากับพนักงานทั้งหมดกว่า 60 ชีวิต รวมคนละ 11 เดือน ตามเวลาที่เหลือในสัญญาเดิม แต่นายอำพน กลับอ้างกรณีการเลิกองค์การห้องเย็น (อ.ย.)ที่มีการจ่ายค่าเยียวยา 6 เดือน มาเป็นตัวอย่าง แถมยังมีการจ่ายเพียง 50% ของ อ.ย.เท่านั้น หากพนักงานไม่พอใจก็ขอให้ไปฟ้องร้องต่อศาลเอาเอง ตรงนี้ถือเป็นการอ้างคนอื่น เพื่อลิดรอนคนอื่น
แหล่งข่าว กล่าวด้วยว่า หลังจากพนักงานทราบข่าวดังกล่าวก็เริ่มไม่พอใจ เพราะเห็นว่าหน่วยงานไม่ผิด แต่กลับมาปิด ซึ่งพนักงานก็ยอมรับโดยดุษฎีอยู่แล้ว ก็น่าจะจ่ายค่าเยียวยาตามสิทธิที่เขาพึงจะได้ เพราะเลิกจ้างก่อนกำหนดถึง 11 เดือน ที่สำคัญเวลามีมติยุบ ครม.ก็ไม่มีการอธิบายเหตุผล แถมยังตั้งคณะอนุกรรมการที่มาจากสภาพัฒน์ ขึ้นมาประเมินผลงาน แสดงว่ามีธงยุบ สปท.อยู่ก่อนแล้วค่อยมาหาเหตุผลรองรับทีหลัง ทั้งๆ ที่การประเมินของทริส 3 ปีที่ผ่านมา ประเมินว่า สปท.มีผลงานดีระดับเกรดเอมาตลอด ดังนั้น ทางพนักงานจะขอแย้งกลับตามขั้นตอน หากคณะอนุกรรมการฯ ยังยืนยันเหมือนเดิม ก็จะรวมตัวกันร้องเรียนนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่เป็นผลก็จะยื่นฟ้องศาลปกครอง และศาลอาญา โดยฟ้องนายอำพน เพียงคนเดียว ในฐานะผู้มีอิทธิพลต่อเรื่องนี้ เพราะเราเห็นว่ากรณีนี้ไม่ต่างจากนายสุริยันต์ บุญนาคค้า เลขาธิการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งถูกเลิกจ้างโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.เกษตรฯ และฟ้องศาลปกครองจนศาลมีคำสั่งให้กลับมาและจ่ายเงินเดือนทั้งหมดตามสัญญาจ้าง ซึ่งงานนี้รับรองว่ามีคนติดคุกแน่
"การกระทำของนายอำพน ในฐานะที่ชงเรื่องเสนอรัฐบาลยุบ สปท.เป็นการกระทำแบบลุกลี้ลุกรน ราวกับว่าต้องการจะกลบกระแสตัวเองที่สมัยอยู่กับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นคนของนายเนวิน ชิดชอบ ที่ข้ามห้วยมาจากกระทรวงเกษตรฯ มานั่งเลขาธิการสภาพัฒน์ ทั้งๆ ที่ไม่สันทัดในเรื่องเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเลย ตอนอยู่รัฐบาลทักษิณ ก็บอกว่านโยบายนี้ดี แต่พอมารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ กลับบอกว่าเป็นนโยบายที่แย่ ต้องยุบ เพื่อล้างภาพเก่าๆ ของตัวเอง" แหล่งข่าวกล่าว และว่า กรณีไอทีวีเป็นบริษัทเอกชนแท้ๆ เจ๊งยังเอามาอุ้ม ทั้งๆ ที่บริษัทเอกชนเป็นหนี้นับแสนล้าน แต่นี่พนักงานไม่ได้มีความผิด เราขอให้จ่ายค่าชดเชยและค่าเยียวยาตามสิทธิที่ควรจะได้รับ แต่กลับท้าให้พนักงานไปฟ้องศาลเอาเอง
จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติให้ยุบโอนสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน(สปท.) ก่อนกำหนดเวลา จากเดิมวันที่ 2 มิ.ย.51 เป็นวันที่ 30 มิ.ย.50 นั้น แหล่งข่าวระดับสูงจาก สปท.เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการพิจารณาค่าชดเชยให้แก่พนักงาน สปท.โดยมีนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอของพนักงาน สปท.ใน 2 ประเด็น คือ 1.ชดเชยตามกฎหมายแรงงานว่าด้วยการเลิกจ้าง ที่ทางพนักงานได้เสนอปรับเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยใหม่ เพิ่มจากกฎหมายแรงงาน 50% ของอายุงานแต่ละคน เนื่องจากเห็นรัฐบาลสั่งเลิกจ้างก่อนกำหนดและไม่เป็นธรรม และที่ผ่านมาพนักงานไม่ได้รับการช่วยเหลือเรื่องสวัสดิการต่างๆ อย่างเพียงพอ ไม่เคยได้รับการปรับเลื่อนตำแหน่ง ที่สำคัญผลการประเมินการดำเนินการของ สปท.จัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด แต่ปรากฏว่า ทางคณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรจ่ายค่าชดเชยให้พนักงานตามกฎหมายแรงงานว่าด้วยการเลิกจ้างเพียงอย่างเดียว
ส่วนขอเรียกร้องที่ 2 เรื่องการชดเชยตามสัญญาจ้าง โดยอ้างถึงกรณีที่รัฐเลิกสัญญาจ้างก่อนกำหนดเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ขอรับเงินช่วยเหลือ ทั้งนี้ตามสัญญาเดิมสิ้นสุดในวันที่ 2 มิ.ย.51 แต่มติ ครม.สั่งให้สัญญาสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.50 โดยไม่มีเหตุผลรองรับ ถือเป็นการเลิกจ้างก่อนกำหนดที่ไร้ความเป็นธรรม ฉะนั้น ทางพนักงานจึงเรียกร้องขอให้จ่ายค่าเยียวยากับพนักงานทั้งหมดกว่า 60 ชีวิต รวมคนละ 11 เดือน ตามเวลาที่เหลือในสัญญาเดิม แต่นายอำพน กลับอ้างกรณีการเลิกองค์การห้องเย็น (อ.ย.)ที่มีการจ่ายค่าเยียวยา 6 เดือน มาเป็นตัวอย่าง แถมยังมีการจ่ายเพียง 50% ของ อ.ย.เท่านั้น หากพนักงานไม่พอใจก็ขอให้ไปฟ้องร้องต่อศาลเอาเอง ตรงนี้ถือเป็นการอ้างคนอื่น เพื่อลิดรอนคนอื่น
แหล่งข่าว กล่าวด้วยว่า หลังจากพนักงานทราบข่าวดังกล่าวก็เริ่มไม่พอใจ เพราะเห็นว่าหน่วยงานไม่ผิด แต่กลับมาปิด ซึ่งพนักงานก็ยอมรับโดยดุษฎีอยู่แล้ว ก็น่าจะจ่ายค่าเยียวยาตามสิทธิที่เขาพึงจะได้ เพราะเลิกจ้างก่อนกำหนดถึง 11 เดือน ที่สำคัญเวลามีมติยุบ ครม.ก็ไม่มีการอธิบายเหตุผล แถมยังตั้งคณะอนุกรรมการที่มาจากสภาพัฒน์ ขึ้นมาประเมินผลงาน แสดงว่ามีธงยุบ สปท.อยู่ก่อนแล้วค่อยมาหาเหตุผลรองรับทีหลัง ทั้งๆ ที่การประเมินของทริส 3 ปีที่ผ่านมา ประเมินว่า สปท.มีผลงานดีระดับเกรดเอมาตลอด ดังนั้น ทางพนักงานจะขอแย้งกลับตามขั้นตอน หากคณะอนุกรรมการฯ ยังยืนยันเหมือนเดิม ก็จะรวมตัวกันร้องเรียนนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่เป็นผลก็จะยื่นฟ้องศาลปกครอง และศาลอาญา โดยฟ้องนายอำพน เพียงคนเดียว ในฐานะผู้มีอิทธิพลต่อเรื่องนี้ เพราะเราเห็นว่ากรณีนี้ไม่ต่างจากนายสุริยันต์ บุญนาคค้า เลขาธิการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งถูกเลิกจ้างโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.เกษตรฯ และฟ้องศาลปกครองจนศาลมีคำสั่งให้กลับมาและจ่ายเงินเดือนทั้งหมดตามสัญญาจ้าง ซึ่งงานนี้รับรองว่ามีคนติดคุกแน่
"การกระทำของนายอำพน ในฐานะที่ชงเรื่องเสนอรัฐบาลยุบ สปท.เป็นการกระทำแบบลุกลี้ลุกรน ราวกับว่าต้องการจะกลบกระแสตัวเองที่สมัยอยู่กับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นคนของนายเนวิน ชิดชอบ ที่ข้ามห้วยมาจากกระทรวงเกษตรฯ มานั่งเลขาธิการสภาพัฒน์ ทั้งๆ ที่ไม่สันทัดในเรื่องเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเลย ตอนอยู่รัฐบาลทักษิณ ก็บอกว่านโยบายนี้ดี แต่พอมารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ กลับบอกว่าเป็นนโยบายที่แย่ ต้องยุบ เพื่อล้างภาพเก่าๆ ของตัวเอง" แหล่งข่าวกล่าว และว่า กรณีไอทีวีเป็นบริษัทเอกชนแท้ๆ เจ๊งยังเอามาอุ้ม ทั้งๆ ที่บริษัทเอกชนเป็นหนี้นับแสนล้าน แต่นี่พนักงานไม่ได้มีความผิด เราขอให้จ่ายค่าชดเชยและค่าเยียวยาตามสิทธิที่ควรจะได้รับ แต่กลับท้าให้พนักงานไปฟ้องศาลเอาเอง