สำนักงานอัยการสูงสุด เพิ่มกำลัง รปภ.หวั่น ม็อบเชลียร์ “หญิงอ้อ-บรรณพจน์” ป่วน แต่ยืนยันไม่ปิดกั้นให้กำลังใจ เตรียมคำฟ้อง 3 ชุดกันพลาด มั่นใจหลักฐานและประจักษ์พยานแน่นหนาเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้ ด้านศาลอาญาเตรียมห้องรับรองระหว่างรอสั่งประกัน เชื่อไม่มีม็อบกล้าป่วนซ้ำรอยคดี กกต. “นพดล” ยันพร้อมยื่นเอกสารขอประกันตัว ด้านอนุฯไต่สวน ท่อร้อยสายเตรียมเรียก “ศรีสุข”รับทราบข้อกล่าวหา รถดับเพลิงฉาวสอบ“โภคิน”คนแรก ปลายเม.ย. ขณะที่ คตส.มึน ช่อง 5 เล่นกลเอาเทปแกะรอยคอรัปชั่นสลับวันออกอากาศ หลังยกเลิกรายการมาแล้วอาทิตย์หนึ่ง วอนคมช.ลงไปดู ใครในช่อง 5 ขวางหรือใส่เกียร์ว่างหรือไม่
นายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า วันนี้ (26 มี.ค.) เวลา 10.00 น. คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวจะต้องเดินทางเข้ารายงานตัวต่อพนักงานอัยการเพื่อรับทราบความเห็นสั่งฟ้องในความผิดฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีอากร โดยเท็จ โดยฉ้อโกง และโดยอุบายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) และร่วมกันจงใจแสดงข้อความหรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีหุ้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 ในกรณีหลีกเลี่ยงจากภาษีโอนหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตามหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 จะต้องเดินทางไปแสดงตัวที่ฝ่ายอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 บริเวณ ชั้น 11 สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก และจะเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับที่ห้องทำงานของนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ซึ่งเตรียมไว้เป็นห้องรับรอง ก่อนที่อัยการเจ้าของสำนวนจะนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา
“ผมยืนยันด้วยว่า ไม่มีการวิ่งเต้นเพื่อล้มคดี หรือแม้มีก็ไม่มีผล เพราะได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และข้อกฎหมาย ซึ่งมั่นใจว่าแน่นหนาเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้ เว้นแต่จะมีการกลับคำให้การ หรือมีเอกสารอื่นมาล้มล้าง แต่ถ้าไม่มี ก็เชื่อว่าสำนวนนี้สมบูรณ์พอที่จะสั่งฟ้องได้”นายอรรถพลกล่าว
นายอรรถพลยังเชื่อว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวไม่น่ายืดเยื้อ เพราะการพิจารณาคดีอาญาในปัจจุบันแตกต่างจากอดีต เมื่อศาลรับคำฟ้องก็อาจนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายเพื่อตกลงวันว่าง และกำหนดนัดพิจารณาคดีต่อเนื่องจนครบกระบวนการ ดังนั้น เมื่อเริ่มนับหนึ่งเมื่อไร กระบวนการจะดำเนินการไปอย่างรวดเร็วทันที หากศาลเห็นว่าเป็นคดีสำคัญก็อาจเร่งรัดการพิจารณาคดี
ส่วนการขอปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ถือเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่ หรือใช้หลักทรัพย์ประกันตัวเท่าไร แต่หากผู้ถูกกล่าวหาไม่มาตามนัด อัยการก็เตรียมปรับคำฟ้องไว้แล้ว และเป็นหน้าที่ของ คตส. ที่ต้องส่งตัวมา หากมีพฤติกรรมหลบหนีก็ต้องขออนุมัติออกหมายจับ
**เพิ่มกำลังรับม็อบเชลียร์
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เพื่อให้ขั้นตอนการฟังคำสั่งคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสามารถนำตัวผู้ถูกกล่าวหาไปยื่นฟ้องต่อศาลได้ทันที ทางอัยการได้เตรียมทำคำฟ้องเอาไว้จำนวน 3 ชุด เพื่อรองรับกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหามารายงานตัวไม่พร้อมกัน หรือมีบางรายขอเลื่อนนัดเพื่อให้สามารถแยกสำนวนฟ้องได้
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษเพื่อดูแลความเรียบร้อย เนื่องจากคาดว่าจะมีกลุ่มประชาชนเข้าให้กำลังใจคุณหญิงพจมานจำนวนมาก อย่างไรก็ดี หากกลุ่มผู้สนับสนุนต้องการเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ในขั้นตอนการฟังคำสั่งคดีก็ถือเป็นสิทธิที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดคงไม่สามรถปิดกั้นได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของศาลอาญามีการเตรียมห้องรับรองพิเศษไว้ให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 พักในระหว่างศาลพิจารณาคำร้องขอประกันตัว แต่ไม่มีการขอกำลังตำรวจนครบาล หรือเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ เนื่องจากเชื่อว่ากลุ่มผู้สนับสนุนคุณหญิงพจมานจะไม่กล้าก่อความวุ่นวาย เพราะได้รับบทเรียนจากกรณีที่ศาลสั่งจำคุกกลุ่มผู้สนับสนุน พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวก ที่ละเมิดอำนาจศาลมาแล้วก่อนหน้านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลอาญาว่า ที่บริเวณประตูทางเข้าศาลอาญา เจ้าหน้าที่ รปภ.ได้นำแผงเหล็กล้อเลื่อนมาวางกั้นเรียงเป็นแถวตั้งแต่เชิงบันไดทางขึ้นเรียงยาวไปจนประตูทางเข้าอาคารศาลชั้น 2 เพื่อกั้นเป็นทางเดินสำหรับรับตัวผู้ต้องหาทั้งสาม และเพื่อจัดพื้นที่ไว้สำหรับสื่อมวลชนที่จะติดตามมาทำข่าว โดยภายในอาคารศาลอาญาตั้งแต่ประตูทางเข้าไปจนถึงห้องรับฟ้อง และส่วนงานยื่นประกันตัว เจ้าหน้าที่ รปภ.ยังได้นำแผงเสาเหล็กมากั้นทางเดินสำหรับผู้ต้องหาทั้งสามด้วย ทั้งนี้เพื่อความสงบเรียบร้อยภายในบริเวณศาล
**“พจมาน”พร้อมขึ้นศาลขอยื่นประกันตัว
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาอดีตนายกฯนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน จะต้องเดินทางไปยังศาลเพื่อรายงานตัวในคดีที่ตกเป็นจำเลยหลีกเลี่ยงภาษีว่า ทั้ง 3 คน รวมทั้งตนและทีมทนายความ จะเดินทางไปยังศาลเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมทั้งเตรียมเอกสารขอยื่นประกันตัว โดยหวังว่าศาลจะใช้ดุลพินิจให้ความกรุณาต่อทั้ง 3 คน เพราะไม่มีเจตนาที่จะหลบหนี และมีที่อยู่ติดต่อได้อย่างเป็นทางการ
ด้านนายสัก กอแสงเรือง คณะกรรมการตรวจสอบที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า คตส.มั่นใจในพยานหลักฐาน ที่ส่งไปยังศาล เพราะได้กลั่นกรองและพิจารณากันอย่างดี และเพียงพอแล้ว คิดว่าจากพยานหลักฐานน่าจะสามารถมัดตัวผู้ที่กระทำผิดได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นศาล ปล่อยให้เป็นเรื่องของศาลที่จะตัดสิน ตนไม่อยากจะออกความคิดเห็นมากไปกว่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาล และหากศาลจะพิจารณาออกมาอย่างไรแล้วแต่การพิจารณาของศาล คตส.จะไม่ไปก้าวก่าย
** “แก้วสรร” เอือมช่อง 5
นายอภิชาต ทองอยู่ ผู้จัดทำรายการ "แกะรอยคอรัปชั่น" ซึ่งเป็นรายการที่ทาง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ( คตส.) เป็นผู้ผลิต เปิดเผยว่า รายการนี้ทางคตส. ผลิตขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ปัญหาการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกิดขึ้นในสังคม โดยทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ( คมช.) เห็นชอบ โดยเป็นผู้อนุมัติงบประมาณ และหาเวลาออกอากาศโดยให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เป็นผู้รับผิดชอบ และเมื่อกำหนดรูปแบบรายการเบื้องต้นว่า จะเป็นรายการ 1 ชั่วโมง แต่ทางช่อง5 ปฏิเสธ โดยระบุว่าเวลามีไม่พ และให้เวลาเพียง 2 วันเสาร์อาทิตย์ วันละครึ่งชั่วโมง ซึ่งรายการผลิตไปแล้วส่วนหนึ่งต้องกลับมาตัดต่อใหม่โดยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. แต่พอในสัปดาห์ที่ 2 ทางช่อง 5 ก็งดออกอากาศ โดยชี้แจงว่าติดถ่ายทอดรายการอื่น ครั้นถึงสัปดาห์ที่ 3 ทางช่อง 5 ก็กลับนำรายการที่จะออกในวันอาทิตย์มาออกวันเสาร์แทน ทำให้ดูไม่รู้เรื่อง
"นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบรายการนี้ รีบโทรศัพท์มาหาผม ถามว่า เกิดอะไรขึ้น โดยปกติ รูปแบบวันเสาร์จะเกริ่นนำ และรายละเอียดจะอยู่ในวันอาทิตย์ แต่เมื่อวันเสาร์ที่ 24 มี.ค. กลับมีข้อความขึ้นต้นว่า ความเดิมจากตอนที่แล้ว ตอนจบก็ขึ้น ว่าให้ติดตามต่อสัปดาห์หน้า แล้วใครจะดูรู้เรื่อง นายแก้วสรร ยังบอกกับผมว่า สงสัยช่อง 5 จะวางยา คตส. และป่วน คมช. โดย การวางยารายการนี้ เพราะการเปิดเผยทุจริต อาจมีผู้เสียผลประโยชน์บางคนแฝงตัวอยู่ในช่อง 5 เพราะแค่ออกอากาศอาทิตย์ที่ 3 ก็มีแต่เรื่องชวนปวดหัว เต็มไปหมด”นายอภิชาตกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางช่อง 5 ได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร นายอภิชาต กล่าวตอบว่า ทางช่อง 5 ได้ชี้แจงเบื้องต้นว่า จะตั้งกรรมการสอบ แต่นายแก้วสรรก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทางช่อง 5ก็เปิดทำงานมานานแล้ว แต่ปัญหาเอารายการออกสลับวัน ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงมาเกิดกับรายการของคตส. เท่านั้น แม้รองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 บอกว่า จะให้ออกวันอาทิตย์เต็มชั่วโมง แต่เวลาที่กำหนดไว้ก็เลื่อนหมด ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร นายแก้วสรรจึงขอเรียกร้องไปยังคมช. ให้ไปดูว่า เกิดอะไรขึ้นในช่อง 5 มีพวกเสียผลประโยชน์ หรือพวกเกียร์ว่างอยู่หรือไม่ ส่วนทางคตส. คงทำได้เพียงแต่ติดตามดูพฤติกรรมของช่อง 5 ต่อไป
**รอข้อมูลคตส.ก่อนเชือด “เอม-โอ๊ค”
นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากรจะยังไม่ดำเนินการประเมินภาษีจากนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร ในส่วนต่างที่ได้จากการซื้อขายหุ้นระหว่างบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เม้นท์ จำกัด กับ บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในตอนนี้เพราะยังจะต้องรอผลการสรุปการตรวจสอบจากคณะอนุกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่มี นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ เป็นประธานก่อนเพื่อนำข้อมูลทีได้มาเทียบเคียงกับข้อมูลที่กรมสรรพากรมีว่าจะมีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
“ในกรณีทั้งนายพานทองแม้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร ยังสามารถยื่นและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี2549 ได้ถึงวันที่ 2 เม.ย.นี้ แต่ถ้าทั้งสองคนไม่มายื่นแบบตามที่กำหนด กรมสรรพากรก็จะทำการประเมินภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีจากทั้งสองคน และถ้าทั้งสองคนยังไม่เห็นด้วยการกับการประเมินภาษีของกรมสรรพากร ก็จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีขึ้นมา เช่นเดียวกันถ้าทั้งสอคนยังยืนยันตามเดิมที่จะไม่เสียภาษี กรมสรรพากรจะต้องดำเนินการฟ้องศาลภาษีต่อไป”นายศานิต กล่าว
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็ได้มีการหารือกับนายวิโรจน์เป็นการส่วนตัวมาตลอด แต่ก็มีความจำเป็นเหมือนกันที่ภายในสัปดาห์นี้อาจจะต้องมีการหารือร่วมกับนายวิโรจน์และคณะอนุกรรมการตรวจสอบอีกครั้ง เพราะใกล้จะครบกำหนดในการยื่นเสียภาษีในวันที่ 2 เม.ย.แล้ว นอกจากนี้ในเรื่องของหนังสือหารือภาษีที่ผู้บริหารกรมสรรพากรในอดีตได้ตอบไปว่าซื้อหุ้นไม่มีภาระภาษีไปก่อนหน้านี้นั้น ตรงนี้ไม่ถือว่าจะเป็นจุดอ่อนในการดำเนินคดีเพราะตามกฎหมายหนังสือความเห็นของกรมสรรพากรไม่มีผลผูกพันในทางกฎหมาย
“กรณีถ้ามีข้อเท็จจริงหรือมีหลักฐานเกิดใหม่กรมสรรพากรก็อาจจะเชิญบุคคลนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทามาชี้แจง และถ้ามีข้อเท็จจริงใหม่เกิดขึ้นก็จะส่งผลให้หนังสือที่เป็นความเห็นของกรมสรรพากรจะไม่มีผลผูกพัน ซึ่งในกรณนี้ศาลเองก็เคยวินิจฉัยแล้วเช่นกันว่าหนังสือแบบนี้ไม่มีผลผูกพัน” อธิบดีกรมสรรพากรกล่าว
ด้านนายวิโรจน์ กล่าวว่า ยังไม่ได้ทราบถึงการที่อธิบดีกรมสรรพากรจะขอหารืออย่างเป็นทางการ เพราะตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการทำงานของคณะอนุกรรมการตรวจสอบอยู่ ซึ่งอนุกรรมการจะเร่งรัดผลการตรวจสอบให้เสร็จภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้หลังจากที่ได้รับฟังคำชี้แจงจากนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ผู้ทำหนังสือหารือ
**เรียก “ศรีสุข” รับข้อกล่าวหา
คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา คตส.ในฐานะประธานตรวจสอบโครงการท่อร้อยสาย กล่าวถึงความคืบหน้าของท่อร้อยสายว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมาได้เชิญผู้จัดการบริษัท พีเอ็มซี ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ มาให้ข้อมูล เพราะบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทผู้ออกแบบท่อร้อยสาย ซึ่งได้ใช้เวลาในการซักถามกันนานมาก เพราะต้องใช้ล่ามมาช่วยแปร และผู้จัดการบริษัท พีเอ็มซี ก็พยายามตอบบ่ายเบี่ยง และตอบไม่ตรงประเด็น
ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากคณะอนุกรรมการไต่สวนเปิดเผยว่าสำหรับความคืบหน้าการสอบสวนเอาผิดผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการดังกล่าวที่อนุกรรมการเตรียมกล่าวโทษบริษัทเอกชนเพิ่มอีก 3 บริษัทนั้น ล่าสุดอนุกรรมการเตรียมทำหนังสือเรียกให้ผู้ถูกชี้มูลความผิดมารับทราบข้อกล่าวหาแล้วเช่นนายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมและอดีตประธานบอร์ดบทม.รวมทั้งตัวแทนกลุ่มบริษัทเอกชนที่เข้าประมูลก่อสร้างโครงการท่อร้อยสายที่ถูกคตส.ชี้มูลความผิด ซึ่งจากการสอบ
สวนของอนุกรรมการไต่สวนพบข้อมูลเชิงลึกว่าเดิมที่มีการตั้งอนุกรรมการ
ไต่สวนเพราะพบว่ามีการล็อกสเปกและฮั้วประมูลในโครงการท่อร้อยสาย
แต่เมื่อสอบสวนขยายผลไปพบว่ามีการทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ของกรรมการที่เกี่ยวข้องเช่นกรรมการประกวดราคา กรรมการออกแบบ
งานก่อสร้างและการอนุมัติของบอร์ดทอท.และบทม.
“เดิมในการสอบของอนุกรรมการสอบสวนก่อนการชี้มูลพบว่ามีการล็อก
สเปกชัดเจนในการประมูลท่อร้อยสายแต่เมื่อสอบในชั้นไต่สวนกลับพบว่ามีการ
ล็อกอย่างอื่นด้วยเช่นล็อกท่อบ่อพัก ล็อกตัวตัดไฟในท่อร้อยสาย ซึ่งเป็นอุปกรณ์
พ่วงในท่อร้อยสายคือมีการล็อกสองชั้น เพราะกรรมการที่เกี่ยวข้องไปเขียน
สเปกให้ว่าในการทำท่อร้อยสายซึ่งจะต้องมีอุปกรณ์พ่วงเช่นบ่อพัก ตัวตัวไฟ
มีการเขียนล็อกเอาไว้ให้กับบางบริษัทซึ่งผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์พวกนี้เพียง
รายเดียวในประเทศไทยในลักษณะการผูกขาดทั้งที่สเปกของอุปกรณ์สามารถ
ใช้อย่างอื่นได้แต่อันนี้ไปล็อกให้ใช้แค่ของบริษัทที่ได้งาน เป็นการล็อกพ่วง
ที่ทำให้ในการสร้างท่อร้อยสายเมื่อสเปกอุปกรณ์เพิ่มถูกล็อกเอาไว้ก็ทำให้ตัว
ท่อใหญ่ต้องใช้อุปกรณ์แบบอื่นไม่ได้ด้วยก็ทำให้เกิดการฮั้วประมูลกันในท่อร้อย
สายเท่ากับเป็นการล็อกสองชั้นที่ทำได้แนบเนียนมาก งานนี้อดีตบอร์ดบทม.ที่
เป็นคนสั่งการจะต้องรับผิดชอบและต้องถูกเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแม้ล่าสุด
จะพยายามถ่วงเวลาออกไปโดยอ้างว่าไม่สบายจนไม่มารับทราบข้อกล่าวหา
ในคดีซีทีเอ็กซ์ที่โดนชี้มูลด้วยแต่ก็คงไม่พ้นความผิด”แหล่งข่าวจากอนุกรรม
การไต่สวนระบุ
**“พาสทิญ่า” ร้อง “นาม-จารุวรรณ”
ผู้สื่อรายงานจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ว่า บริษัทพาสทิญ่า ไทย (จำกัด)ได้ทำหนังสือร้องเรียนมายัง นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส เพื่อให้ความเป็นธรรม แก่บริษัทพาสทิญ่าไทย(จำกัด) เนื่องจากถูกอนุฯตรวจสอบบ้านเอื้ออาทรข่มขู่ในขณะที่เข้ามาชี้แจง
นายแก้วสรร อติโพธิ ประธานอนุกรรมการสอบสวนการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของคตส.ยอมรับว่า ทางบริษัทพาสทิญ่า ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมมายังคตส.จริง แต่รายละเอียดในหนังสือร้องขอความเป็นธรรมคงไม่สามารถเปิดเผยได้และเรื่องนี้อนุกรรมการคงไม่นำมาทบทวนอะไรเพราะได้มีการชี้มูลความผิดไปแล้วจะไปว่ากันในชั้นอนุกรรมการไต่สวนเลยรวดเดียวเพราะคดีนี้คตส.ได้มีมติชี้มูลความผิดและตั้งอนุกรรมการไต่สวนไปแล้ว
สำหรับการชี้แจงของนางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ อดีตผู้ว่าการเคหะแห่งชาติเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมาที่ใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมงนั้นนางชวนพิศส่วนใหญ่บอกว่าจำรายละเอียดในเรื่องต่างๆที่ถามไม่ค่อยได้เพราะต้องดูเอกสารประกอบ ดังนั้น ก็จะให้โอ
กาสนางชวนพิศทำหนังสือชี้แจงกลับมาอีกครั้งหรือนางชวนพิศจะขอใช้สิทธิ์กลับมาชี้แจงเป็นรอบที่สองก็ได้ และขณะนี้ทางอนุกรรมการคงยังไม่ทำหนังสือเรียกผู้บริหารบริษัทเดวา พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งรับผิดชอบโครงการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า-บางพลีที่อนุกรรมการกำลังสอบอยู่มาชี้แจงเพราะอยู่ในชั้นการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่จึงยังไม่ต้องเรียกมาถามเวลานี้
**รถดับเพลิงฉาวสอบ“โภคิน”คนแรก
นายประเสริฐ บุญศรี ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกทม. ในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ จะเรียกประชุมคณะกรรมการไต่สวนนัดแรก เพื่อวางกรอบการทำงาน และขณะนี้นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. ได้ส่งรายชื่ออนุกรรมการไปยัง 5 ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อให้ใช้สิทธิ์คัดค้านรายชื่ออนุกรรมการฯแล้ว ทั้งนี้ในเบื้องต้นคาดว่า จะเชิญผู้ถูกกล่าวหาเข้ารับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหาประมาณปลายเดือนเม.ย. ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาสามารถชี้แจงเป็นวาจาหรือเอกสารก็ได้ อนุกรรมการพร้อมบันทึกปากคำอย่างละเอียด
ทั้งนี้ คนแรกที่เชิญมาชี้แจงข้อกล่าวหาคือนายโภคิน พลกุล เนื่องจากไม่ได้ถูกเรียกให้เข้าชี้แจงในชั้นตรวจสอบ จากนั้นจะเป็นคิวของนายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย ตามด้วยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯกทม. นายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีตผู้ช่วยเลขานุการรมว.มหาดไทย และพล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. เป็นรายสุดท้าย
นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. กล่าวถึงการประชุมคตส.ในวันที่ 26มี.ค.ว่า ที่ประชุมอาจจะไม่มีการชี้มูลตั้งอนุกรรมการไต่สวนในโครงการที่เหลืออยู่ เนื่องจากคดีการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการคตส.ดูแลอยู่ และเตรียมที่จะเสนอให้ที่ประชุมชี้มูล ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ในชั้นตรวจสอบ จึงเลื่อนการเสนอต่อที่ประชุมออกไปก่อน แต่ที่ประชุมจะมีวาระการพิจารณากรณีการคัดค้านรายชื่ออนุกรรมการไต่สวนบางคณะ ซึ่งเป็นไปได้ว่าที่ประชุมจะไม่รับคำค้าน เนื่องจากเป็นการค้านที่ไม่เข้ากรอบ
นายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า วันนี้ (26 มี.ค.) เวลา 10.00 น. คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวจะต้องเดินทางเข้ารายงานตัวต่อพนักงานอัยการเพื่อรับทราบความเห็นสั่งฟ้องในความผิดฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีอากร โดยเท็จ โดยฉ้อโกง และโดยอุบายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) และร่วมกันจงใจแสดงข้อความหรือตอบคำถามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีหุ้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 ในกรณีหลีกเลี่ยงจากภาษีโอนหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตามหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 จะต้องเดินทางไปแสดงตัวที่ฝ่ายอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 บริเวณ ชั้น 11 สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก และจะเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับที่ห้องทำงานของนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ซึ่งเตรียมไว้เป็นห้องรับรอง ก่อนที่อัยการเจ้าของสำนวนจะนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา
“ผมยืนยันด้วยว่า ไม่มีการวิ่งเต้นเพื่อล้มคดี หรือแม้มีก็ไม่มีผล เพราะได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และข้อกฎหมาย ซึ่งมั่นใจว่าแน่นหนาเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้ เว้นแต่จะมีการกลับคำให้การ หรือมีเอกสารอื่นมาล้มล้าง แต่ถ้าไม่มี ก็เชื่อว่าสำนวนนี้สมบูรณ์พอที่จะสั่งฟ้องได้”นายอรรถพลกล่าว
นายอรรถพลยังเชื่อว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวไม่น่ายืดเยื้อ เพราะการพิจารณาคดีอาญาในปัจจุบันแตกต่างจากอดีต เมื่อศาลรับคำฟ้องก็อาจนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายเพื่อตกลงวันว่าง และกำหนดนัดพิจารณาคดีต่อเนื่องจนครบกระบวนการ ดังนั้น เมื่อเริ่มนับหนึ่งเมื่อไร กระบวนการจะดำเนินการไปอย่างรวดเร็วทันที หากศาลเห็นว่าเป็นคดีสำคัญก็อาจเร่งรัดการพิจารณาคดี
ส่วนการขอปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ถือเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่ หรือใช้หลักทรัพย์ประกันตัวเท่าไร แต่หากผู้ถูกกล่าวหาไม่มาตามนัด อัยการก็เตรียมปรับคำฟ้องไว้แล้ว และเป็นหน้าที่ของ คตส. ที่ต้องส่งตัวมา หากมีพฤติกรรมหลบหนีก็ต้องขออนุมัติออกหมายจับ
**เพิ่มกำลังรับม็อบเชลียร์
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เพื่อให้ขั้นตอนการฟังคำสั่งคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสามารถนำตัวผู้ถูกกล่าวหาไปยื่นฟ้องต่อศาลได้ทันที ทางอัยการได้เตรียมทำคำฟ้องเอาไว้จำนวน 3 ชุด เพื่อรองรับกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหามารายงานตัวไม่พร้อมกัน หรือมีบางรายขอเลื่อนนัดเพื่อให้สามารถแยกสำนวนฟ้องได้
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษเพื่อดูแลความเรียบร้อย เนื่องจากคาดว่าจะมีกลุ่มประชาชนเข้าให้กำลังใจคุณหญิงพจมานจำนวนมาก อย่างไรก็ดี หากกลุ่มผู้สนับสนุนต้องการเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ในขั้นตอนการฟังคำสั่งคดีก็ถือเป็นสิทธิที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดคงไม่สามรถปิดกั้นได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของศาลอาญามีการเตรียมห้องรับรองพิเศษไว้ให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 พักในระหว่างศาลพิจารณาคำร้องขอประกันตัว แต่ไม่มีการขอกำลังตำรวจนครบาล หรือเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ เนื่องจากเชื่อว่ากลุ่มผู้สนับสนุนคุณหญิงพจมานจะไม่กล้าก่อความวุ่นวาย เพราะได้รับบทเรียนจากกรณีที่ศาลสั่งจำคุกกลุ่มผู้สนับสนุน พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวก ที่ละเมิดอำนาจศาลมาแล้วก่อนหน้านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลอาญาว่า ที่บริเวณประตูทางเข้าศาลอาญา เจ้าหน้าที่ รปภ.ได้นำแผงเหล็กล้อเลื่อนมาวางกั้นเรียงเป็นแถวตั้งแต่เชิงบันไดทางขึ้นเรียงยาวไปจนประตูทางเข้าอาคารศาลชั้น 2 เพื่อกั้นเป็นทางเดินสำหรับรับตัวผู้ต้องหาทั้งสาม และเพื่อจัดพื้นที่ไว้สำหรับสื่อมวลชนที่จะติดตามมาทำข่าว โดยภายในอาคารศาลอาญาตั้งแต่ประตูทางเข้าไปจนถึงห้องรับฟ้อง และส่วนงานยื่นประกันตัว เจ้าหน้าที่ รปภ.ยังได้นำแผงเสาเหล็กมากั้นทางเดินสำหรับผู้ต้องหาทั้งสามด้วย ทั้งนี้เพื่อความสงบเรียบร้อยภายในบริเวณศาล
**“พจมาน”พร้อมขึ้นศาลขอยื่นประกันตัว
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาอดีตนายกฯนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน จะต้องเดินทางไปยังศาลเพื่อรายงานตัวในคดีที่ตกเป็นจำเลยหลีกเลี่ยงภาษีว่า ทั้ง 3 คน รวมทั้งตนและทีมทนายความ จะเดินทางไปยังศาลเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมทั้งเตรียมเอกสารขอยื่นประกันตัว โดยหวังว่าศาลจะใช้ดุลพินิจให้ความกรุณาต่อทั้ง 3 คน เพราะไม่มีเจตนาที่จะหลบหนี และมีที่อยู่ติดต่อได้อย่างเป็นทางการ
ด้านนายสัก กอแสงเรือง คณะกรรมการตรวจสอบที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า คตส.มั่นใจในพยานหลักฐาน ที่ส่งไปยังศาล เพราะได้กลั่นกรองและพิจารณากันอย่างดี และเพียงพอแล้ว คิดว่าจากพยานหลักฐานน่าจะสามารถมัดตัวผู้ที่กระทำผิดได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นศาล ปล่อยให้เป็นเรื่องของศาลที่จะตัดสิน ตนไม่อยากจะออกความคิดเห็นมากไปกว่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาล และหากศาลจะพิจารณาออกมาอย่างไรแล้วแต่การพิจารณาของศาล คตส.จะไม่ไปก้าวก่าย
** “แก้วสรร” เอือมช่อง 5
นายอภิชาต ทองอยู่ ผู้จัดทำรายการ "แกะรอยคอรัปชั่น" ซึ่งเป็นรายการที่ทาง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ( คตส.) เป็นผู้ผลิต เปิดเผยว่า รายการนี้ทางคตส. ผลิตขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ปัญหาการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกิดขึ้นในสังคม โดยทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ( คมช.) เห็นชอบ โดยเป็นผู้อนุมัติงบประมาณ และหาเวลาออกอากาศโดยให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เป็นผู้รับผิดชอบ และเมื่อกำหนดรูปแบบรายการเบื้องต้นว่า จะเป็นรายการ 1 ชั่วโมง แต่ทางช่อง5 ปฏิเสธ โดยระบุว่าเวลามีไม่พ และให้เวลาเพียง 2 วันเสาร์อาทิตย์ วันละครึ่งชั่วโมง ซึ่งรายการผลิตไปแล้วส่วนหนึ่งต้องกลับมาตัดต่อใหม่โดยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. แต่พอในสัปดาห์ที่ 2 ทางช่อง 5 ก็งดออกอากาศ โดยชี้แจงว่าติดถ่ายทอดรายการอื่น ครั้นถึงสัปดาห์ที่ 3 ทางช่อง 5 ก็กลับนำรายการที่จะออกในวันอาทิตย์มาออกวันเสาร์แทน ทำให้ดูไม่รู้เรื่อง
"นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบรายการนี้ รีบโทรศัพท์มาหาผม ถามว่า เกิดอะไรขึ้น โดยปกติ รูปแบบวันเสาร์จะเกริ่นนำ และรายละเอียดจะอยู่ในวันอาทิตย์ แต่เมื่อวันเสาร์ที่ 24 มี.ค. กลับมีข้อความขึ้นต้นว่า ความเดิมจากตอนที่แล้ว ตอนจบก็ขึ้น ว่าให้ติดตามต่อสัปดาห์หน้า แล้วใครจะดูรู้เรื่อง นายแก้วสรร ยังบอกกับผมว่า สงสัยช่อง 5 จะวางยา คตส. และป่วน คมช. โดย การวางยารายการนี้ เพราะการเปิดเผยทุจริต อาจมีผู้เสียผลประโยชน์บางคนแฝงตัวอยู่ในช่อง 5 เพราะแค่ออกอากาศอาทิตย์ที่ 3 ก็มีแต่เรื่องชวนปวดหัว เต็มไปหมด”นายอภิชาตกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางช่อง 5 ได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร นายอภิชาต กล่าวตอบว่า ทางช่อง 5 ได้ชี้แจงเบื้องต้นว่า จะตั้งกรรมการสอบ แต่นายแก้วสรรก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทางช่อง 5ก็เปิดทำงานมานานแล้ว แต่ปัญหาเอารายการออกสลับวัน ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงมาเกิดกับรายการของคตส. เท่านั้น แม้รองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 บอกว่า จะให้ออกวันอาทิตย์เต็มชั่วโมง แต่เวลาที่กำหนดไว้ก็เลื่อนหมด ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร นายแก้วสรรจึงขอเรียกร้องไปยังคมช. ให้ไปดูว่า เกิดอะไรขึ้นในช่อง 5 มีพวกเสียผลประโยชน์ หรือพวกเกียร์ว่างอยู่หรือไม่ ส่วนทางคตส. คงทำได้เพียงแต่ติดตามดูพฤติกรรมของช่อง 5 ต่อไป
**รอข้อมูลคตส.ก่อนเชือด “เอม-โอ๊ค”
นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากรจะยังไม่ดำเนินการประเมินภาษีจากนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร ในส่วนต่างที่ได้จากการซื้อขายหุ้นระหว่างบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เม้นท์ จำกัด กับ บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในตอนนี้เพราะยังจะต้องรอผลการสรุปการตรวจสอบจากคณะอนุกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่มี นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ เป็นประธานก่อนเพื่อนำข้อมูลทีได้มาเทียบเคียงกับข้อมูลที่กรมสรรพากรมีว่าจะมีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
“ในกรณีทั้งนายพานทองแม้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร ยังสามารถยื่นและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี2549 ได้ถึงวันที่ 2 เม.ย.นี้ แต่ถ้าทั้งสองคนไม่มายื่นแบบตามที่กำหนด กรมสรรพากรก็จะทำการประเมินภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีจากทั้งสองคน และถ้าทั้งสองคนยังไม่เห็นด้วยการกับการประเมินภาษีของกรมสรรพากร ก็จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีขึ้นมา เช่นเดียวกันถ้าทั้งสอคนยังยืนยันตามเดิมที่จะไม่เสียภาษี กรมสรรพากรจะต้องดำเนินการฟ้องศาลภาษีต่อไป”นายศานิต กล่าว
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็ได้มีการหารือกับนายวิโรจน์เป็นการส่วนตัวมาตลอด แต่ก็มีความจำเป็นเหมือนกันที่ภายในสัปดาห์นี้อาจจะต้องมีการหารือร่วมกับนายวิโรจน์และคณะอนุกรรมการตรวจสอบอีกครั้ง เพราะใกล้จะครบกำหนดในการยื่นเสียภาษีในวันที่ 2 เม.ย.แล้ว นอกจากนี้ในเรื่องของหนังสือหารือภาษีที่ผู้บริหารกรมสรรพากรในอดีตได้ตอบไปว่าซื้อหุ้นไม่มีภาระภาษีไปก่อนหน้านี้นั้น ตรงนี้ไม่ถือว่าจะเป็นจุดอ่อนในการดำเนินคดีเพราะตามกฎหมายหนังสือความเห็นของกรมสรรพากรไม่มีผลผูกพันในทางกฎหมาย
“กรณีถ้ามีข้อเท็จจริงหรือมีหลักฐานเกิดใหม่กรมสรรพากรก็อาจจะเชิญบุคคลนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทามาชี้แจง และถ้ามีข้อเท็จจริงใหม่เกิดขึ้นก็จะส่งผลให้หนังสือที่เป็นความเห็นของกรมสรรพากรจะไม่มีผลผูกพัน ซึ่งในกรณนี้ศาลเองก็เคยวินิจฉัยแล้วเช่นกันว่าหนังสือแบบนี้ไม่มีผลผูกพัน” อธิบดีกรมสรรพากรกล่าว
ด้านนายวิโรจน์ กล่าวว่า ยังไม่ได้ทราบถึงการที่อธิบดีกรมสรรพากรจะขอหารืออย่างเป็นทางการ เพราะตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการทำงานของคณะอนุกรรมการตรวจสอบอยู่ ซึ่งอนุกรรมการจะเร่งรัดผลการตรวจสอบให้เสร็จภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้หลังจากที่ได้รับฟังคำชี้แจงจากนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ผู้ทำหนังสือหารือ
**เรียก “ศรีสุข” รับข้อกล่าวหา
คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา คตส.ในฐานะประธานตรวจสอบโครงการท่อร้อยสาย กล่าวถึงความคืบหน้าของท่อร้อยสายว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมาได้เชิญผู้จัดการบริษัท พีเอ็มซี ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ มาให้ข้อมูล เพราะบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทผู้ออกแบบท่อร้อยสาย ซึ่งได้ใช้เวลาในการซักถามกันนานมาก เพราะต้องใช้ล่ามมาช่วยแปร และผู้จัดการบริษัท พีเอ็มซี ก็พยายามตอบบ่ายเบี่ยง และตอบไม่ตรงประเด็น
ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากคณะอนุกรรมการไต่สวนเปิดเผยว่าสำหรับความคืบหน้าการสอบสวนเอาผิดผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการดังกล่าวที่อนุกรรมการเตรียมกล่าวโทษบริษัทเอกชนเพิ่มอีก 3 บริษัทนั้น ล่าสุดอนุกรรมการเตรียมทำหนังสือเรียกให้ผู้ถูกชี้มูลความผิดมารับทราบข้อกล่าวหาแล้วเช่นนายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมและอดีตประธานบอร์ดบทม.รวมทั้งตัวแทนกลุ่มบริษัทเอกชนที่เข้าประมูลก่อสร้างโครงการท่อร้อยสายที่ถูกคตส.ชี้มูลความผิด ซึ่งจากการสอบ
สวนของอนุกรรมการไต่สวนพบข้อมูลเชิงลึกว่าเดิมที่มีการตั้งอนุกรรมการ
ไต่สวนเพราะพบว่ามีการล็อกสเปกและฮั้วประมูลในโครงการท่อร้อยสาย
แต่เมื่อสอบสวนขยายผลไปพบว่ามีการทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ของกรรมการที่เกี่ยวข้องเช่นกรรมการประกวดราคา กรรมการออกแบบ
งานก่อสร้างและการอนุมัติของบอร์ดทอท.และบทม.
“เดิมในการสอบของอนุกรรมการสอบสวนก่อนการชี้มูลพบว่ามีการล็อก
สเปกชัดเจนในการประมูลท่อร้อยสายแต่เมื่อสอบในชั้นไต่สวนกลับพบว่ามีการ
ล็อกอย่างอื่นด้วยเช่นล็อกท่อบ่อพัก ล็อกตัวตัดไฟในท่อร้อยสาย ซึ่งเป็นอุปกรณ์
พ่วงในท่อร้อยสายคือมีการล็อกสองชั้น เพราะกรรมการที่เกี่ยวข้องไปเขียน
สเปกให้ว่าในการทำท่อร้อยสายซึ่งจะต้องมีอุปกรณ์พ่วงเช่นบ่อพัก ตัวตัวไฟ
มีการเขียนล็อกเอาไว้ให้กับบางบริษัทซึ่งผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์พวกนี้เพียง
รายเดียวในประเทศไทยในลักษณะการผูกขาดทั้งที่สเปกของอุปกรณ์สามารถ
ใช้อย่างอื่นได้แต่อันนี้ไปล็อกให้ใช้แค่ของบริษัทที่ได้งาน เป็นการล็อกพ่วง
ที่ทำให้ในการสร้างท่อร้อยสายเมื่อสเปกอุปกรณ์เพิ่มถูกล็อกเอาไว้ก็ทำให้ตัว
ท่อใหญ่ต้องใช้อุปกรณ์แบบอื่นไม่ได้ด้วยก็ทำให้เกิดการฮั้วประมูลกันในท่อร้อย
สายเท่ากับเป็นการล็อกสองชั้นที่ทำได้แนบเนียนมาก งานนี้อดีตบอร์ดบทม.ที่
เป็นคนสั่งการจะต้องรับผิดชอบและต้องถูกเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแม้ล่าสุด
จะพยายามถ่วงเวลาออกไปโดยอ้างว่าไม่สบายจนไม่มารับทราบข้อกล่าวหา
ในคดีซีทีเอ็กซ์ที่โดนชี้มูลด้วยแต่ก็คงไม่พ้นความผิด”แหล่งข่าวจากอนุกรรม
การไต่สวนระบุ
**“พาสทิญ่า” ร้อง “นาม-จารุวรรณ”
ผู้สื่อรายงานจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ว่า บริษัทพาสทิญ่า ไทย (จำกัด)ได้ทำหนังสือร้องเรียนมายัง นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส เพื่อให้ความเป็นธรรม แก่บริษัทพาสทิญ่าไทย(จำกัด) เนื่องจากถูกอนุฯตรวจสอบบ้านเอื้ออาทรข่มขู่ในขณะที่เข้ามาชี้แจง
นายแก้วสรร อติโพธิ ประธานอนุกรรมการสอบสวนการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของคตส.ยอมรับว่า ทางบริษัทพาสทิญ่า ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมมายังคตส.จริง แต่รายละเอียดในหนังสือร้องขอความเป็นธรรมคงไม่สามารถเปิดเผยได้และเรื่องนี้อนุกรรมการคงไม่นำมาทบทวนอะไรเพราะได้มีการชี้มูลความผิดไปแล้วจะไปว่ากันในชั้นอนุกรรมการไต่สวนเลยรวดเดียวเพราะคดีนี้คตส.ได้มีมติชี้มูลความผิดและตั้งอนุกรรมการไต่สวนไปแล้ว
สำหรับการชี้แจงของนางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ อดีตผู้ว่าการเคหะแห่งชาติเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมาที่ใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมงนั้นนางชวนพิศส่วนใหญ่บอกว่าจำรายละเอียดในเรื่องต่างๆที่ถามไม่ค่อยได้เพราะต้องดูเอกสารประกอบ ดังนั้น ก็จะให้โอ
กาสนางชวนพิศทำหนังสือชี้แจงกลับมาอีกครั้งหรือนางชวนพิศจะขอใช้สิทธิ์กลับมาชี้แจงเป็นรอบที่สองก็ได้ และขณะนี้ทางอนุกรรมการคงยังไม่ทำหนังสือเรียกผู้บริหารบริษัทเดวา พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งรับผิดชอบโครงการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรร่มเกล้า-บางพลีที่อนุกรรมการกำลังสอบอยู่มาชี้แจงเพราะอยู่ในชั้นการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่จึงยังไม่ต้องเรียกมาถามเวลานี้
**รถดับเพลิงฉาวสอบ“โภคิน”คนแรก
นายประเสริฐ บุญศรี ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกทม. ในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ จะเรียกประชุมคณะกรรมการไต่สวนนัดแรก เพื่อวางกรอบการทำงาน และขณะนี้นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. ได้ส่งรายชื่ออนุกรรมการไปยัง 5 ผู้ถูกกล่าวหาเพื่อให้ใช้สิทธิ์คัดค้านรายชื่ออนุกรรมการฯแล้ว ทั้งนี้ในเบื้องต้นคาดว่า จะเชิญผู้ถูกกล่าวหาเข้ารับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหาประมาณปลายเดือนเม.ย. ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาสามารถชี้แจงเป็นวาจาหรือเอกสารก็ได้ อนุกรรมการพร้อมบันทึกปากคำอย่างละเอียด
ทั้งนี้ คนแรกที่เชิญมาชี้แจงข้อกล่าวหาคือนายโภคิน พลกุล เนื่องจากไม่ได้ถูกเรียกให้เข้าชี้แจงในชั้นตรวจสอบ จากนั้นจะเป็นคิวของนายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย ตามด้วยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯกทม. นายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีตผู้ช่วยเลขานุการรมว.มหาดไทย และพล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. เป็นรายสุดท้าย
นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส. กล่าวถึงการประชุมคตส.ในวันที่ 26มี.ค.ว่า ที่ประชุมอาจจะไม่มีการชี้มูลตั้งอนุกรรมการไต่สวนในโครงการที่เหลืออยู่ เนื่องจากคดีการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการคตส.ดูแลอยู่ และเตรียมที่จะเสนอให้ที่ประชุมชี้มูล ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ในชั้นตรวจสอบ จึงเลื่อนการเสนอต่อที่ประชุมออกไปก่อน แต่ที่ประชุมจะมีวาระการพิจารณากรณีการคัดค้านรายชื่ออนุกรรมการไต่สวนบางคณะ ซึ่งเป็นไปได้ว่าที่ประชุมจะไม่รับคำค้าน เนื่องจากเป็นการค้านที่ไม่เข้ากรอบ