xs
xsm
sm
md
lg

"พระราชินี"ทรงห่วงใยชาวใต้ ให้ทหารปรับแผน รปภ.รับมือ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยชาวใต้ มีพระราชเสาวนีย์ให้ ฉก.ที่ 1 ยะลา ประชุมเจ้าหน้าที่ปรับแผน รปภ.ดูแลคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในโครงการพระราชดำริ หลังคนร้ายยิงลูกจ้างในโครงการฯเสียชีวิต 3 ศพ ขณะที่ "คมช.-รัฐบาล" สนองพระราชเสาวนีย์ "ราชินี" ทนไม่ได้ไฟใต้ครุหนัก กม.อ่อนด้อย เหตุ "อมนุษย์ใต้" เหิมฆ่าผู้บริสุทธิ์รายวัน ด้านความวุ่นวายสะบ้าย้อยคลี่คลายชาวบ้านเปิดทางให้ "หมอพรทิพย์" นำเจ้าหน้าที่เข้าพิสูจน์หลักฐานคนร้ายวางระเบิด-ยิงถล่มนักเรียนดับในปอเนาะ เผยอาวุธปืนที่คนร้ายใช้มีอย่างน้อย 4 ชนิด "ฮิวแมนไรท์วอตช์" วิพากษ์ทหารและตำรวจไทยว่า ใช้วิธี "อุ้ม"คนมุสลิมเชื้อสายมลายูในชายแดนใต้ อีกทั้งไม่ลงโทษผู้กระทำผิด จึงกลายเป็นการเติมเชื้อให้แก่การก่อความไม่สงบ

วานนี้ (20 มี.ค. ที่ห้องประชุมโครงการชลประทานจังหวัดยะลา พล.ร.อ.นคร พิบูลย์สวัสดิ์ หัวหน้าคณะทำงานชุดตรวจเยี่ยมโครงการตามแนวทางพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ชุดที่ 1 จ.ยะลา ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการดำเนินงานโครงการฟาร์มตัวอย่างวังพญา-ท่าธง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อติดตามคามคืบหน้าของโครงการ พร้อมปรับแผนการรักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ในฟาร์ม

พล.ร.อ.นคร กล่าวว่า หลังจากได้เกิดสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีความห่วงใยราษฎรในพื้นที่เป็นอย่างยิ่งจึงมีพระราชดำริให้มีการจัดสร้างโครงการฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้นเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร

สำหรับโครงการฟาร์มตัวอย่างวังพญา-ท่าธง จ.ยะลานั้นได้มีแผนในการปฏิบัติงานโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี โดยเริ่มจัดตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.49 ขณะนี้โครงการมีความก้าวหน้ากว่าร้อยละ 50 และมีการจ้างราษฎรในพื้นที่ให้เข้าทำงานแล้วจำนวน 150 คน ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนหลังจากที่ได้รับภัยคุกคามจากสถานการณ์ใต้

พล.ร.อ.นคร กล่าวถึงเหตุการณ์คนร้ายลอบยิงลูกจ้างฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เสียชีวิต 3 คนและบาดเจ็บอีก 3 คน เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมาด้วยว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใย ราษฎรที่ทำงานอยู่ในฟาร์มทั้งหมด จึงได้มีพระราชเสาวนีย์ให้ประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อปรับแผนในการรักษาความปลอดภัย โดยได้มอบให้หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 1 เข้าไปรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ในฟาร์มตัวอย่างทั้งหมดมีความปลอดภัย

**"คมช.-รัฐบาล"สนองพระราชเสาวนีย์

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลวันเดียวกันว่า ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเวลา 13.30 น. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี รีบเดินทางออกจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปยังตึกไทยคู่ฟ้าทันที โดยไม่ได้แถลงผลการประชุม ครม.เหมือนเช่นที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) พร้อมด้วย พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร. นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว.ต่างประเทศ นายกฤษณ์ กาญจนกุญชร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และนายประกิจ ประจนปัจจนึก เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มารอพบที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งนี้ คาดว่าเป็นการเข้าพบเพื่อหารือกันถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ถึงการแก้ไขปัญหาภาคใต้ในเรื่องความอ่อนด้อยของกฎหมายที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งภายหลังการหารือไม่มีการให้สัมภาษณ์ใดๆ จากบุคคลที่เข้าพบนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้

**"หมอพรทิพย์"เจรจาม็อบสำเร็จ

ด้านสถานการณ์ความวุ่นวายที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 2 บ้านควนหรัน ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ได้ออกมารวมตัวกันปิดถนนปากทางเข้าโรงเรียนบำรุงศาสน์วิทยา (ปอเนาะ) ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 หลังเกิดเหตุเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดและกราดยิงใส่โรงเรียนปอเนาะ ทำให้เด็กนักเรียนเสียชีวิต 2 คนบาดเจ็บ 8 คนเมื่อคืนวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา จนกลายเป็นชนวนเหตุการณ์ชุมนุมของชาวบ้านที่เชื่อว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่นั้นได้ยุติลงแล้ว

หลังจากช่วงเช้าวานนี้เวลาประมาณ 11.00 น.พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามปัญหาภาคใต้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมาธิการติดตามปัญหาภาคใต้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะ ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่เพื่อตรวจพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นความต้องการของชาวบ้านที่ต้องการให้ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ เข้าไปตรวจพิสูจน์หลักฐาน

ทั้งนี้ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ ได้เข้าเจรจากับกลุ่มชาวบ้านเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจพิสูจน์หลักฐาน ปรากฏว่าได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยชาวบ้านได้นำหลักฐานที่รวบรวมได้จากที่เกิดเหตุมามอบให้กับ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ จำนวนหนึ่ง อาทิ ปลอกปืนเอ็ม 79 ปลอกปืนลูกซอง กระสุนปืนเล็กยาว และน้ำมันเบนซินบรรจุขวดมามอบให้ พร้อมนำเข้าตรวจสอบกระท่อมที่ถูกยิง 4-5 หลัง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นชาวบ้านจึงยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการ และทหารกว่า 50 นาย เข้าตรวจสอบเก็บหลักฐานที่เกิดเหตุ โดยกลุ่มชาวบ้านประมาณ 500 คน เฝ้าสังเกตการณ์อยู่รอบนอก

**เจ้าของปอเนาะจวกสื่อบิดเบือน

หลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเก็บหลักฐานแล้ว พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ ได้เดินออกมาพบกับกลุ่มชาวบ้าน โดยขอให้ทุกคนไว้วางใจเจ้าหน้าที่ที่จะให้ความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด และขอให้ทุกคนกลับบ้าน ซึ่งได้สร้างความพอใจแก่กลุ่มชาวบ้านและพากันสลายตัวอย่างสงบโดยไม่มีเหตุรุนแรงในเวลาประมาณ 14.00 น.

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เปิดเผยภายหลังว่า เจ้าของปอเนาะ ได้พาดูสถานที่เกิดเหตุ พบว่าถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ต่ำกว่า 4 ชนิด มีการเตรียมวางเพลิงด้วยน้ำมันเบนซินบรรจุขวดที่ตั้งไว้ห่างจากปอเนาะประมาณ 10 เมตรและไม่มีการประกอบระเบิดตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้

ด้านนายดุลเลาะห์ อับดุลเจ๊ะเลาะห์ เจ้าของโรงเรียนปอเนาะบำรุงศาสน์วิทยา กล่าวว่า สาเหตุที่ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบตั้งแต่แรก เป็นเพราะไม่มีความไว้วางใจในตัวเจ้าหน้าที่ ประกอบกับไม่มีคนกลางในการประสานระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน อีกทั้งยังเสียใจที่มีการนำเสนอข่าวทางสื่อบางแห่งว่ามีการประกอบระเบิดในปอเนาะ และเกิดผิดพลาดเองจนเกิดเหตุระเบิดขึ้น ซึ่งเป็นการทำให้ชื่อเสียงของปอเนาะได้รับความเสียหาย แต่เมื่อ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ และนางอังคณา รับปากจะเป็นพยานระหว่างที่เจ้าหน้าที่กองวิทยาการเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุก็รู้สึกสบายใจ จึงยอมให้เข้าพื้นที่

**"สนธิ"ย้ำให้ดาบมทภ.4ดับไฟใต้

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธาน คมช.กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอำนาจในการบริหารว่า ที่แต่งตั้งแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหาร เพราะถือว่าแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในขีดความสามารถ มีความอาวุโส มีประสบการณ์ โตมาจากกองทัพภาคที่ 4 เขามีหน้าที่ในการไปดูแล และมีความเข้าใจ

"การบริหารจัดการในปัจจุบันนี้ เราให้แม่ทัพภาค 4 มีอำนาจเต็ม ในฐานะเป็น กอ.รมน.ภาค 4 กำกับดูแล กอ.รมน.จังหวัดทุกจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ก็เป็นหน้าที่ของแม่ทัพภาค 4 ส่วนที่ผู้บังคับบัญชาจะลงไปนั้น เพียงแต่ไปกำกับดูแล ไปสอบถามปัญหาข้อขัดข้องในการทำงาน ที่หน่วยเหนือจะเข้าไปช่วยเหลือ หรือเข้าไปช่วยประสานให้การทำงานของกองกำลังผสมพลเรือนตำรวจทหาร (พตท.) เข้าที่เข้าทาง" พล.อ.สนธิ กล่าว

ส่วนปัญหาม็อบสตรีและเด็กมุสลิมที่กดดันเจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้กระทำผิด พล.อ.สนธิ กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 4 วางหลักการปฏิบัติแล้ว โดยใช้มาตรการทางกฎหมายเป็นตัวตั้ง หลายคนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เราควบคุม และสามารถตรวจสอบจากบัตรประจำตัวได้ว่า ใครเป็นใคร ซึ่งเป็นมาตรการป้องปรามที่มีความสำคัญ และใช้ได้ผลในเวลานี้ ทั้งนี้ ในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาในภาคใต้ ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ไว้อย่างชัดเจน กรณีม็อบดังกล่าวเป็นเรื่องทางยุทธวิธี ซึ่งเรามีวิธีการในการแก้ตามหลักยุทธวิธี จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะประธาน คมช.กล่าวถึงการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยย้ำว่า ได้มอบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับ พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ในการสั่งงานแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ให้มีเอกภาพ เพราะถือเป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดี ส่วนในระดับผู้บริหาร ได้มอบหมายให้ พล.อ.ไพศาล กตัญญู รองผู้บัญชาการทหารบก ดูแลนโยบายโดยรวม ส่วนการดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้เด็กและสตรีมากดดันเจ้าหน้าที่นั้นในพื้นที่มีมาตรการแก้ปัญหาอยู่แล้ว แต่ยืนยันว่าจะใช้แนวทางที่นุ่มนวล โดยยึดกฎหมายเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็จะตรวจสอบกลุ่มคนที่มาชุมนุมด้วย

**HRWวิพากษ์ทหาร-ตร.ไทยใช้วิธี"อุ้ม"

ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานคำแถลงของนายแบรด แอดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของ "ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์" (HRW) องค์การเพื่อสิทธิมนุษยชนชื่ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครนิวยอร์กวานนี้(20)ว่า กองกำลังรักษาความมั่นคงปลอดภัยของไทย กำลังใช้วิธี "อุ้ม" เป็นหนทางทำให้พวกมุสลิมนิยมความรุนแรง เกิดความอ่อนแอลง ตลอดจนค่อยๆ แผ่กระจายความหวาดกลัวเข้าไปในชุมชนมุสลิมมลายู

"การอุ้มเหล่านี้ดูน่าจะเป็นเรื่องนโยบาย ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผลงานของคนอันธพาลเกเรในกองกำลังรักษาความมั่นคงเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลของไทยจำเป็นต้องออกคำแถลงอย่างชัดเจนต่อสาธารณชนว่ามีนโยบายคัดค้านการอุ้ม และลงมือจัดการกับพวก ซึ่งรับผิดชอบต่ออาชญากรรมเหล่านี้" นายแอดัมส์กล่าว

คำแถลงนี้ HRW ได้เผยแพร่เป็นรายงานความยาว 69 หน้า ซึ่งให้รายละเอียดกรณีคนมุสลิมมลายู 22 คนที่หายตัวไป โดยมีหลักฐานบ่งชี้อย่างแข็งขันว่า ต้องเป็นฝีมือความรับผิดชอบของพวกกองกำลังรักษาความมั่นคง

กรณีเหล่านี้จำนวนมากเป็นเรื่องของผู้ต้องสงสัยเป็นพวกแบ่งแยกดินแดน ซึ่งกำลังมีปัญหากับตำรวจหรือทหาร จากนั้นก็หายตัวไป โดยไม่มีใครได้ทราบข่าว ทั้งนี้ รายงานยังบอกว่า กรณีที่เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งหมดน่าจะสูงกว่านี้มาก เพราะครอบครัวจำนวนมากหวาดกลัวไม่กล้าพูด เนื่องจากเกรงจะถูกแก้เผ็ด

หนึ่งในกรณีที่ปรากฏในรายงานของ HRW เป็นเรื่องของนายซาตา ลาโบ ซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2004 หรือ 5 วันหลังจากที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งถูกโจมตีและเหตุการณ์คราวนั้นถือเป็นหลักหมายแสดงถึงการฟื้นชีพของความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้

นายซาตา ลาโบ ได้ใช้โทรศัพท์มือถือของเขาคุยกับน้องสาวว่า เขาถูกด่านตรวจตำรวจเรียกตรวจค้นรถยนต์ของเขา และถูกสั่งให้ไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจ จากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย ทั้งนี้ตามปากคำของผู้เป็นน้องสาว

กลุ่ม HRW บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการสอบสวนกรณีเหล่านี้อย่างจริงจัง ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นเสื่อมศรัทธาในระบบยุติธรรม พร้อมระบุว่า กรณีการอุ้มส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ประกาศจะไม่ใช่วิธีปราบปรามอย่างรุนแรงในแบบของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ทว่า HRW ชี้ว่า ยังมีคนซึ่งเกี่ยวข้องกับการละเมิดเช่นนี้ปฏิบัติหน้าที่อยู่อีก

"...รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ แทบไม่ได้ทำอะไรที่จะแปลคำมั่นสัญญาเหล่านี้ให้กลายเป็นการกระทำ... ความโกรธแค้นต่อการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของไทย เป็นหนึ่งในบรรดาปัจจัยที่กำลังกลายเป็นเชื้อเพลิงให้แก่การก่อความไม่สงบอันโหดเหี้ยมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ"

ทางด้านรอยเตอร์ได้อ้างคำแถลงของ พ.อ.อัคร ทิพย์โรจน์ โฆษกกองทัพบก ซึ่งปฏิเสธว่า เวลานี้ไม่ได้มีการล่วงละเมิดใดๆ อีกแล้ว "ไม่มีใครสามารถทำอะไรอย่างนั้นแล้วในเวลานี้ภายใต้นโยบายของนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งมุ่งในเรื่องสันติภาพและความสมานฉันท์แห่งชาติ"

รอยเตอร์ ยังอ้างรายงานการศึกษาที่เผยแพร่ในสัปดาห์ที่แล้วของอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป (ไอซีจี) กลุ่มศึกษาวิจัยด้านความมั่นคงชื่อดังที่มีสำนักงานอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งกล่าวว่ายังคงปรากฏ "รายงานอันเชื่อถือได้หลายกระแสเกี่ยวกับการทรมานและการสังหารนอกเหนือระบบยุติธรรม"

ไอซีจี บอกด้วยว่า วิธีใช้กำลังทหารเพียงอย่างเดียว รังแต่จะประสบความล้มเหลว ทว่าพล.อ.สุรยุทธ์ก็มีทางเลือกอื่นๆ อย่างจำกัดมาก

"อะไรก็ตามที่ถูกมองว่าเป็นการอ่อนข้อยอมตาม จะกลายเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองสำหรับเหล่าผู้นำไทย ซึ่งยังต้องขึ้นต่อความสนับสนุนของผู้ออกเสียงนอกภาคใต้ โดยคนเหล่านี้แทบทั้งหมดไม่ได้มีปัญหาอะไรกับวิธีใช้ความแข็งกร้าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ" รายงานของไอซีจีกล่าว

'สุรยุทธ์'ยืนยันไม่เปลี่ยนนโยบายใต้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานการให้สัมภาษณ์พิเศษของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อวานนี้(20) โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะไม่อ่อนข้อให้แก่แรงกดดันภายในประเทศ ที่จะให้เปลี่ยนไปใช้วิธีรุนแรงในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

"เราไม่ได้กำลังจะใช้ความรุนแรงมาตอบโต้ความรุนแรง" พล.อ.สุรยุทธ์บอก "เราไม่ได้กำลังจะใช้วิธีปราบปรามอย่างรุนแรงแบบเดียวกับที่ใช้ในอดีต เรากำลังจะดำเนินการตามหลักนิติธรรม"

พล.อ.สุรยุทธ์ยังปฏิเสธแนวคิดที่ว่า การเพิ่มกำลังประชาชนป้องกันตัวเอง ตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ อาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม

นายกรัฐมนตรีบอกว่า พวกผู้ก่อความไม่สงบไม่ได้มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะก่อให้เกิดสงครามภายใน หรือสถานการณ์ทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นในอิรักหรืออัฟกานิสถาน ดังนั้น แนวคิดเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

พล.อ.สุรยุทธ์ยังพูดถึงการขอให้มาเลเซียช่วยเหลือในการเปิดการสนทนาบางรูปแบบกับพวกผู้ก่อความไม่สงบ

แต่เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี ของมาเลเซีย เพิ่งให้สัมภาษณ์รอยเตอร์และซีเอ็นบีซีในมาเลเซีย โดยนายอับดุลเลาะห์กล่าวว่า พล.อ.สุรยุทธ์จำเป็นต้องระบุชี้ตัวพวกหัวหน้าก่อความไม่สงบ และดำเนินการติดต่อในบางรูปแบบให้เร็วที่สุด ก่อนที่ข้อเสนอสันติภาพของพล.อ.สุรยุทธ์จะโรยราไป
กำลังโหลดความคิดเห็น