xs
xsm
sm
md
lg

อย่าให้พระองค์ทรงทุกข์เทวษในปัญหาวิกฤตชายแดนใต้

เผยแพร่:   โดย: คำนูณ สิทธิสมาน

“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ”

รับสั่งของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ตรัสต่อพล.อ.ณ พล บุญทับ วันสองวันมานี้ ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านรู้สึกอย่างไร

ผมเองรู้สึกมีก้อนอะไรจุกขึ้นมาที่คอหอย และรู้สึกย้อนไปถึงข้อมูลบางประการในประวัติศาสตร์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของประเทศไทย และของโลก ทรงเป็นสมเด็จพระ อัยกาของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ในยุคของพระองค์เป็นช่วงเวลาของลัทธิล่าอาณานิคมของฝรั่งตะวันตก แทบจะไม่มีดินแดนส่วนไหนของโลกที่พ้นเงื้อมมือของมหาอำนาจที่ส่ง “เรือปืน” ออกมายึดครอง

ลูกไทยหลานไทยที่ได้อยู่ ได้กิน และได้อาศัยบนแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ผืนนี้จะต้องจดจำจารึกเอาไว้ให้มั่น ก็คือ การที่พวกเราชาวไทยสามารถบอกกับคนทั้งโลกได้อย่างภาคภูมิใจว่า...

ประเทศไทยไม่เคยตกเป็น “เมืองขึ้น” ของใคร!

พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำ เพื่อพยายามจะรักษาเอกราชของชาติเอาไว้ให้ได้

การเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปแต่ละครั้ง มีเป้าหมายสำคัญคือเพื่อรักษาชาติบ้านเมือง

เสด็จไปเยอรมนี, รัสเซีย ก็เพื่อจะดึงเอา 2 ชาตินี้มาคานอำนาจอังกฤษ, ฝรั่งเศส ที่กำลังจ้องฮุบเอาดินแดนของเราไป

ที่สุดแล้ว -- เราท่านในที่นี้ก็คงได้เรียนรู้มาแล้วว่า สยามประเทศในวันนั้นจำเป็นต้องจำใจยอมตัดดินแดนบางส่วนเพื่อให้ดำรงสถานะของ “ชาติเอกราช” นั่นก็คือรัฐประศาสนโยบาย “ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” มีคนรุ่นหลังไม่มากนักที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงดังกล่าวลึกซึ้ง ว่า บรรพบุรุษของเราต้องทนทุกข์เหนื่อยยาก และเจ็บปวดกันมาขนาดไหนเพื่อการดำรงชาติเอาไว้ให้ได้

หลังเหตุการณ์เสียดินแดน ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ที่ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศสที่ถูกบังคับให้ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตนั้นเจ็บปวดเพียงไร

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทุกข์เทวษเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์นั้น

ถึงกับทรงพระประชวรหนัก

ประวัติศาสตร์บ่งบอกว่า ถึงกับทรง “ลาสวรรคต” เลยทีเดียว

ไม่เสวยพระโอสถ ไม่โปรดให้บุคคลใกล้ชิดเฝ้า จนเป็นที่ปริวิตกแก่บรรดาเจ้านาย ข้าราชการ และข้าราชบริพาร ที่เฝ้าดูพระอาการของพระองค์อยู่

พระองค์ทรงเปรียบสถานการณ์ในขณะนั้นเหมือนกับครั้งกรุงศรีอยุธยาเสียให้พม่า เปรียบพระองค์เหมือนกับขุนหลวง 2 พระองค์ (ขุนหลวงหาวัด, ขุนหลวงเอกทัศน์) ที่เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่สามารถรักษาเมืองได้

โดยได้ทรงประพันธ์บทพระราชนิพนธ์ (ฉันท์) ตอนหนึ่งว่า

กลัวเป็นทวิราช บตริป้องอยุธยา
เสียเมือง ต้องนินทาบละเว้นฤวางวาย
คิดใดจะเกี่ยงแก้ ก็บพบซึ่งเงื่อนสาย
สบหน้ามนุษย์อายจึงจะอุดและเลยสูญ


สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตอบบทพระราชนิพนธ์นั้น แทนบรรดาเจ้านายและข้าราชการบริพารแวดล้อมที่ประสงค์ให้พระ องค์หายจากพระประชวร เป็นบทนิพนธ์ที่จับใจมาก ว่ากันว่า...ทำให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จกลับมาเสวยพระโอสถอีกครั้ง และเกิดความหวังจะเอาชนะวิกฤตการณ์ร.ศ. 112

พระนิพนธ์ดังกล่าวมีความสำคัญตอนหนึ่งว่า

ดุจเหล่าพละนา-วะเหว่ว้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงันทิศทางก็คลางแคลง

.........

อึดอัดทุกหน้าที่ทุกทวีทุกวันวาร
เหตุห่างบดียานอันเคยไว้น้ำใจชน


กล่าวคือเปรียบเทียบว่า เหตุการณ์บ้านเมืองเหมือนกับเรือที่ขาดกัปตัน ทำให้ลูกเรือทั้งหมดเกิดสับสน ไม่รู้จะเดินไปในทิศทางใด ทุกคนต่างอึดอัดเพราะไม่มีองค์ผู้นำผู้เป็นศูนย์รวมน้ำใจ

ในพระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่มีไปถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารในระหว่างที่ทรงไปศึกษาในยุโรปนั้น ได้ทรงพรรณนาถึงความรันทดโศกเศร้าพระทัยเป็นที่ยิ่งว่า ในชีวิตของพระองค์ท่านไม่มีความรันทดโศกเศร้าใดเสมอเหมือนกับการสูญเสียดินแดนที่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้ก่นสร้างไว้ให้แก่ปวงชนชาวไทยเลย

ทั้งๆ ที่นั่นเป็นการเสียดินแดนให้แก่มหาอำนาจชาติตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม ซึ่งสยามประเทศในยามนั้นไม่มีขีดความสามารถใดๆ ที่จะคุ้มครองป้องกันตัว นอกจากพระปรีชาสามารถแห่งพระมหากษัตริย์ และเป็นการ “สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” เท่านั้น ก็ยังรันทดโศกเศร้าพระทัยถึงเพียงนั้น

ในที่สุด หลังเหตุการณ์ดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งมีพระราชหัตเลขาหลายองค์แสดงถึงความตั้งใจจะเดินทางเพื่อทำงานให้บ้านเมือง แก้ปัญหาที่มีชาติมหาอำนาจ-ลัทธิล่าอาณานิคมมาคุกคาม

พระองค์และบรรดาบรรพบุรุษของเรา ก็ได้พยายามทุกวิถีทางทุ่มเทสติปัญญา และความสามารถเพื่อจะรักษา “ชีวิตของชาติ” ก็คือ “เอกราช” เอาไว้

รัฐบาลไทยวันนี้ แม้จะทำเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่พอครับ

เรามีอำนาจปกครองเหนือดินแดน 3 - 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปกติดีอยู่หรือทุกวันนี้


คิดดูสิว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงรันทดโศกเศร้าพระราชหฤทัยเพียงไหน หากสถานการณ์ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น

เราต้องการเช่นนั้นหรือ?

เราจะให้ของขวัญวันครบรอบ 60 ปีแห่งการขึ้นครองสิริราชสมบัติของพระองค์ด้วยพระปฐมบรมราชโอการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประ โยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และของขวัญวันครบรอบพระชนมายุ 80 พรรษา ต้องมีอันเป็นเช่นนี้หรือ?

เราต้องการเช่นนี้หรือ?

ลำพังกลับไปสู่ยุค ศอ.บต.ก่อนปี 2544 ให้ทหารบัญชาการ อาจจะยังไม่พอ!

แต่จะทำอย่างไรกันก็เร่งคิดอ่านกันให้ดี อย่าท่องแต่คาถา “เราเดินมาถูกทางแล้ว” ที่ไม่มีวันจะ “ได้ใจ” ประชาชนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลย
กำลังโหลดความคิดเห็น