xs
xsm
sm
md
lg

6 เดือนที่เหลืออยู่

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

จนถึงวันที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้นั้นก็ยังเหลืออีกไม่กี่วันก็จะครบรอบ 6 เดือนของการรัฐประหาร 19 กันยายนแล้ว ก่อนหน้านี้เวลาที่ครบรอบ 1 เดือน 2 เดือน หรือ 3 เดือน จนถึง 5 เดือน ทั้งฝ่ายรัฐประหารและฝ่ายต่อต้านรัฐประหารมักจะมานั่งทบทวนหรือมีกิจกรรมของฝ่ายตนอยู่

ก็เป็นไปตามธรรมเนียมแหละครับ ส่วนผมซึ่งเซ็งการเมืองมาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้วก็ได้แต่เฝ้าดูไปเรื่อยๆ เพื่อนบางคนถามว่าที่ว่าเซ็งนั้นไม่ติดตามข่าวสารการเมืองเลยหรือ?

ผมตอบไปว่า เปล่า! การติดตามยังปกติดีอยู่ เพียงแต่ที่เซ็งนั้นก็เพราะเบื่ออะไรหลายอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจนถึงขณะนี้ และความเบื่อนั้นก็ยังผลให้คิดอะไรไม่ออก หาทางออกไม่เจอ ประสบภาวะนี้ทีไรก็ให้เบื่อขึ้นมา และมันก็วนเวียนกันไปเช่นนี้จนกลายเป็นเซ็งในที่สุด

เพื่อนผมคนหนึ่งที่เป็นถึงคณบดีรัฐศาสตร์ก็มีอาการไม่ต่างจากผม และดูถ้าจะแรงกว่าผมเสียอีก คือเพื่อนเล่นปิดมือถือและตัดการติดต่อกับพรรคพวกเพื่อนฝูงไปเสียฉิบ จะมีที่ติดต่อเขาได้ก็คือเลขาฯ หน้าห้องเท่านั้น เพราะต้องคอยติดตามงานประจำในหน้าที่ให้ และเลขาฯ ก็ดีใจหาย คือเก็บวิธีการติดต่อกับเพื่อนผมคนนี้ได้อย่างมิดชิด

ฉะนั้น ถ้าใครมาถามว่าถ้าเซ็งแล้วไหงยังเขียนเรื่องการเมืองอยู่อีกเล่า? ผมก็จะตอบไปว่าก็เขียนไปอย่างเซ็งๆ แต่ถ้าสังเกตให้ดีๆ แล้วจะพบว่ามีบ่อยครั้งที่ผมพยายามเลี่ยงที่จะเขียนเรื่องการเมือง บางครั้งไปไกลถึงเรื่องอาหารการกินโน่นก็ยังมี

อย่างวันนี้นี่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเขียนเรื่องการเมืองอีกทั้งที่เซ็ง และที่เขียนนั้นก็เขียนด้วยความเซ็งจริงๆ ซึ่งผมก็หวังว่าหากท่านผู้อ่านอ่านไปแล้วก็อย่าได้เซ็งตามผมก็แล้วกัน

ก็อย่างที่ผมเกริ่นเอาไว้ข้างต้นแหละครับ ว่าหลายเดือนนับแต่รัฐประหารมานี้ทั้งฝ่ายรัฐประหารและฝ่ายต่อต้านมักจะมีกิจกรรมอะไรอยู่เสมอเวลาครบรอบเดือนของการรัฐประหาร เหมือนกะสตรีที่มีประจำเดือนยังงั้นแหละ พอครบรอบเดือนทีก็ต้องมีกิจวัตรส่วนตัวพิเศษออกไป

ส่วนผมซึ่งไม่ต่างกับสตรีที่รอบเดือนขาดมาหลายเดือนแล้ว จะว่าท้องก็ไม่ใช่ ครั้นจะว่าไม่ท้องมันก็มักจะมีอาการคลื่นเหียนเจียนไส้เหมือนคนท้องอยู่เรื่อย (คือเซ็ง) อาการเหล่านี้ทำให้เกิดภาพหลอนขึ้นมาได้ง่ายๆ และภาพหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยก็คือ ภาพของเมืองไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้า ผมก็เลยคิดว่าลองเอาภาพหลอนที่ว่ามาเล่าสู่กันฟังบ้างน่าจะดี

ภาพแรกสุด ผมเห็นถึงความแตกต่างระหว่างรัฐบาล คุณทักษิณ กับรัฐบาล คุณสุรยุทธ์ อยู่เรื่องหนึ่งที่ออกจะชัดเจนคือ คุณทักษิณ นั้นใช้ (เล่น) การเมืองได้เก่ง ทำอะไรก็ดูรวดเร็วทันใจ เสียอยู่อย่างเดียว (ที่ให้บังเอิญว่าเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย) คือ บ่อยครั้งที่ คุณทักษิณ ใช้การเมืองโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย บางเรื่องก็ใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของตน ซึ่งไปโลดถึงกับข้ามพ้นเรื่องจริยธรรมไปเสีย เรื่องนี้เราอาจเห็นได้จากกรณีฆ่าตัดตอนจากการทำ “สงคราม” กับยาเสพติด กรณีปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือกรณีที่เขาขายหุ้นในบริษัทของเขา

ส่วนรัฐบาล คุณสุรยุทธ์ นั้นใช้การเมืองได้ไม่ดีและไม่เก่ง แต่กลับคำนึงถึงข้อกฎหมายได้ดีและคำนึงไปเสียหมดแทบจะทุกเรื่อง ด้วยเหตุนี้ เรื่องบางเรื่องที่ คุณสุรยุทธ์ สามารถใช้การเมืองเข้ามาในการบริหารจัดการได้อย่างเห็นๆ คุณสุรยุทธ์ กลับไม่ทำ (เช่น เรื่องข้าราชการเกียร์ว่าง) และเรื่องที่ทำนั้นกลับเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ (เช่น เรื่องตั้ง คุณสมคิด และโดยไม่บอกกล่าว หม่อมอุ๋ย)

ภาพที่ขัดแย้งกันเองเช่นนี้ถือเป็นตลกร้าย เพราะจะว่าไปแล้วผู้นำที่ชอบใช้การเมืองโดยไม่คำนึงถึงข้อกฎหมายนั้นมักจะเป็นผู้นำในระบอบเผด็จการ แต่กับ คุณทักษิณ แล้วกลับมาจากการเลือกตั้ง ในทางที่กลับกัน คุณสุรยุทธ์ ที่มาจากการรัฐประหารซึ่งสามารถใช้การเมืองเข้ามาจัดการอะไรต่างๆ ได้มากกว่าที่ คุณทักษิณ เคยใช้เสียอีกแต่กลับไม่ใช้ ทั้งๆ ที่การใช้การเมืองในหลายต่อหลายเรื่องไม่เกี่ยวกับการใช้อำนาจในแง่อำนาจนิยมด้วยซ้ำไป

และเหตุผลของ คุณสุรยุทธ์ ก็เห็นมีอยู่ 2 ข้อคือ หนึ่ง เพื่อความสมานฉันท์ และสอง เกรงว่าจะขัดกับหลักกฎหมาย

แค่ขึ้นต้นภาพแรกนี้ก็เซ็งแล้วนะครับ จะไม่ให้เซ็งได้อย่างไรก็ในเมื่อมันกลับหัวกลับหางกันอย่างนี้

แต่จากภาพที่ว่านี้แหละที่ทำให้เห็นภาพต่อไปว่า หลังจากที่ใช้เวลาในการตรวจสอบการคอร์รัปชันของระบอบทักษิณนานหลายเดือนแล้ว คตส.ก็จะเจอทางตัน เมื่อข้อสงสัยที่มีมูลที่ทำให้น่าเชื่อว่ามีการโกงกินกันในโครงการต่างๆ ที่ตนสู้อุตส่าห์ตรวจสอบมานั้น กลับไม่มีหลักฐานมารองรับอย่างหนักแน่นพอที่จะทำให้อัยการส่งฟ้อง หรือถ้าฟ้องแล้วศาลจะคล้อยตามหลักฐานนั้น

ภาพที่ว่านี้จะเกิดภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้ ด้วยว่า คตส.มีข้อจำกัดทางด้านเวลา คตส.จึงมีทางเลือกอยู่เพียง 2 ทางคือ ทางหนึ่ง ทำการตรวจสอบต่อไปจนกว่าเวลาจะหมด แต่จะทำได้ไม่หมดในทุกโครงการ หรือถ้าทำหมดก็จะหมดแบบหลักฐานไม่หนักแน่น

อีกทางหนึ่ง บางคนใน คตส.จะเกิดอาการเซ็งอย่างสุดขีด และเลือกเอาวิธีลาออกในที่สุด เพราะขืนอยู่ต่อไปก็จะเสียผู้เสียคน ด้วยว่าดีไม่ดีคนในระบอบทักษิณจะฟ้องร้องเอาคืนบ้างในฐานที่ทำให้เสียชื่อเสียง

ภาพที่ผมเห็นนั้นหลอนผมว่า คตส.จะเลือกเอาทางหลัง ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะถอดใจ แต่เป็นเพราะเซ็งจนไม่รู้จะทำยังไงต่อไป วิธีแก้เซ็งจึงคือลาออกประชดที่ตัวเองที่เสียเวลาเปล่าๆ และประชดรัฐบาลที่ไม่ดูดำดูดี

ในระหว่างที่ภาพที่สองกำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น ภาพที่สามก็เกิดขึ้นตามมาพร้อมๆ กันไปด้วย นั่นคือ ร่างรัฐธรรมนูญเริ่มเป็นตัวเป็นตน ถึงตอนนั้นการเมืองไทยก็จะเข้าสู่วงจรเดิมๆ เริ่มจากที่มีการแสดงความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญไปต่างๆ นานา ที่จะเห็นได้ชัดว่าความเห็นที่ต่างกันของทั้งสองฝ่ายนั้นไม่อาจลงรอยกันได้อย่างเด็ดขาด จากนั้นก็จะมีการเผชิญหน้ากันของ 2 ฝ่ายนั้น โดยระหว่างนั้นก็จะมีกลุ่มอื่นๆ ทั้งจริงทั้งปลอมแอบแฝงเข้ามาอยู่ใน 2 ฝ่ายนั้น แหะ..แหะ...ขอโทษครับ มีกลุ่มของระบอบทักษิณด้วยครับ

ถึงตอนนั้น การลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ได้อยู่ที่ผลจะออกมาอย่างไร แต่จะอยู่ตรงที่ผลที่ออกมาจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ยอมงอ ซึ่งเราจะต้องไม่ลืมว่า หากผลออกมาว่าไม่ยอมรับ คมช.จะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดเป็นคนสุดท้าย ปัญหาก็คือว่า ไม่ว่า คมช.จะตัดสินอย่างไรก็ตาม ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อ คมช. ทั้งสิ้น คือถ้าให้การรับรอง คมช.ก็จะถูกมองว่าต้องการสืบทอดอำนาจ แต่ถ้าไม่รับรองแล้วปล่อยให้มีการร่างต่อไป คมช.ก็จะถูกมองไม่ต่างกัน

ถึงตรงนี้ การเผชิญหน้าจะยิ่งเข้มข้นขึ้นโดยที่รัฐบาลจัดการอะไรไม่ได้เพราะยึดหลักสมานฉันท์ และก็ด้วยเหตุผลนี้ ในที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการยึดอำนาจอีกรอบหนึ่ง

ภาพหลอนของผมหายไปเพียงแค่นั้น จะเห็นภาพลางๆ เป็นภาพสุดท้ายอยู่บ้างก็คือภาพของปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่สงบ และมีแต่จะหนักข้อยิ่งขึ้น

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อย่าเพิ่งคิดว่าผมทำตัวเป็นหมอดูหรือหมอเดานะครับ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ดีไปอย่าง เพราะหมอดูหรือหมอเดานั้นเวลาทายอะไรไปแล้วยังไงก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าถามว่าทำไมผมถึงได้ทำตัวอย่างนั้น คำตอบนอกจากที่บอกแล้วว่าเซ็ง อีกคำตอบหนึ่งคงเป็นเพราะผมกำลัง “อิน” กับกระแสบ้าหรือไม่บ้าจากข่าวชิ้นหนึ่งที่ครองหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์มานานนับสัปดาห์

ถ้าที่ผมอินแบบนั้นจนเป็นภาพหลอนขึ้นมาแล้วบอกว่าผมบ้า ก็ขอตอบว่า “บ้าก็บ้าวะ” เผื่อว่าบางทีอาการเซ็งๆ ของผมจะหายไปบ้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น