xs
xsm
sm
md
lg

ดับคาจอ

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


และแล้วในที่สุดรัฐบาลโดย คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ท่านพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีก็ออกมาพูด “ความจริง” กับพนักงานไอทีวีเสียทีหลังจากปล่อยให้เหล่าพนักงานไอทีวี และเหล่าผู้จัดรายการ “ฝันกลางวัน” อยู่นานนับเดือน

ไม่ใช่ว่าเมื่อเห็นจุดจบของไอทีวีแล้ว พวกเราเหล่าสื่อมวลชนในสายสิ่งพิมพ์จะใจร้ายใจดำจะแสดงความสะใจ สมใจกันไปเสียหมด พูดกันอย่างตรงไปตรงมาพวกเราทั้งหลายในฐานะของเพื่อนร่วมวิชาชีพต่างก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ และสะทกสะท้อนกับชะตากรรมของเหล่าพนักงานของไอทีวีนับพันคน รวมถึงเหล่าพนักงานของบริษัทที่ได้รับจัดสรรเวลาให้ออกอากาศทางไอทีวีไม่น้อยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อบ้านเมืองมีขื่อมีแป มีกฎมีระเบียบ เรื่องของความเห็นอกเห็นใจกับเรื่องของความถูกต้อง ก็จำต้องแยกออกจากกันให้เด็ดขาด

...

ก่อนหน้าที่ คณะรัฐมนตรีจะมีมติยึดสัมปทานคลื่นคืนมาแล้วให้กรมประชาสัมพันธ์เข้าไปบริหารงานแทน สิ่งหนึ่งที่ผมมิอาจยอมรับได้เลยก็คือ ตรรกะ วิธีคิดของคนหลายๆ กลุ่ม

กลุ่มที่หนึ่ง - คนในรัฐบาลผู้มีวิธีคิดเกี่ยวกับไอทีวี และพนักงานไอทีวีว่า จะต้องออกอากาศต่อเนื่อง และพนักงานไอทีวีเดิมจะไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งยังจะได้รับเงื่อนไขการจ้างงานเดิมต่อไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลสองคนคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ ณ วันนี้ชิ่งหนีความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปแล้ว และ นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

คนแรกแม้จะลาออกไปแล้ว แต่ก็เป็นการลาออกอย่างขี้ขลาดที่สุด เพราะในช่วงเกือบ 5 เดือนที่ผ่านมาที่เข้ารับตำแหน่งนอกจากจะไม่ได้สร้างคุณประโยชน์ หรือแก้ปัญหาอะไรให้กับประเทศชาติแล้ว ‘หม่อมอุ๋ย’ ยังทิ้งปัญหาค้างไว้อีกมากมาย ไม่ว่าจะในด้านเศรษฐกิจ เช่น ความผิดพลาดในมาตรการสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้นร้อยละ 30 และการยกร่างแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ในด้านสังคม เช่น การดึงดันที่จะผ่าน พ.ร.บ.หวยบนดินให้ได้ รวมไปถึงกรณีล่าสุดการวางแผนเข้าจัดการกับคลื่นและพนักงานไอทีวี เป็นต้น

การลาออกของ ‘หม่อมอุ๋ย’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการแสดงสปิริตแต่อย่างใดเลย ทั้งยังมิอาจเทียบได้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่วันนี้แสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมากล่าวขออภัยต่อสาธารณะ ต่อพนักงานไอทีวี จากกรณีที่ท่านเคยไปให้คำมั่นเอาไว้ว่าจะพยายามจัดการให้ไอทีวีสามารถออกอากาศไปได้อย่างต่อเนื่อง และพนักงานไอทีวีจะไม่ตกงาน ทั้งยังเทียบไม่ได้กับคุณหญิงทิพาวดีที่แม้จะเป็นสุภาพสตรีแต่ก็กล้ายืดอกสู้กับปัญหา รับฟังความคิดเห็น-คำทักท้วงของผู้อื่น และแก้ไขสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูกในที่สุด

คนที่สอง นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ออกมาให้สัมภาษณ์ย้ำหลายครั้งว่าตนเองไม่เห็นด้วยกับการที่ไอทีวีจะต้องหยุดออกอากาศ ทั้งยังแสดงภูมิรู้ของตนเองออกมาผ่านการเปรียบเทียบด้วยว่าไอทีวีก็เหมือนกับร้านอาหาร!

ถ้าจำไม่ผิด ท่านบอกว่า กรณีปัญหาไอทีวีก็เหมือนกับปัญหาร้านอาหาร-ภัตตาคารที่มีลูกค้า มีกำไรแต่ผู้บริหารไม่อาจบริหารงานต่อได้แล้ว ในเมื่อร้านอาหารร้านนี้ยังมีศักยภาพในการดำเนินกิจการ ทำกำไร ก็ควรจะต้องปล่อยให้ดำเนินการต่อไป ทั้งนี้เมื่อถามถึงกรณีการรับพนักงานไอทีวีที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศว่าจะรับเข้าทำงานต่อทั้งหมด โดยให้บริษัท อสมท. เข้ามาบริหารงานแทนนั้น ท่านปลัดฯ ก็อวดภูมิด้วยการเปรียบเทียบว่า พนักงานไอทีวีก็เหมือนกับพ่อครัว-แม่ครัวของร้านอาหารที่มีความสามารถ เมื่อจะผู้บริหารร้านอาหารเจ้าใหม่เข้ามา ก็ต้องจ้างพ่อครัว-แม่ครัวที่มีความสามารถเข้ามาทำงานต่อ ...

ไม่ว่าจะมองมุมไหน ผมก็ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่า ท่านปลัดฯ ใช้ตรรกะและวิธีคิดอะไรในการยกเอากรณีสถานีโทรทัศน์ไอทีวี และคลื่นความถี่โทรทัศน์ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชาติมาเปรียบเทียบกับกิจการของร้านอาหารของเอกชนได้!?! น่าเสียดายจริงๆ ที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาผมหลงคิดว่าท่านเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตงฉินที่เฉลียวฉลาด

กลุ่มที่สอง - กลุ่มพนักงานไอทีวี สังเกตว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยถูกโค่นล้มลงไป พนักงานไอทีวีก็ประกาศตนว่าเป็น “ผู้ทรงคุณธรรมในจรรยาบรรณและซื่อตรงต่อวิชาชีพสื่อ” มากจนผิดสังเกต ทั้งๆ ที่ในช่วง 5 ปีระหว่างตระกูลชินวัตร-ดามาพงษ์ ครองประเทศอยู่ (รวมถึงเป็นเจ้านายของพนักงานไอทีวีด้วยนั้น) พนักงานไอทีวีไม่เคยมีความพยายามที่จะตรวจสอบการทุจริต คอร์รัปชัน ประพฤติมิชอบของเจ้านายตัวเองเลย

จนในที่สุดเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้น “ต่อมคุณธรรม-ต่อมจริยธรรม” ของพนักงานไอทีวีจึงจะถูกกระตุ้นขึ้น ส่วนเจตนารมณ์ดั้งเดิมในการก่อตั้ง ‘ทีวีเสรี’ ก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เจตนารมณ์ของการเป็นทีวีเสรีที่นานมาแล้วพนักงานไอทีวีทุกคนเก็บซุกใส่ลิ้นชักซ่อนเอาไว้ และหลงลืมไปหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม หากต่อมคุณธรรม-จริยธรรม ของคนไอทีวีที่เพิ่งถูกกระตุ้นขึ้นมาในช่วงหลังการรัฐประหารเป็นของจริง มาจากใจจริงก็คงไม่มีใครตั้งข้อสงสัย แต่ความพยายามของไอทีวีที่จะปกป้อง แก้ตัวให้กับความผิดที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำเอาไว้ รวมไปถึงการออกหน้าแทน ผู้บริหารบริษัทไอทีวี ซึ่งเป็นผู้ทำผิดสัญญากับรัฐ และเบี้ยวค่าสัมปทาน ในการต่อรองลดค่าสัมปทานและปรับรวมกว่าแสนล้านบาทนั้นก็บ่งบอกให้เห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการออกมาเคลื่อนไหวของพนักงานไอทีวีได้เป็นอย่างดี

ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ถึงบัดนี้นอกจากจะออกมาเคลื่อนไหวกดดันภาครัฐให้เข้าช่วยเหลือบริษัท และพนักงานไอทีวีแล้ว ผมยังไม่เห็นเลยว่า พนักงานไอทีวีจะเคยขอเรียกร้องอะไรต่อ ‘ชินคอร์ป’ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไอทีวี ให้เข้ามารับผิดชอบอนาคตการงานของพนักงาน รวมไปถึงเรียกร้องให้ชินคอร์ปทำการจ่ายค่าสัมปทาน และค่าปรับให้กับรัฐ เพื่อให้ไอทีวีดำเนินการแพร่ภาพต่อไปได้ แม้สักน้อย

ก็ทำตัวมีพิรุธ-สองมาตรฐานเสียอย่างนี้แล้วจะให้ใครมาอาลัยอาวรณ์กับการจากไปพวกคุณเล่า!

กลุ่มที่สาม - กลุ่มเจ้าของบริษัทผู้เป็นคู่สัญญากับบริษัทไอทีวี โดยเฉพาะคุณไตรภพ ลิมปพัทธ์ เจ้าของบริษัทผลิตรายการยักษ์ใหญ่ที่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าโอบอุ้มไอทีวีอย่างแข็งขัน เพื่อพวกตนจะได้ทำรายการในสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ต่อไปได้

คุณไตรภพ พยายามชี้ให้รัฐและสังคมเห็นในประเด็นที่ว่า หากรัฐไม่ปล่อยให้ไอทีวีออกอากาศต่อไป พนักงานในบริษัทคู่สัญญา ผู้ผลิตรายการป้อนให้ไอทีวีนับเป็นหมื่นชีวิตจะได้รับผลกระทบ

การกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ผิดจากความเป็นจริงก็จริง กระนั้นคุณไตรภพกลับละเลยที่จะกล่าวถึงความเป็นจริงอีกครึ่งหนึ่งที่ว่า ก่อนหน้านี้คุณไตรภพเองนั่นแหละที่มีส่วนร่วมและได้ประโยชน์โดยตรงจากการที่บริษัทไอทีวีละเมิดสัญญากับภาครัฐ ในการปรับสัดส่วนของรายการสาระต่อรายการบันเทิง รวมถึงการนำเสนอรายการในช่วงไพรม์ไทม์ด้วย

คุณไตรภพ และผู้จัดรายการอีกหลายคน พยายามเรียกร้องให้สังคมเห็นใจพวกตน แต่กลับไม่เคยพูดถึงว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทของคุณกอบโกยผลประโยชน์จากการที่บริษัทไอทีวีทำผิดสัญญากับรัฐไปมากเท่าไหร่แล้ว

...

ที่สำคัญต้องถามกลับด้วยว่า เพราะเหตุใดบริษัทผู้ผลิตรายการอย่างคุณจึงไม่ไปเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากชินคอร์ป ผู้ถือหุ้นใหญ่ในไอทีวี แต่กลับมาคาดคั้นเอาโน่นเอานี่จากภาครัฐ ภาครัฐที่เป็นผู้เสียหายจากกรณีนี้อย่างแท้จริง และก็ยังไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะได้รับเงินค่าสัมปทาน และค่าปรับจากบริษัทไอทีวีหรือไม่อีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น