xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 45 โรคแทรกในวัยเรียน (ตอน 1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เสร็จการศพของลุงต๋อมแล้วเป็นช่วงเวลาเปิดเทอมพอดี ผมได้ตั้งใจอยู่แต่ก่อนแล้วว่าเปิดเทอมคราวนี้จะต้องมุ่งมั่นขยันพากเพียรกว่าแต่ก่อนเพราะต้องสอบชั้น ม.ศ.3 ให้ได้ และต้องสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพญาไทให้ได้อีกด้วย ดังนั้นทุกวันเวลาจึงอุทิศให้แก่การเรียนแต่เพียงอย่างเดียว

การเรียนกับความรักมักจะมาคู่กัน แต่ไม่ใช่เป็นความรักของผม เพราะแม้ว่าในยามเด็กซึ่งเรียนอยู่ที่บ้านนอกก็เคยมีความรู้สึกว่าเพื่อนนักเรียนหญิงช่างสวยสดงดงามและหมั่นเพียรคบหาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจจัดได้ว่าเป็นความรัก หากจัดได้เพียงแค่ความถูกอกพอใจและเป็นสุขใจเมื่อได้พบเห็นเท่านั้น

ผมมีความรู้สึกพออกพอใจผู้หญิงเป็นตั้งแต่อายุราว 8-9 ขวบเท่านั้น ดังนั้นใครอย่าประมาทว่าเด็กเล็กๆ จะไม่มีความคิดเรื่องเพศเป็นอันขาด มิฉะนั้นก็อาจพลาดพลั้งและเสียใจในภายหลังได้โดยง่าย

เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสอนเป็นคาถาป้องกันความพลาดพลั้ง ความเสียใจของชาวพุทธเอาไว้ว่าเมื่อใดที่โอกาสและสถานที่อำนวยแล้วพรหมจรรย์ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ดังนั้นความสัมพันธ์ชายหญิงไม่ว่าวัยไหนๆ หากไม่ตั้งอยู่ในความประมาทแล้วก็ต้องไม่ให้โอกาสและสถานที่อำนวยให้เป็นอันขาด มิฉะนั้นก็ย่อมพลั้งพลาดได้

เพราะเหตุนั้นพระบรมศาสดาจึงทรงบัญญัติพระวินัยห้ามมิให้พระภิกษุและสตรีอยู่ในที่ลับเพียงสองต่อสอง หากฝ่าฝืนก็เป็นอาบัติถึงขั้นปาจิตตี นี่ก็คือการวางบทบัญญัติเพื่อไม่ให้ชาวพุทธตั้งอยู่ในความประมาทและพลาดพลั้งไปสู่ขั้นละเมิดพรหมจรรย์ในที่สุด

แม้ผมมาเรียนในกรุงเทพฯ และสัมผัสกับความงดงามอ่อนหวานของลูกสาวชาวกรุงคือโยมทุเรียนก็ไม่ก้าวไปถึงขั้นเป็นความรัก มากที่สุดก็แค่ขั้นน่าชื่นชม ประกอบทั้งผมก็ข่มใจไม่อยากให้จิตใจวอกแวกไปในทางอื่น เพราะได้ตั้งใจอุทิศเวลาให้กับการเรียนแต่เพียงอย่างเดียว

ดังนั้นความรักในห้วงเวลาการศึกษาจึงเป็นเรื่องของเพื่อนร่วมน้ำสาบานคือมนูญผล

เพราะเหตุที่มนูญผล ศิริศักดิ์ และไสยวิชญ์ เป็นเพื่อนรักที่ใกล้ชิด ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ นานวันเข้าก็เกรงใจพ่อแม่พี่น้องของแต่ละคน ทุกคนจึงพากันมารวมตัวกันและไปมาหาสู่กันที่วัด ยามใดว่างต่างก็มาขลุกอยู่กับผมที่วัดเป็นประจำ ดังนั้นบางวันที่ผมไปเล่นหมากฮอสที่บ้านนายเณร มนูญผลก็ตามไปด้วย และได้พบกับหลานสาวของนายเณรซึ่งเป็นเด็กสาวผิวขาวหน้าตาดี และดวงตาคมวาวผิดวิสัยลูกชาวบ้านในย่านนั้น

แม้ว่าสาวเจ้าจะมีครอบครัวที่ยากจนแต่มนูญผลเพื่อนผมก็ไม่รังเกียจ หลงรักเสียจนงอมแงม เพียรมาหาผมให้ชวนไปบ้านนายเณรอยู่เสมอ ผมขัดเพื่อนไม่ได้จึงต้องพาเพื่อนไปบ้านนายเณร แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายสาวเขาไม่ค่อยสนใจ มนูญผลจะเอาใจอย่างไร จะเขียนจดหมายฝากรักประการใดเขาก็ไม่ตอบ

แต่อัชฌาสัยสาวเจ้าคนยากนี้ยังดีกว่าลูกสาวชาวผู้ดีมากมายนักเพราะพบหน้ากันคราใดก็ยังคงต้อนรับทักทายตามธรรมเนียมของเจ้าบ้าน มนูญผลกำลังถูกความรักครอบงำ จึงพาลเข้าใจผิดคิดว่าฝ่ายสาวเขามีน้ำใจยินดีด้วย ก็ยิ่งแรงกล้าด้วยความหวัง แต่ที่ไหนได้กว่าจะรู้ชัดว่าเขาไม่มีใจก็ผ่านไปจนเนิ่นนาน

มนูญผลเป็นคนจริงจังกับชีวิต พอผิดหวังก็ท้อแท้รันทด ยังท่องบทกลอนบทหนึ่งซึ่งผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ว่า

“อันเหวลึกอย่านึกว่าเหวตื้นหุบเหวลื่นอย่าคะนองไปลองผลัก
ตกเหวหินปีนป่ายไม่ง่ายนักตกเหวรักกระเสือกกระสนไปจนตาย”

ผมเห็นเพื่อนเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยเรื่องรักก็สงสาร จึงยกเอาบทกวีที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ท่านทรงนิพนธ์ไว้เป็นคติสอนใจให้คนที่ตกอยู่ในความหลงได้สำนึกตัวว่า

“อันความรักเหมือนโรคาบันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยลอุปสรรคะใดๆ
อันความรักเหมือนโคถึกกำลังคึกผิว์ขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไปบ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ผิว์หากจะขังไว้ก็ดั้นไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่งบ่หวนคิดถึงเจ็บกาย”


ผมได้แต่เตือนสติเพื่อนรักว่าความรักของคนรุ่นเรานี้จะถือเป็นจริงจังอะไรยังไม่ได้ เพราะต่างคนต่างอ่อนเยาว์และอ่อนแก่ความ ยังไม่รู้ประสาแก่ชีวิตที่เข้าใจว่าความรักที่รู้จักในวัยนี้นั้นที่แท้หาใช่ความรักแท้จริงไม่

หากไม่ใช่ความใคร่ก็เป็นแต่เพียงความหลงที่หลงติดยึดในความถูกใจ ความสวย ความงาม ชั่วยามชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีวันตกเหวลึกไปจนตายอะไรหรอก อีกไม่กี่วันห่างกันเข้าก็จะเลิกราลืมกันไปเอง ให้หันมาตั้งใจเรียนหนังสือกันดีกว่า

มนูญผลเคยเกรงว่าผมจะสอบสู้เขาไม่ได้ จึงเพียรหาโรงเรียนกวดวิชาให้ ด้วยน้ำใจประเสริฐคิดช่วยเพื่อน แต่มาคราวนี้เป็นทีผมต้องช่วยเพื่อนบ้างเพราะหากไม่ทุ่มตัวเตือนอย่างขันแข็งแล้ว มนูญผลเองซึ่งตั้งความหวังว่าเมื่อจบ ม.ศ.3 แล้วจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเพื่อสืบสานอุดมการณ์ของผู้เป็นบิดาก็อาจต้องพลาดหวัง

อีกประการหนึ่ง การชักชวนมนูญผลให้เว้นห่างจากความรักกลับมาเรียนหนังสือ ก็เพื่อจะได้เป็นเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกัน มนูญผลเป็นคนรักเพื่อน ผมท้วงติงตักเตือนทัดทานหนักเข้าทุกทีก็ไม่มีหนทางเลือกอื่นจึงต้องคล้อยตามที่ผมเสนอ

พวกเราเพื่อนเกลอแต่ละคนแม้มีจิตสมัครรักคบหาเป็นสหาย แต่กับอนาคตข้างหน้ากลับเลือกหาต่างกัน มนูญผลมีพ่อเลือดทหารจึงตั้งความต้องการจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ในขณะที่ผมตั้งใจจะเรียนกฎหมาย แต่จะต้องสอบแข่งขันเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาให้ได้ก่อน ในขณะที่ศิริศักดิ์อยากจะเรียนเป็นช่างซ่อมเครื่องบินซึ่งไม่รู้ว่าไปติดใจอะไรมา จึงอยากเรียนวิชาซึ่งไม่มีใครรู้จัก ส่วนไสยวิชญ์นั้นอยากเรียนวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์

ดังนั้นพวกเราทั้งสี่คนที่ได้วาดหวังเลือกอนาคตของตนเองว่าใครจะเรียนทางไหนชัดเจนแล้วจึงตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ ทุกวันเสาร์วันอาทิตย์จึงแทนที่จะไปเที่ยวเตร่แห่งหนตำบลอื่นเหมือนดังเคย ก็พากันนัดมาอ่านหนังสือที่กุฏิธรรมนิวาสวัดระฆัง

พวกเราทั้งสี่คนล้วนเป็นคนนับถือพระ ดังนั้นอัชฌาสัยจึงไปด้วยกันได้ดี พวกเรามีความเห็นตรงกันว่าในการสอบแข่งขันนั้นนอกจากพึ่งพากำลังวิชาตัวแล้วก็ควรต้องพึ่งพาบารมีเจ้าประคุณสมเด็จด้วย

ดังนั้นทุกครั้งที่มาอ่านหนังสือด้วยกัน พวกเราจึงรักที่จะพากันเข้าไปที่วิหารสมเด็จ เมื่อกราบไหว้เจ้าประคุณสมเด็จ ตั้งความปรารถนาขอบารมีเป็นที่พึ่งแล้ว ต่างคนต่างก็แยกไปนั่งอ่านหนังสือกันตามจุดต่างๆ ในบริเวณวัด บ้างก็ที่ชายคาโบสถ์ บ้างก็ในวิหารสมเด็จ บ้างก็ในวิหาร บ้างก็ใต้ร่มไม้ใกล้กับพระปรางค์ริมแม่น้ำ โดยเป็นที่เข้าใจร่วมกันว่าใครอ่านหนังสือในวิชาใดก็จะได้ให้เจ้าประคุณสมเด็จได้รับรู้ว่ากำลังอ่านหนังสือวิชานั้นๆ ด้วย

สหายสนิทสี่คนที่มีใจมุ่งมั่นในการเรียนต่างทุ่มเทให้กับการเรียนดังที่ตั้งใจไว้ทุกประการ ผมเองนอกจากเรียนหนังสือที่โรงเรียนแล้วยังเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนพิพัฒนาที่สี่แยกบ้านแขกอีก กลางคืนก็ตั้งหน้าอ่านหนังสือและกวดวิชาด้วยตนเองอย่างขะมักเขม้น และทุกวันเสาร์อาทิตย์พวกเราก็จะมาอ่านหนังสือกันในบริเวณวัดมิได้ขาด.

โปรดติดตามตอนที่ 45 “โรคแทรกในวัยเรียน ตอน 2” ในวันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2550
กำลังโหลดความคิดเห็น