หลังจากวันพฤหัสบดี 22 กุมภาพันธ์ 2550 รายการตรงไปตรงมานำน้องหมู น.ส.วาริน ไตรสนาคม มาออกรายการ พอหลังจากรายการจบ ผมต้องรับโทรศัพท์สอบถามเรื่องเกี่ยวกับน้องหมูและความสามารถพิเศษของน้องหมูที่ช่วยพิมพ์ต้นฉบับหนังสือตรงไปตรงมาไม่หวาดไม่ไหว
ยังมีอีเมลมาจากอเมริกาและจากพันธมิตรฯ หลายฉบับถามไถ่และให้กำลังใจกับน้องหมู บางคนสั่งซื้อหนังสือพร้อมกับขอลายเซ็นน้องหมูด้วย
บางท่านที่ไม่ได้ติดตามรายการในวันนั้น อาจจะสงสัยว่า น้องหมูที่ผมกล่าวถึงเป็นใคร
น้องหมูเป็นบุคคลที่พิการทางสายตา แต่เป็นคนที่มีอุตสาหะ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาของตนเอง ช่วยเหลือตัวเองทั้งเรื่องการศึกษาและการทำงานโดยไม่คิดว่าความพิการจะเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
มีหลายท่านถามว่า ผมรู้จักน้องหมูได้อย่างไร
จุดเริ่มต้น มีแฟนรายการจำนวนมากที่ต้องการให้ผมนำเนื้อหาเรื่องราวที่ผมพูดในรายการตรงไปตรงมา ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV 1 หรือ NEWS 1 มาจัดทำเป็นหนังสือ เพราะคิดว่าเรื่องที่ผมพูดนั้นเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงเวลาหนึ่ง หรือบางท่านเสนอว่า น่าจะทำเป็นจดหมายเหตุเลย
บางคนบอกว่า คุณการุณ ไหนๆ คุณก็เคยเป็นทั้ง ส.ส. และเป็น ส.ว. แถมยังเป็น พ.ม. (พันธมิตรฯ) อีกด้วย รู้ข้อมูลดีอยู่แล้ว น่าจะเรียบเรียงเรื่องราวเหล่านี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชน คนรุ่นหลังให้ได้อ่านความจริงบ้าง เพราะไม่มีใครพูดได้ตรงเหมือนคุณ
เมื่อได้แรงยุ หรือแรงสนับสนุน ผมจึงเริ่มต้นหาทีมงานที่จะช่วย ต้องหาผู้ชำนาญการถอดเทปและพิมพ์ต้นฉบับออกมา
ผมเคยได้ยินว่า คนพิการทางสายตาสามารถถอดเทปและเรียงพิมพ์ได้ด้วย ผมจึงติดต่อไปที่มูลนิธิคนตาบอด ตอนแรกที่ติดต่อไปก็ไม่แน่ใจนักว่าคนพิการทางสายตาจะมาพิมพ์หนังสือได้อย่างไร ขนาดคนตาดียังพิมพ์ถูกพิมพ์ผิด
มูลนิธิแนะนำน้องหมูให้มาทำงานชิ้นนี้ เมื่อได้พูดคุยกับน้องหมูผมเองก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมอุปนิสัยใจคอของน้องหมู
น้องหมูเป็นเด็กน่ารัก รู้จักสัมมาคารวะเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก เมื่อเพื่อนๆ เดือดร้อนน้องหมูจะเข้าไปช่วยเหลือ บางครั้งก็โทร.หาผมเพื่อปรึกษาเรื่องต่างๆ เช่น เพื่อนที่พิการทางสายตาไปทำงานกับบริษัทขายประกันรถแห่งหนึ่ง แล้วโดนหลอกลวงจ่ายเงินค่าคอมมิชชันให้ไม่ครบ น้องหมูก็เป็นธุระโทร.มาปรึกษาผม
น้องหมูพื้นเพคุณพ่อคุณแม่เป็นคนใต้ทั้งคู่ แต่น้องหมูมาเกิดที่กรุงเทพฯ เริ่มต้นเรียนหนังสือที่โรงเรียนคนตาบอด และไปเรียนร่วมกับคนปกติที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับน้องหมู
น้องหมูจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำงานเป็นโอปะเรเตอร์อยู่บริษัทแห่งหนึ่ง เวลาว่างน้องหมูก็ไม่หยุดอยู่บ้านเฉยๆ น้องหมูรับนวดตามบ้านและยังรับจ๊อบเป็นไกด์พาคนต่างประเทศไปเที่ยว น่าชื่นชมในความขยันนะครับ
เมื่อคุยกับน้องหมูและตกลงที่จะช่วยกันผลิตหนังสือตรงไปตรงมานี้แล้ว น้องหมูก็รีบถอดเทปแล้วทยอยส่งมาที่อีเมลผมเพื่อให้ผมทำการขัดเกลาภาษา และดูคำถูกคำผิด เท่าที่ผมตรวจดูแล้ว ปรากฏว่าแก้ไขน้อยมาก
น้องหมูพิมพ์งานโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และใช้โปรแกรมสำหรับคนพิการโดยเฉพาะ คือโปรแกรมตาทิพย์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เวลาพิมพ์ก็พิมพ์สลับหน้าจอระหว่างโปรแกรมวินแอมป์กับวินเวิร์ด สำหรับคนธรรมดาแล้วคงเป็นเรื่องปกติที่จะพิมพ์สลับหน้าต่างไปมา แต่นี่คนพิการนะครับแล้วยังต้องกด play กด pause อีก
สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมาก ไม่เพียงแต่น้องหมูคนเดียวที่ช่วยเหลือผม ยังมีน้องๆ คนพิการอีกหลายท่านที่ช่วยกันถอดเทปและส่งต้นฉบับจนมาเป็นหนังสือตรงไปตรงมาที่ท่านผู้อ่านหลายท่านคงได้เป็นเจ้าของจับจองไว้บ้าง
หนังสือหนาขนาด 430 หน้า ท่านลองนึกดูว่า ถ้าคนปกติพิมพ์ต้องใช้เวลานานขนาดไหนแล้วนี่คนพิการทางสายตาเป็นคนพิมพ์ด้วยแล้ว เวลาไม่นานกว่านั้นหรือ คงหลายเดือนเลยสิ
น้องหมูและทีมใช้เวลาในการทำต้นฉบับ หนังสือตรงไปตรงมา เฉพาะส่วนที่ถอดเทป 35 บท รวมเข้ากับภาคบทความอีก ใช้เวลาทั้งสิ้น 1 เดือนผมจึงส่งโรงพิมพ์
ทุกท่านครับ ที่ผมเล่าเรื่องน้องหมูไม่ใช่อยากจะเยินยอพวกกันเอง แต่อยากให้ทุกท่านได้มองในเรื่องการให้โอกาสแก่คนพิการในสังคมด้วยครับ
ไม่ว่าจะเป็นคนที่พิการทางร่างกาย พิการซ้ำซ้อนหรือพิการสมอง ให้เขาได้มีที่อยู่ในประเทศไทยบ้าง เราควรสนับสนุนคนพิการให้เขาทำงานได้อย่างเต็มความสามารถของเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นภาระแก่สังคม
น้องหมูยังเคยเล่าให้ฟังว่า เคยโดนคนตาดีอย่างเรานี่แหล่ะดูถูกดูหมิ่นอย่างไร ผมก็ได้แต่ปลอบใจน้องหมูไปว่า คนเราเป็นอย่างนี้แหล่ะ ต้องทำใจ ถ้ามีอะไรที่หนักหนาสาหัสหรืออยากให้ช่วยเหลือก็บอก ถ้าผมเองพอจะช่วยได้บ้างก็ยินดี
รายการตรงไปตรงมาหรือบทความที่ผ่านมา ผมก็ได้เขียนถึงบุคคลที่เป็นคนพิการ ในตอนอย่ามองข้าม เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550 มาแล้วว่าคนพิการมีความสามารถและอุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่ประเทศได้อย่างไร
คนพิการได้พยายามที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ติดขัดด้วยว่าเขาไม่มีตัวแทนอยู่ใน ส.ส.ร. 100 คนเลย ได้แต่อาศัยโอกาสจัดเวทีข้างนอก ซึ่งผมเองก็เคยไปเป็นวิทยากรมาแล้วหนึ่งครั้ง ที่โรงแรมแกรนด์ ทาวเวอร์ อินน์ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2550 ที่ผ่านมา
เราคงต้องร่วมกันผลักดันให้คนพิการมีสิทธิที่เขาควรจะได้รับ หรือดังที่อาจารย์ณรงค์ ปฏิบัติสรกิจ เคยกล่าวว่า ขอแค่ปฏิบัติต่อคนพิการเสมือนเป็นพลเมืองไทยคนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
คนเราเกิดมาใช้ชีวิตในโลกนี้ ถ้าเทียบกับอายุของจักรวาล เรามาอาศัยโลกนี้เพียงระยะเวลาสั้นๆ นิดเดียว แล้วเราจะเอาอะไรกันหนักหนา ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สินศฤงคารปล่อยวางเสียบ้าง โลกนี้คงจะสดชื่นน่าอยู่มากกว่านี้ไม่น้อยเลย
อยู่ร่วมกันอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีเมตตาอารี ความรักความเข้าใจที่ดีต่อกัน เราจะปฏิเสธหลีกหนีความจริงได้อย่างไร ในเมื่อโลกนี้ยังคงต้องมีผู้พิการในหลายๆ ด้านอยู่
เราควรจะมาทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ร่วมกัน แล้วอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข จะไม่ดีกว่าหรือ
ยังมีอีเมลมาจากอเมริกาและจากพันธมิตรฯ หลายฉบับถามไถ่และให้กำลังใจกับน้องหมู บางคนสั่งซื้อหนังสือพร้อมกับขอลายเซ็นน้องหมูด้วย
บางท่านที่ไม่ได้ติดตามรายการในวันนั้น อาจจะสงสัยว่า น้องหมูที่ผมกล่าวถึงเป็นใคร
น้องหมูเป็นบุคคลที่พิการทางสายตา แต่เป็นคนที่มีอุตสาหะ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาของตนเอง ช่วยเหลือตัวเองทั้งเรื่องการศึกษาและการทำงานโดยไม่คิดว่าความพิการจะเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
มีหลายท่านถามว่า ผมรู้จักน้องหมูได้อย่างไร
จุดเริ่มต้น มีแฟนรายการจำนวนมากที่ต้องการให้ผมนำเนื้อหาเรื่องราวที่ผมพูดในรายการตรงไปตรงมา ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV 1 หรือ NEWS 1 มาจัดทำเป็นหนังสือ เพราะคิดว่าเรื่องที่ผมพูดนั้นเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงเวลาหนึ่ง หรือบางท่านเสนอว่า น่าจะทำเป็นจดหมายเหตุเลย
บางคนบอกว่า คุณการุณ ไหนๆ คุณก็เคยเป็นทั้ง ส.ส. และเป็น ส.ว. แถมยังเป็น พ.ม. (พันธมิตรฯ) อีกด้วย รู้ข้อมูลดีอยู่แล้ว น่าจะเรียบเรียงเรื่องราวเหล่านี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชน คนรุ่นหลังให้ได้อ่านความจริงบ้าง เพราะไม่มีใครพูดได้ตรงเหมือนคุณ
เมื่อได้แรงยุ หรือแรงสนับสนุน ผมจึงเริ่มต้นหาทีมงานที่จะช่วย ต้องหาผู้ชำนาญการถอดเทปและพิมพ์ต้นฉบับออกมา
ผมเคยได้ยินว่า คนพิการทางสายตาสามารถถอดเทปและเรียงพิมพ์ได้ด้วย ผมจึงติดต่อไปที่มูลนิธิคนตาบอด ตอนแรกที่ติดต่อไปก็ไม่แน่ใจนักว่าคนพิการทางสายตาจะมาพิมพ์หนังสือได้อย่างไร ขนาดคนตาดียังพิมพ์ถูกพิมพ์ผิด
มูลนิธิแนะนำน้องหมูให้มาทำงานชิ้นนี้ เมื่อได้พูดคุยกับน้องหมูผมเองก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมอุปนิสัยใจคอของน้องหมู
น้องหมูเป็นเด็กน่ารัก รู้จักสัมมาคารวะเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก เมื่อเพื่อนๆ เดือดร้อนน้องหมูจะเข้าไปช่วยเหลือ บางครั้งก็โทร.หาผมเพื่อปรึกษาเรื่องต่างๆ เช่น เพื่อนที่พิการทางสายตาไปทำงานกับบริษัทขายประกันรถแห่งหนึ่ง แล้วโดนหลอกลวงจ่ายเงินค่าคอมมิชชันให้ไม่ครบ น้องหมูก็เป็นธุระโทร.มาปรึกษาผม
น้องหมูพื้นเพคุณพ่อคุณแม่เป็นคนใต้ทั้งคู่ แต่น้องหมูมาเกิดที่กรุงเทพฯ เริ่มต้นเรียนหนังสือที่โรงเรียนคนตาบอด และไปเรียนร่วมกับคนปกติที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับน้องหมู
น้องหมูจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำงานเป็นโอปะเรเตอร์อยู่บริษัทแห่งหนึ่ง เวลาว่างน้องหมูก็ไม่หยุดอยู่บ้านเฉยๆ น้องหมูรับนวดตามบ้านและยังรับจ๊อบเป็นไกด์พาคนต่างประเทศไปเที่ยว น่าชื่นชมในความขยันนะครับ
เมื่อคุยกับน้องหมูและตกลงที่จะช่วยกันผลิตหนังสือตรงไปตรงมานี้แล้ว น้องหมูก็รีบถอดเทปแล้วทยอยส่งมาที่อีเมลผมเพื่อให้ผมทำการขัดเกลาภาษา และดูคำถูกคำผิด เท่าที่ผมตรวจดูแล้ว ปรากฏว่าแก้ไขน้อยมาก
น้องหมูพิมพ์งานโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และใช้โปรแกรมสำหรับคนพิการโดยเฉพาะ คือโปรแกรมตาทิพย์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เวลาพิมพ์ก็พิมพ์สลับหน้าจอระหว่างโปรแกรมวินแอมป์กับวินเวิร์ด สำหรับคนธรรมดาแล้วคงเป็นเรื่องปกติที่จะพิมพ์สลับหน้าต่างไปมา แต่นี่คนพิการนะครับแล้วยังต้องกด play กด pause อีก
สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมาก ไม่เพียงแต่น้องหมูคนเดียวที่ช่วยเหลือผม ยังมีน้องๆ คนพิการอีกหลายท่านที่ช่วยกันถอดเทปและส่งต้นฉบับจนมาเป็นหนังสือตรงไปตรงมาที่ท่านผู้อ่านหลายท่านคงได้เป็นเจ้าของจับจองไว้บ้าง
หนังสือหนาขนาด 430 หน้า ท่านลองนึกดูว่า ถ้าคนปกติพิมพ์ต้องใช้เวลานานขนาดไหนแล้วนี่คนพิการทางสายตาเป็นคนพิมพ์ด้วยแล้ว เวลาไม่นานกว่านั้นหรือ คงหลายเดือนเลยสิ
น้องหมูและทีมใช้เวลาในการทำต้นฉบับ หนังสือตรงไปตรงมา เฉพาะส่วนที่ถอดเทป 35 บท รวมเข้ากับภาคบทความอีก ใช้เวลาทั้งสิ้น 1 เดือนผมจึงส่งโรงพิมพ์
ทุกท่านครับ ที่ผมเล่าเรื่องน้องหมูไม่ใช่อยากจะเยินยอพวกกันเอง แต่อยากให้ทุกท่านได้มองในเรื่องการให้โอกาสแก่คนพิการในสังคมด้วยครับ
ไม่ว่าจะเป็นคนที่พิการทางร่างกาย พิการซ้ำซ้อนหรือพิการสมอง ให้เขาได้มีที่อยู่ในประเทศไทยบ้าง เราควรสนับสนุนคนพิการให้เขาทำงานได้อย่างเต็มความสามารถของเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นภาระแก่สังคม
น้องหมูยังเคยเล่าให้ฟังว่า เคยโดนคนตาดีอย่างเรานี่แหล่ะดูถูกดูหมิ่นอย่างไร ผมก็ได้แต่ปลอบใจน้องหมูไปว่า คนเราเป็นอย่างนี้แหล่ะ ต้องทำใจ ถ้ามีอะไรที่หนักหนาสาหัสหรืออยากให้ช่วยเหลือก็บอก ถ้าผมเองพอจะช่วยได้บ้างก็ยินดี
รายการตรงไปตรงมาหรือบทความที่ผ่านมา ผมก็ได้เขียนถึงบุคคลที่เป็นคนพิการ ในตอนอย่ามองข้าม เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550 มาแล้วว่าคนพิการมีความสามารถและอุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่ประเทศได้อย่างไร
คนพิการได้พยายามที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ติดขัดด้วยว่าเขาไม่มีตัวแทนอยู่ใน ส.ส.ร. 100 คนเลย ได้แต่อาศัยโอกาสจัดเวทีข้างนอก ซึ่งผมเองก็เคยไปเป็นวิทยากรมาแล้วหนึ่งครั้ง ที่โรงแรมแกรนด์ ทาวเวอร์ อินน์ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2550 ที่ผ่านมา
เราคงต้องร่วมกันผลักดันให้คนพิการมีสิทธิที่เขาควรจะได้รับ หรือดังที่อาจารย์ณรงค์ ปฏิบัติสรกิจ เคยกล่าวว่า ขอแค่ปฏิบัติต่อคนพิการเสมือนเป็นพลเมืองไทยคนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
คนเราเกิดมาใช้ชีวิตในโลกนี้ ถ้าเทียบกับอายุของจักรวาล เรามาอาศัยโลกนี้เพียงระยะเวลาสั้นๆ นิดเดียว แล้วเราจะเอาอะไรกันหนักหนา ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สินศฤงคารปล่อยวางเสียบ้าง โลกนี้คงจะสดชื่นน่าอยู่มากกว่านี้ไม่น้อยเลย
อยู่ร่วมกันอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีเมตตาอารี ความรักความเข้าใจที่ดีต่อกัน เราจะปฏิเสธหลีกหนีความจริงได้อย่างไร ในเมื่อโลกนี้ยังคงต้องมีผู้พิการในหลายๆ ด้านอยู่
เราควรจะมาทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ร่วมกัน แล้วอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข จะไม่ดีกว่าหรือ