xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 44 การแสดงธรรมของคนตาย (ตอน 2-จบ)

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม

เมื่อทรงเสด็จไสยาสน์และโปรดพระสาวกใหม่ ตลอดจนประทานปัจฉิมโอวาทและประกาศให้พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์หลังจากทรงล่วงลับแล้ว ก็ทรงตั้งพระสติมั่นเข้าสู่ปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานและถอยกลับไปกลับมาจนเสด็จดับขันธปรินิพพานในที่สุด ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความยุ่งยากลำบาก ทุกอย่างเป็นไปด้วยความพร้อม ด้วยความตั้งใจ ด้วยความสงบ และด้วยธรรม

นับเป็นแบบอย่างของการเตรียมการตายที่ชาวพุทธทั้งหลายควรจะได้ศึกษาน้อมนำมาปฏิบัติ ซึ่งย่อมดีกว่าการดิ้นรนเดือดร้อนกระเสือกกระสนจนวุ่นวายไปหมดทั้งตัวเอง ลูกหลาน และครอบครัว

นึกขึ้นมาแล้วก็สรรเสริญจิตใจของลุงต๋อมว่าไม่เสียแรงที่มาอาศัยวัดอยู่ช้านาน ยามเข้าตาใกล้จะตายก็ได้อาศัยพระธรรมในพระพุทธศาสนามาเป็นเพื่อนตายและไม่ก่อความเดือดร้อนให้กับใคร และทำให้ได้เห็นความจริงอย่างหนึ่งว่าคนเรานั้นต่อให้มีอำนาจวาสนา มีทรัพย์สินบริวารมากมายก่ายกองสักเพียงไหน มีคนรัก คนรู้ใจภักดีสักเท่าใด หรือแม้คนยากไร้ที่มีแม้แต่ตัวคนเดียว เวลาจะตายขึ้นมาก็ต้องตายแต่คนเดียว ต้องเดินทางไกลที่ไม่รู้ที่หมายปลายทางข้างหน้าแต่ผู้เดียว โดยที่ไม่มีใครยอมตายด้วยและโดยที่ไม่มีใครยอมร่วมเดินทางไปยมโลกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่รักชอบพอจนสุดสวาทขาดใจสักเพียงไหนก็ตาม ในที่สุดแล้วก็ต้องเดินทางไปแต่คนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดายนัก

ดังนั้นจึงเหลือแต่พระธรรมคำสอนและผลพวงจากการฝึกฝนอบรมจิตใจตามพระธรรมคำสอนเท่านั้นที่จะเป็นเพื่อนแท้เป็นเพื่อนคู่กายคู่ตัวที่สามารถเป็นขวัญและกำลังใจยามใกล้จะตายและอาจเป็นแสงสว่างทางจิตใจที่ติดตัวยามตายได้ด้วย ไม่ว่าจะไปสู่ยมโลกหรือเทวโลกหรือโลกไหนๆ ก็ตามที มนุษย์เรานี้จึงควรที่จะศึกษาพระธรรมคำสอนแล้วน้อมนำไปปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องมือหรือยานวิเศษในการเดินทางครั้งสำคัญในวันตาย

ผมออกจากห้องลุงต๋อมกลับกุฏิแล้วรีบไปต้มข้าวเอาแต่น้ำข้าวแล้วนำไปให้ลุงต๋อม และบอกว่าอย่าถือว่าเป็นการกินอาหารที่รบกวนร่างกายของลุงเลย น้ำข้าวนี้ถือว่าเป็นน้ำแก้กระหายจะได้ไม่ทรมานร่างกายจนเกินสมควร พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ทรงสรรเสริญทั้งทางตึงหรือทางหย่อน ทรงสอนให้เดินทางสายกลาง ขอให้ลุงต๋อมดื่มน้ำข้าวพอบรรเทาความกระหายนั้นเถิด


ลุงต๋อมรับชามน้ำข้าวไปดื่มโดยดี แต่ดื่มได้ 2-3 อึกก็วางชามน้ำข้าวลง ผมถือโอกาสช่วงนั้นทำความสะอาดห้องนอนและเก็บข้าวของในห้องลุงต๋อมให้เรียบร้อย และเอาผ้ามาเช็ดถูที่นอนและพื้นจนสะอาด เพราะคะเนการว่าขนาดอาการของลุงต๋อมนี้น่าจะอยู่ไปได้อีกไม่นาน อยากจะให้ลุงต๋อมเห็นความเป็นระเบียบ ความสะอาดเรียบร้อยในห้องนอนและมีความรู้สึกที่สบายขึ้น

ผมพูดกับลุงต๋อมทำนองล้อเล่นว่าคนเราถ้าจะตายก็ขอให้ตายด้วยเนื้อตัวที่สะอาดเถิด หากเกิดชาติหน้ามีจริงก็จะได้มีเนื้อตัวที่สะอาด ไม่มีกลิ่นปัสสาวะติดตัวไปถึงชาติหน้า ลุงต๋อมได้ฟังก็รู้นัยจึงพยักหน้า ผมจึงไปเอาอ่างใส่น้ำผสมน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้ลุงต๋อมจนทั่วตัว สังเกตเห็นลุงต๋อมมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นและมีท่าทียินดีแล้วกล่าวขอบคุณที่ผมไม่นึกรังเกียจและยังเอาใจใส่ปรนนิบัติราวกับว่าเป็นลูกหลาน ผมก็นึกเสียว่าเป็นการทำบุญกับคนใกล้ตายที่ได้คบหากันมาตามสมควรแล้ว เห็นจะเป็นบุญมากแก่ตนเป็นแน่แท้

วันรุ่งขึ้นผมมาดูลุงต๋อมอีก แต่ปรากฏว่าลุงต๋อมสิ้นใจไปนานแล้ว เข้าใจว่าคงจะตายตั้งแต่ตอนกลางคืน เป็นการตายด้วยความเตรียมพร้อม ด้วยความสงบอย่างยิ่ง จึงเชื่อได้ว่าลุงต๋อมน่าจะไปสุขคติอย่างแน่นอน

ทางคณะหนึ่งได้นำศพลุงต๋อมไปตั้งศพตามประเพณี วันรุ่งขึ้นก็เผาโดยไม่มีญาติไม่มีมิตรจากบ้านเดิมรับรู้เลยแม้แต่สักคนเดียว คงมีแต่พระและเด็กวัดเท่านั้นที่ไปร่วมงานศพของลุงต๋อม

ความจริงงานศพนั้นคนจะมากหรือน้อย จะยิ่งใหญ่หรือกระจอกงอกง่อยเพียงไหนก็ไม่มีความสำคัญอะไร เพราะคนตายไม่รับรู้อะไรด้วย เป็นเรื่องของคนเป็นโดยแท้ ความตายของบางคนทำให้คนข้างหลังเดือดร้อน บ้างถึงขนาดเกือบหมดเนื้อหมดตัว บ้างก็นำมาซึ่งความถูกตำหนิติเตียนในประการต่างๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมายอะไรสักนิดเดียว ดูไปแล้วงานศพของลุงต๋อมน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีงามในการทำศพคือไม่ยุ่งยาก ไม่วุ่นวาย ไม่เสียหายเดือดร้อนรำคาญแก่ใคร

แต่จะทำอย่างไรได้ สังคมของเราเป็นสังคมฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในเกียรติยศ แต่ไม่ใช่เพื่อคนตายหรอก มันเป็นไปเพื่อความอยากของคนเป็นที่อยู่ข้างหลังทั้งสิ้น และเป็นความอยากที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายต้องได้รับความยุ่งยากเดือดร้อน เมื่อไรหนอคตินิยมของสังคมจะยอมรับความเป็นจริง ยอมรับความไม่มีอะไรของความตายและให้การได้เป็นไปด้วยความสงบ ความเรียบร้อย และความไม่ยุ่งยาก ไม่ทำลายทำร้ายคนอยู่ข้างหลังเหมือนดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

ผมทำใจเรื่องการตายของลุงต๋อมมาก่อนแล้วจึงรู้สึกเฉยๆ แต่บางครั้งก็ยังนึกถึงอาลัย เพราะชีวิตผมได้รับหลายสิ่งหลายอย่างทั้งที่แง่คิดคติเตือนใจจากลุงต๋อม แม้ถึงวันนี้ข้อคิดคติเตือนใจเหล่านั้นก็ยังคงเป็นประโยชน์แก่ตัวอยู่เป็นอันมาก

พระท่านเผาศพลุงต๋อมแล้วไม่ได้ทำพิธีเก็บกระดูกหรืออังคารอะไรทั้งสิ้น คงให้แต่สัปเหร่อไปกวาดเอาเถ้ากระดูกและอังคารจากเตาเผาไปทิ้งตามธรรมดาเท่านั้น ซึ่งความจริงก็ควรเป็นเช่นนั้น ไม่ควรมีพิธีรีตองอะไรต่อไปอีก แต่สังคมเราทุกวันนี้ก็มาตั้งการพิธีเกี่ยวกับการเก็บกระดูก เก็บอังคาร หนักเข้าก็ไปนำเอาลัทธิปฏิบัติของศาสนาอื่นเข้ามาแฝงฝังเบียดบังการในพระพุทธศาสนา จนถึงขนาดมีพิธีลอยอังคารเหมือนกับชาวฮินดูเอาศพหรืออังคารไปลอยในแม่น้ำคงคากันแล้ว

หนักเข้าก็แข่งขันกันด้วยขบวนเรือที่ทำพิธีนำเอาอังคารไปลอยในมหาสมุทรว่าเรือของใครใหญ่กว่ากัน หรูหรากว่ากัน ถ้าถึงขั้นเอาเรือเดินสมุทรไปทำพิธีลอยอังคารแล้วก็ดูจะเป็นเรื่องโก้หรู ซึ่งเป็นเรื่องน่าอนาถที่หลงใหลโง่เขลาเบาปัญญา ทำตัวเป็นคนไกลออกไปจากพระศาสนาได้มากมายก่ายกองถึงเพียงนี้.

โปรดติดตามตอนที่ 45 “โรคแทรกในวัยเรียน ตอน 1” ในวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2550
กำลังโหลดความคิดเห็น