xs
xsm
sm
md
lg

อีกหนึ่งของมุมมองจากเพื่อนสมคิด

เผยแพร่:   โดย: พชร สมุทวณิช

วันนี้ผมขออนุญาตเขียนถึง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ในแง่มุมประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมรู้จักกับคนคนนี้

ในบางจุดอาจจะเป็นมุมมองที่ต่างออกไปจากเพื่อนพ้องน้องพี่รอบๆ ตัวที่บ้านพระอาทิตย์ ซึ่งบอกตามตรงว่าน้อยครั้งที่จะเกิดขึ้น ในฐานะส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้วงโคจรแกนในของพันธมิตรฯ ค่ายบ้านพระอาทิตย์

นับตั้งแต่เรียนหนังสือจบและก้าวเข้ามาทำงานอยู่กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ค่ายบ้านพระอาทิตย์ ผ่านร้อนผ่านหนาวทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด มีบทบาทมากบ้างน้อยบ้างแต่ก็เรียกได้ว่าทุกก้าวเดินทั้งพรมแดงและลุยโคลนผมเวียนว่ายอยู่กับค่ายบ้านพระอาทิตย์มาโดยตลอดเท่าที่ค่ายนี้เปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่

เมื่อยุคที่บ้านพระอาทิตย์ชักธงรบกับ “ทักษิณ ชินวัตร” กับระบบปีศาจที่คนผู้นั้นสร้างขึ้น ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไม่ได้ไปไหน ปะฉะดะกับ “ระบอบทักษิณ” ทุกรูปแบบเท่าที่คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้

ดังนั้น ในเรื่องของความเป็นตัวตนที่เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มต่อต้าน “ท้ากกกษิณออกไป” นั้น คงไม่ต้องตั้งคำถามผมในจุดนี้ให้มากเรื่อง


ในสถานการณ์ที่ผ่านมา หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดสภาพที่คนของค่าย “บ้านพระอาทิตย์” และคนที่อยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” จะประจันหน้าในฐานะศัตรูตรงข้าม

แต่อย่างไรก็ดี ผมยังนำบุคคลที่ผมยังถือเป็น “มิตร” อยู่เพียงคนเดียวที่อยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ”

บุคคลดังกล่าวได้แก่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”


ผมเรียก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ว่า “อาสนธิ” และเรียก “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ว่า “อาสมคิด”

เพราะ “อาสนธิ” เลยทำให้ผมรู้จัก “อาสมคิด”


จำได้ว่าครั้งแรกที่รู้จัก “อาสมคิด” ก็ตอนที่คณะของอาสนธิกับอาสมคิดเดินทางไปออสเตรเลียเนื่องในโอกาสที่อาสนธิถูกรับเชิญในโครงการเกี่ยวกับการประสานงานทางการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยทางตอนเหนือของสาธารณรัฐควีนส์แลนด์ อาสมคิดติดตามคณะเดินทางไปด้วย ส่วนผมเรียนปริญญาโทอยู่มหาวิทยาลัยแถวๆ นั้น

ครั้งแรกที่รู้จักกัน จำได้ว่าผมกำลังจะขับรถออกไปหาซื้อเนกไท เพื่อจะแต่งตัวให้เรียบร้อยเพื่อไปร่วมงานสัมมนา อาสมคิดเจอผมแล้วบอกว่า “เฮ้ย จะไปซื้อใหม่ทำไมให้เปลืองตังค์ นี่ มาเอาของอานี่” ว่าแล้วก็หยิบเนกไทมาให้ผมหนึ่งอัน จากนั้นก็มากระซิบผมว่า “เพชรๆ จะออกไปห้างสรรพสินค้าข้างนอกใช่ไหม ขออาติดรถไปด้วยหน่อย”

ผมก็เลยขับรถพาไปข้างนอก ก็ปราก
ฏว่าอาสมคิดตรงดิ่งไปซื้อเสื้อไหมพรม ที่เมืองผมมียี่ห้อเสื้อไหมพรมที่ดังและไม่แพงอยู่ อาสมคิดก็ได้เสื้อผู้หญิงมาหนึ่งตัวพร้อมกับบ่นให้ผมฟังว่า “นึกว่าจะไม่มีเวลาซื้อแล้วเชียว ไม่มีของกลับไปโดนเมียด่าแน่ๆ” จากนั้นเราก็มีโอกาสได้คุยกับอีกหลายเรื่อง ผมนึกในใจว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนปกติธรรมดาดี ไม่เป็นนักวิชาการท่ามากหัวสูงเหมือนที่นึกเอาไว้

ผมก็รู้จักกับอาสมคิดตั้งแต่นั้นมา พอกลับเมืองไทยก็มีโอกาสได้สนิทกันมากขึ้น ชีวิตของแต่ละคนก็เวียนว่ายไปตามตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ แต่ก็ยังมีโอกาสคุยกันเรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องการเมืองจนถึงเรื่องไร้สาระ จำได้ว่าครั้งเดียวที่ผมแวะเข้าไปหาอาสมคิดตอนรับตำแหน่ง รมว.คลังในยุคแรกๆ ของรัฐบาลทักษิณก็คือ แวะไปเอาตั๋วบอลเมื่อครั้งแมนยูฯ มาเตะเมืองไทยและอาสมคิดมีตั๋ว (เอาไปให้เพื่อนนะครับ เพราะผมแฟนหงส์)

อาสมคิดที่จับพลัดจับผลูเข้าไปร่วมสังฆกรรมกับระบอบทักษิณก็เหมือนอีกหลายคนแถวๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็น พันศักดิ์ วิญญรัตน์ หรือทนง พิทยะ ก็เนื่องมาจากสายสัมพันธ์ที่รู้จักเกี่ยวข้องผ่านทางอาสนธิ พูดง่ายๆ ว่าอาสมคิดนั้นรู้จักสนิทสนมกับอาสนธิก่อนรู้จักกับทักษิณเสียอีก

สำหรับผมซึ่งถือว่าตัวเองไม่มีผลประโยชน์อะไรในทางการเมืองก็คบหากับอาสมคิดมาต่อเนื่องทั้งในฐานะอากับหลานและในฐานะเพื่อนต่างวัยที่ผมคิดว่าผมกับเขาคุยกันได้หลายต่อหลายเรื่อง สนิทกันแบบไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง

พอมาถึงช่วงที่ทักษิณ ชินวัตร และ “ระบอบทักษิณ” ถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อประเทศชาติทั้งในสายตาของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ถือว่ามองเห็นเป็นคนแรกๆ และต่อมาผมและอีกหลายๆ คนก็มองเห็นเป็นประการเดียวกัน จนกลายเป็นเรื่องที่มองเห็นจากคนเป็นแสนเป็นล้านจนกลายเป็นการประจันหน้าเปิดสงครามกันระหว่าง “ระบอบทักษิณ” และ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ในเวลาต่อมา

และก็อย่างที่บอกเอาไว้ข้างต้น ในสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดสภาพที่คนของค่าย “บ้านพระอาทิตย์” และคนที่อยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” จะประจันหน้าในฐานะศัตรูตรงข้าม บุคคลที่ผมยังถือเป็น “มิตร” อยู่เพียงคนเดียวที่อยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” ก็คือ “อาสมคิด”

จำได้ว่า เมื่อวันที่สถานการณ์ตรึงเครียดครั้งม็อบป่าไม้จะบุกเข้าตีประชาชนในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่สวนลุมฯ ผมยืนอยู่แถวหน้าสุด เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ผมโกรธจนร้องไห้ที่ระบอบทักษิณส่งนักเลงมารังแกประชาชน โกรธจนไม่รู้จะทำยังไง เลยโทร.เข้ามือถืออาสมคิด ด่ากราดด้วยความโมโห “....ฝากไปบอกไอ้เหี้ย ” ย. “(ตู๊ด..เซนเซอร์..ขี้เกียจขึ้นศาลเพิ่มอีกคดี) ด้วยว่า ชาตินี้มันไม่ตายดีแน่” จำได้ว่าวันนั้นผมหยาบคายมากเพราะอารมณ์โกรธ แต่อาสมคิดก็ไม่หงุดหงิดที่จะรับฟัง

แต่ทั้งนี้ผมได้เอ่ยปากกับเพื่อนพ้องบ้านพระอาทิตย์ว่า ผมพร้อมจะตัดสัมพันธ์กับ “อาสมคิด” ทันที ที่เขาเอ่ยปากให้ร้าย “อาสนธิ” เนื่องจากผมทราบจากกระแสการเมืองภายในพรรคไทยรักไทยตอนนั้นว่า หลายต่อหลายฝ่ายกดดันให้ “อาสมคิด” ออกมาเปิดศึกกับ “อาสนธิ” เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ให้ประจักษ์

แต่ “อาสมคิด” ก็ไม่ได้ทำดังคนเหล่านั้นกดดันให้ทำ ผมก็เลยไม่ได้มีโอกาสที่จะตัดสัมพันธ์กับเขาสักที

ถึงตรงนี้ ในฐานะที่คบหากันต่อเนื่อง แม้ในสายตาของสาธารณชน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ยังอยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” จนวินาทีสุดท้ายก่อนสิ้นสลาย แต่ในการเมืองภายในนั้น ผมยืนยันได้ว่า “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” นั้น อยู่ในสถานการณ์ “เดินกันคนละทาง” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ก่อนหน้านั้นนานพอสมควร ทั้งในแนวคิดทางการเมือง และทั้งในทางนโยบายการบริหาร

ประโยค “เดินกันคนละทาง” นี้ผมได้ยินจากปากของอาสมคิดด้วยตัวเองนะครับ ไม่ได้คิดเอาเอง

ส่วนสาเหตุนั้น มีหลายๆ เรื่องด้วยกัน แต่ผมถือว่าเป็นเรื่องที่เขาคุยกับผมส่วนตัว ไม่อยากเอามาเปิดเผยในตอนนี้ แต่ขออนุญาตบอกว่า เหตุผลที่ได้ฟังนั้น ส่วนตัวแล้วผมถือว่าเขาเป็น “คนที่จัดว่าใช้ได้” คนหนึ่งทีเดียว

คำปราศรัยของเขาก่อนลาออกจากตำแหน่ง อาสมคิดพูดชัดเจนเหมือนกับที่ผมเคยได้ยินก่อนหน้ามาหลายปีแล้วว่า “ดร.ทักษิณมีความคิด มีแนวทางในการดำเนินงานของท่าน ผมก็มีความคิด มีหลักการและมีแนวทางในการดำเนินงานของผม อย่างเป็นอิสระ เด็ดขาด ชัดเจน แยกออกจากกัน ความแตกต่างของแนวทางและความคิดนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จริงๆ แล้วเกิดขึ้นหลายปีก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงเสียด้วยซ้ำไป จนบางครั้งก็เป็นสาเหตุให้เกิดความไม่ไว้ใจ จนเป็นผลนำไปสู่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการเมือง และอะไรอีกหลายอย่าง”

ส่วนเรื่องข้อเสียของเขาในสายตาผม ใช่ว่าจะไม่มี

อย่างที่เล่าเมื่อกี้ ก็คือ ในการภายในแล้ว เขา “เดินกันคนละทาง” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ตั้งนานมาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ เนื่องจาก “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ติดอาการ “ลังเล-ไม่ชัดเจน” ซึ่งผมว่าตรงนี้แหละที่เขาพลาดโอกาสที่จะ “แจ้งให้ทราบ” กับสาธารณชนไปเสียแล้ว มา “แจ้งให้ทราบ” วันนี้ นาทีนี้ จึงสายไปเกินกว่าที่จะได้รับการ “ยกโทษให้” จากสาธารณชนคนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ


ในช่วงสถานการณ์ต่อสู้ระหว่าง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” กับ “ระบอบทักษิณ” นั้น ผมเคยขอร้องเขาหลายครั้ง เนื่องจากผมเห็นว่า หากเขาถอนตัวจากระบอบทักษิณ จะเป็นผลดี และผลรุนแรงทางการเมืองที่จะทำให้ “ระบอบทักษิณ” ล่มสลาย

“อาสมคิดจะอยู่ไปทำไม ในเมื่อจริงๆ ก็แยกทางไม่เอากับเขาตั้งนานแล้ว” ผมถามอาสมคิด ตั้งแต่แรกๆ เมื่อการต่อสู้เริ่มเข้มข้น เขาไม่พูดอะไรชัดเจน แต่ผมพอจับกระแสได้ว่า สิ่งที่เขากังวลก็คือ “ไม่อยากเป็นคนที่ถูกตราหน้าว่าหักหลัง-ทรยศเพื่อน”

อย่างไรก็ดี มีครั้งเดียวที่ “อาสมคิด” เกือบได้ “แจ้งให้สาธารณชนทราบ” เรื่อง “เดินกันคนละทาง” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” วันนั้นผมแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในบ่ายวันหนึ่งวันที่ไปกินก๋วยเตี๋ยวกับอาสมคิดที่บ้าน ว่าอาสมคิดได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วในเรื่อง “ยอมเพื่อชาติ” ที่จะถูกตราหน้าว่า “หักหลัง-ทรยศเพื่อน” จนถึงขนาดแอบโทร.มาหาเพื่อนที่บ้านพระอาทิตย์แล้วว่า “พรุ่งนี้จะมีข่าวใหญ่”

แต่พอดีเย็นนั้น มีพระราชดำรัสของในหลวงที่กล่าวกับคณะตุลาการศาลฎีกาที่ไปเข้าเฝ้าฯ ทำให้สังคมต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทำให้โอกาส “แจ้งให้ทราบ” เรื่อง “เดินกันคนละทาง” ของอาสมคิด ต้องชะงักไปด้วย และจากนั้นโอกาส “แจ้งให้สาธารณชนทราบ” ของอาสมคิดก็เลยต้องผ่านเลยตามเลย เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับผม

ข้อผิดพลาดของ “อาสมคิด” ในสถานการณ์ล่าสุดนี้ยังมีอยู่อีกข้อในความคิดของผม นั่นก็คือ ในวันที่อาสมคิดเดินเข้ามาล้อมวงกินกาแฟที่บ้านพระอาทิตย์ ซึ่งวันนั้นผมก็นั่งอยู่ร่วมโต๊ะกาแฟกับ “อาสมคิด” และ “อาสนธิ” ด้วย อาสมคิดไม่ได้เล่าให้ฟังถึงแผนที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่นายกฯ แต่งตั้ง มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ “อาสนธิ” จะเอ่ยปากคัดค้าน ผมอีกคนก็คงจะเอ่ยปากคัดค้านด้วย

และจะต้องบอก “อาสมคิด” อีกด้วยว่า ก่อนที่คิดจะรับตำแหน่งอะไรอย่างเป็นทางการนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงถึงก่อนก็คือ “การสลัดคราบเสื้อคลุมของระบอบทักษิณ” ให้เป็นประจักษ์ต่อสาธารณชนเสียก่อน

ไอ้เรื่อง “เดินคนละทางกับระบอบทักษิณ” นั้น จะกี่ปีต่อกี่ปีมาแล้ว มันไม่สำคัญ แค่ตัวเองรู้คนเดียวมันไม่เพียงพอ
กำลังโหลดความคิดเห็น