xs
xsm
sm
md
lg

ชายสามโบสถ์

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

กล่าวในทางการเมืองแล้ว ผมได้ยินคำว่า “ชายสามโบสถ์” เป็นครั้งแรกก็ราวเกือบ 30 ปีก่อน ที่ได้ยินก็เพราะสื่อมวลชนไทยได้นำเอาสำนวนที่ว่ามาตั้งเป็นฉายาให้กับรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศในสมัยนั้น

ที่ตั้งให้ก็เพราะว่าพอมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ทีไร (ซึ่งหมายถึงเปลี่ยนตัวนายกฯ ด้วย) ท่านผู้นั้นก็ยังคงถูกเลือกให้มานั่งในกระทรวงที่ว่าอยู่ร่ำไป

ว่ากันถึงสำนวน “ชายสามโบสถ์” นี้แล้ว ก็ต้องบอกก่อนว่าเป็นสำนวนที่ไม่สู้จะมีความหมายดีสักเท่าไร

ใน “พจนานุกรมฉบับมติชน” ได้ให้ความหมายของสำนวนนี้ว่าหมายถึง ผู้ที่บวชแล้วสึก สึกแล้วบวช กลับไปมา 3 ครั้ง ส่อแสดงว่าเป็นคนไม่มั่นคง เหลาะแหละ จึงเป็นคนที่ไม่น่าคบ

เห็นความหมายที่ว่าแล้วก็น่าเห็นใจรัฐมนตรีที่ถูกตั้งฉายาเช่นนี้ แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปแล้วก็พอเข้าใจได้ว่า เหตุใดคนที่เป็นนายกฯ แต่ละคนจึงได้เลือกท่านมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอยู่ร่ำไปถึง 3 หน

จะไม่ให้เข้าใจได้อย่างไรละครับ ก็ในเมื่อตอนนั้นการเมืองไทยเราเพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์ 6 ตุลาคมมาไม่กี่ปี ภาพพจน์ของรัฐบาลไทยขณะนั้นแย่เอามากๆ จะส่งรัฐมนตรีกระทรวงอื่นไปแก้ภาพพจน์กี่คนต่อกี่คนก็ไม่ได้ผล

ยิ่งแก้ไปแทนที่จะแก้ภาพพจน์ แต่กลับกลายเป็นแก้ผ้าเสียมากกว่า โดยเฉพาะนักการเมืองขวาจัดที่ได้ดิบได้ดีหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมคนหนึ่งที่มีจมูกบานเหมือนชมพู่ผ่าซีกคนนั้น

แต่กับรัฐมนตรีต่างประเทศคนที่ว่าแล้ว ตำแหน่งที่ท่านนั่งย่อมต้องติดต่อกับชาวต่างประเทศโดยตรงอยู่แล้ว ฉะนั้น คนที่เป็นนายกฯ แต่ละคนคงจะเห็นว่าไม่มีใครเหมาะเท่าท่าน หรือขี้เกียจหาคนใหม่มาแทนหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงได้เลือกท่านมานั่งซ้ำอยู่เรื่อยไป

ถ้าว่ากันด้วยเหตุผลที่ฟังดูทันสมัยหน่อยก็อธิบายได้ว่า เพื่อความต่อเนื่องของงาน และ “งาน” หนึ่งที่ว่าก็ไม่ใช่อะไรอื่น หากคือ แก้ภาพพจน์

ภาพพจน์ที่พังไปเพราะน้ำมือของเผด็จการขวาจัดในขณะนั้น ที่ล้างยังไงก็ล้างยาก

ถึงแม้รัฐบาลหลังจากนั้นจะมีนโยบายผ่อนคลายลงมากแล้วก็ตาม แต่ในสายตาของชาวต่างชาติแล้วยังคงเห็นว่า การผ่อนคลายนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่น้อยมาก ดังนั้น จะหาใครที่เหมาะเท่ารัฐมนตรีท่านนั้นคงไม่มีอีกแล้ว ว่ากันตรงๆ....ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมก็คงจะเลือกท่านนั่นแหละ ส่วนที่ว่าจะแก้ภาพพจน์ได้ผลหรือไม่นั้นค่อยว่ากัน เพราะยังไงก็ยังดีกว่าเลือกคนใหม่ที่ต้องมาเริ่มกันใหม่

แต่ด้วยเหตุที่ว่านโยบายที่ผ่อนคลายของรัฐบาลในชั้นหลังในขณะนั้น คนไทยเห็นว่า “ผ่อนคลาย” ลงจริงๆ จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่รัฐมนตรีคนที่ว่าจะถูกมองว่าเป็น “ชายสามโบสถ์”

เพราะว่าท่านสมัครใจที่จะเปลี่ยนจุดยืนของท่านได้ทุกเมื่อกับรัฐบาลทุกชุดนั่นเอง เรียกได้ว่า โบสถ์ไหนก็ได้ไม่สำคัญ ขอให้ได้บวชเป็นใช้ได้ จุดยงจุดยืนอะไรไม่จำเป็นต้องมีหรือคำนึงถึง ด้วยเหตุนี้ สังคมไทยจึงมองคนประเภทนี้ว่าไม่มั่นคง เหลาะแหละ ไม่น่าคบ

ผมจำไม่ได้แล้วว่า รัฐมนตรีเจ้าของฉายาชายสามโบสถ์ยุติบทบาททางการเมืองของท่านในกระทรวงดังกล่าวลงอย่างไร จำได้แต่ว่าหลังจากนั้นเรื่อยมา การเมืองไทยก็ไม่มีใครมีฉายาที่ว่าอีกเลย

ถึงตรงนี้หลายคนอาจทักท้วงผมว่า แล้วนักการเมืองที่เที่ยวเปลี่ยนพรรคบ้าง ย้ายพรรคบ้างนั้น หาใช่ชายสามโบสถ์หรอกรึ?

ไม่ใช่ครับ, ที่ไม่ใช่ก็เพราะนักการเมืองพวกนี้เริ่มต้นก็ไม่มีอุดมการณ์อะไรอยู่ในหัวของตัวเอง และพรรคการเมืองไทยเองก็ไม่มี ต่างคนต่างก็มาเพราะมันเป็นช่องทางหนึ่งของการหาเงิน แล้วเขาก็เรียกการหาเงินแบบนั้นว่าเป็นอาชีพอีกอาชีพหนึ่งเท่านั้นเอง

จะเปลี่ยนพรรคหรือย้ายพรรคยังไง หัวหน้าพรรคก็ไม่ว่าอยู่แล้ว เพราะตัวหัวหน้าเองก็ “แป่เอี่ย” ไม่ต่างกับนักการเมืองพวกนี้ ซ้ำยังเชื่อด้วยว่า สักวันพวกที่ย้ายออกไปก็กลับมาเอง เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงินเพียงตัวเดียว

ที่สำคัญคือ นักการเมืองเองก็รู้ดีว่าคนที่เป็นหัวหน้าก็ต้องการประโยชน์จากตัวเอง อย่างน้อยก็ยกมือสนับสนุนในเรื่องที่หัวหน้าต้องการให้ยก ฉะนั้น ที่ว่าพรรคไทยรักไทยมีอุดมการณ์จึงไม่จริง ลองให้หัวหน้าพรรค “หมดตูด” เมื่อไหร่ นักการเมืองพวกนี้ก็เผ่นออกเหมือนกัน

เรื่องแบบนี้จึงเข้าทำนอง “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า” จึงเปรียบเป็นชายสามโบสถ์ไม่ได้ แต่จะเปรียบกับอะไรนั้นคิดดูเอาเอง

ถ้าคิดไม่ออก ผมขอแนะนำให้ไปเที่ยวซ่องหรืออาบอบนวด แล้วถามหญิงบริการที่นั้นเอาเอง

การเมืองไทยไม่ได้พบพานชายสามโบสถ์มานาน จนเมื่อไม่กี่วันมานี้ก็เป็นเรื่อง เมื่อคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อาสามาช่วยรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประชาสัมพันธ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนฮือและฮาไปทั้งวงการ

คุณสมคิด นั้นแตกต่างไปจากนักการเมืองทั่วไปตรงที่มาเป็นนักการเมืองด้วยความรู้ความสามารถที่ตนเองมีอยู่จริงๆ และเป็นนักการเมืองเพียงไม่กี่คนในไทยรักไทยที่วางตัวได้ดี คือดีจนสามารถลอยตัวไปจากปัญหาต่างๆ ได้อย่างชนิดที่ คุณทักษิณ เองก็ไม่อาจที่จะลอยตัวแบบนั้นได้ จนว่ากันว่าถ้า คุณทักษิณ ไม่หูเบาจนเกินไป บางที คุณสมคิด นี่แหละที่จะช่วยเขาได้ไม่น้อย (ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว)

ความโดดเด่นประการหนึ่งที่คุณสมคิด มีก็คือเขาเป็นนักกลยุทธ์ทางด้านการตลาด จนสามารถทำให้นโยบายประชานิยมก็ดี หรือทุนนิยมก็ดี ขึ้นสู่กระแสสูงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในการเมืองไทย

แต่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ความสามารถเช่นนี้จำเป็นต้องมีจุดยืนหรือไม่ เมื่อคุณสมคิด หันมาใช้กลยุทธ์ทางการตลาดกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าอยู่กันคนละขั้วกับสิ่งที่เขาคิดและทำเมื่อครั้งอยู่กับรัฐบาลไทยรักไทยอย่างสิ้นเชิง

หรือว่านักการตลาดไม่จำเป็นต้องมีจุดยืน เพราะการตลาดคือการขายอะไรก็ได้ที่ตนอยากจะขาย ขอเพียงแต่ให้ขายได้เท่านั้นเป็นพอ?

ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะจัดให้คุณสมคิด เป็นชายสามโบสถ์ได้หรือไม่ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะผ่านการบวชมาแค่ 2 โบสถ์ คือโบสถ์ที่มีคุณทักษิณ กับ พลเอกสุรยุทธ์ เป็นเจ้าอาวาส แต่เพียงแค่ 2 โบสถ์นี้เขาก็ดังยิ่งกว่าอดีตรัฐมนตรีเจ้าของฉายาชายสามโบสถ์ที่ผมยกมาข้างต้นมากต่อมาก

หรือถ้าจัดให้เป็นชายสามโบสถ์ไม่ได้ (จริงๆ คือสองโบสถ์) เพราะคุณสมคิด เกิดไปวิพากษ์นโยบายของไทยรักไทยว่าผิดว่าไม่ดี และมีแต่เศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นที่ดีที่สุด อย่างนี้แล้วในอนาคตหากเขาเปลี่ยนความคิดไปสนับสนุนแนวนโยบายอื่นอีก เราจะอธิบายตัวตนของเขาในทางการเมืองว่าอย่างไร?
กำลังโหลดความคิดเห็น