xs
xsm
sm
md
lg

ครม.หนุนทวง"ไทยคม" ไอซีทีส่งคนเจรจาเทมาเส็ก ยันขายสมบัติชาติผิด กม.ชัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รัฐมนตรีไอซีทีแจงครม. วางแผนทวงคืนดาวเทียมไทยคม เผยส่งลูกน้องเจรจาเทมาเส็กแล้ว เตรียมผนึกดีเอสไอสอบกุหลาบแก้ว ยันการขายสมบัติชาติที่กระทบความมั่นคงผิดกฎหมายไทยชัด แถมไม่ผ่านให้ครม.อนุมัติ เข้มห้ามส่งดาวเทียมดวงใหม่จนกว่าจะได้ข้อยุติกรณีนอมินี ด้านพาณิชย์ ย้ำไอซีทียึดคืนได้ แจงกม.โทรคมนาคมระบุชัดห้ามให้สัมปทานต่างชาติ สภาทนายความชี้ช่อง ให้ตำรวจจัดการผู้ซื้อ-ขายหุ้น ขณะที่สื่อนอกตีข่าวไทยหมายบีบซื้อหุ้นจากชินแซทฯ

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวานนี้(20ก.พ.)ว่า ครม.ได้รับทราบแนวทางที่นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) จะดำเนินการเกี่ยวกับการทวงคืนดาวเทียมไทยคมว่าเป็นอย่างไร

ขณะที่นายสิทธิชัย โภไคยอุดม กล่าวว่า ได้แจ้งต่อครม.ว่า สิ่งที่กระทรวงไอซีที ได้ทำไปถือเป็นการกระทำที่ชอบธรรมแล้ว ไม่มีการกลั่นแกล้งหรือกีดกันนักลงทุนต่างชาติ เพราะรัฐบาลชุดก่อนได้ให้สัมปทานการประกอบกิจการดาวเทียมกับบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ แต่เมื่อมีการขายกิจการของบริษัทให้ต่างชาติกลับไม่ผ่านครม.ถือว่าผิดกฎหมายไทยอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม และ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ของกระทรวงพาณิชย์ โดยมาตรการที่กระทรวงไอซีทีได้ทำออกไป มีความสงสัยว่า บริษัทที่ถือหุ้นนั้นเป็นต่างชาติ ตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ยังไม่แล้วเสร็จ

"ไอซีที จะเข้าไปดำเนินการให้รวดเร็ว โดยจะต้องมีมาตรการป้องกันว่า การส่งดาวเทียมดวงต่อไปจะอนุมัติได้ก็ต่อเมื่อการตอบคำถามได้แจ่มชัดว่า บริษัทที่ถือหุ้นเป็นไทยหรือไม่ ขณะเดียวก็จะเปิดโอกาสให้เอกชนรายอื่นมาขอสัญญาสัมปทานดาวเทียมได้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า บริษัทกุหลาบแก้ว เป็นนอมินีหรือไม่ "

นายสิทธิชัย กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมครม.ตนได้หารือกับ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รมว.ยุติธรรม โดยกระทรวงยุติธรรมจะส่งทีมกฎหมายมาร่วมพิจารณาด้วยว่าสัญญาสัมปทานต่างๆ ถูกต้องหรือไม่ รวมทั้งจะพิจารณาด้วยว่า บริษัทกุหลาบแก้ว เป็นนอมินีหรือไม่ด้วย และหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ส่งเอกสารถึงกระทรวงไอซีที ตนก็จะส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการทันที

ส่วนที่มีกระแสสังคมต้องการให้เราซื้อสัญญาสัมปทานดาวเทียมกลับมา กระทรวงก็จะดำเนินการให้ถูกต้อง และระมัดระวัง โดยเฉพาะความต้องการของประชาชนว่ามีความต้องการมากน้อยแค่ไหน โดยจะมอบให้สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจความเห็น ซึ่งให้เรื่องนี้ผ่านไปประมาณ 4-5 สัปดาห์ก่อนค่อยสำรวจ เพื่อให้ได้ความรู้สึกที่แท้จริง

รมว.ไอซีที กล่าวอีกว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่จากกระทรวงไอซีที ได้เข้าไปหารือกับเทมาเส็กอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งคงไม่สามารถนำรายละเอียดมาชี้แจงได้ และตนก็ไม่ได้เป็นผู้ไปหารือด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้กระทรวงพาณิชย์ น่าจะประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)อีกครั้งว่า จะให้ส่งสำนวนการสอบสวนกลับมายังกระทรวงพาณิชย์หรือไม่ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่ากระบวนการสอบสวนทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน ส่วนกระทรวงไอซีทีเองก็จะมีกระบวนการตรวจสอบในลักษณะคู่ขนานไป เพราะกว่าดีเอสไอ จะตรวจสอบว่าเป็นนอมินีแล้วเสร็จ ก็คงใช้เวลานาน และกว่าจะดำเนินการได้คงใช้เวลานานหลายปี

**เผยถ้าต้องซื้อคืนใช้เงินไม่เกินหมื่นล้าน

รมว.ไอซีที กล่าวว่า ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร รัฐบาลไหนก็ตาม ไม่ว่ารัฐบาลของประเทศไหนก็ตาม คงต้องดำเนินการทางกฎหมาย หากสิ่งที่เกิดขึ้นผิดกฎหมาย ก็คงต้องทำให้ถูกต้อง ส่วนกระบวนการซื้อคืนนั้น ต้องพิจารณาว่า จะให้เอกชนซื้อ หรือรัฐซื้อ หรือรัฐจะร่วมกับเอกชนซื้อ แต่ปัญหาขึ้นอยู่กับว่า เขาจะขายคืนให้หรือไม่ ถ้าเขาไม่ขายให้ก็ซื้อไม่ได้ โดยผู้ที่จะมาซื้อก็ต้องทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หมายความว่า ต้องเป็นบริษัทไทยหรือรัฐบาล เช่น แคทเทเลคอม จะร่วมกับทีโอที ซื้อคืนก็ได้

“ต้องดูว่าจะซื้อคืนจากบริษัทชินคอร์ปฯ หรือชินแชทฯ หากซื้อคืนจากชินแซทฯ คิดว่าใช้เงินไม่มาก อาจจะใช้เงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพราะจากที่ดูราคาหุ้นในตลาดขณะนี้มีราคาหุ้นเพียงหุ้นละ 5-7บาท หากจะซื้อคืนเราก็ต้องซื้อทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาจะขายแพงหรือขายถูก แต่เราต้องซื้อในราคาที่เหมาะสม ไม่แพงจนเกินไป โดยขณะนี้ยังไม่ได้พิจารณาอย่างละเอียดว่าจะใช้แนวทางไหน”

นายสิทธิชัย กล่าวว่า รัฐบาลนี้มีเวลาเหลือ 7 เดือนเท่านั้น ซึ่งหวังว่าการตรวจสอบสัญญาสัมปทานของโทรคมนาคม มือถือ จะเรียบร้อยได้ และเรื่องนี้จะยุติได้ อย่างน้อยที่สุดต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า บริษัทกุหลาบแก้ว เป็นนอมินีหรือไม่ ส่วนวิธีการซื้อกลับนั้นรัฐบาลชุดนี้จะวางกรอบที่โปร่งใส น่าเชื่อได้ ไว้ให้รัฐบาลหน้ามาดำเนินการ

"ต้องยอมรับว่าเราจะซื้อคืนทันทีคงไม่ได้ เพราะต้องผ่านขั้นตอนการเจรจา รอถ้าขั้นตอนต่าง ๆ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี แต่ถ้าจะรอขั้นตอนให้ศาลตัดสินว่า บริษัทกุหลาบแก้ว ถือหุ้นในลักษณะนอมินีหรือไม่นั้นต้องรอถึง 5 ปี " นายสิทธิชัย กล่าว

**ถือว่ากุหลาบแก้วถือหุ้น 51%

เมื่อถามว่า หากกระบวนการทางกฎหมายพิสูจน์ได้ว่า บริษัทกุหลาบแก้ว ถือหุ้นแทนกองทุนเทมาเส็ก ในลักษณะนอมินี รัฐบาลไทยก็สามารถยึดคืนได้ใช่หรือไม่ นายสิทธิชัย กล่าวว่า โดยหลักการน่าจะยึดคืนได้ แต่ไม่ใช่ว่าเหมือนกับตำรวจต้องการไปจับใครก็จับได้ แต่ต้องดำเนินการทางกฎหมาย โดยต้องส่งให้อัยการพิจารณาฟ้อง ทั้งนี้ต้องพิจารณาว่าในสัญญาสัมปทานมีการปรับลดส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ จากร้อยละ 51 เป็นร้อยละ 40

" การปรับลดส่วนแบ่งหุ้นจากร้อยละ 51 เป็นร้อยละ 40 ไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะไม่ได้นำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในทางปฏิบัติการถือหุ้นของกุหลาบแก้ว จึงยังเป็นร้อยละ 51 อยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่ร้อยละ 40 อย่างที่เข้าใจ เพราะฉะนั้นหากชินคอร์ปฯ เป็นต่างชาติ ชินแชทฯ ก็น่าจะเป็นต่างชาติเหมือนกัน"

อย่างไรก็ตาม กระบวนการทุกอย่างจำเป็นต้องทำอย่างระมัดระวัง หากซื้อช้า หรือยึดคืนช้า มูลค่าของสัญญาสัมปทานก็จะลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากสัญญาสัมปทานเหลืออายุเพียง 13-14 ปีเท่านั้น อีกทั้งดาวเทียมแต่ละดวงก็มีอายุจำกัด เมื่อถึงเวลาก็ต้องส่งดวงอื่นขึ้นไป และต้องลงทุนเพิ่มค่อนข้างสูง หากเวลาผ่านไปแล้วไม่มีการส่งดาวเทียมขึ้นไปมูลค่าก็จะหายไปเรื่อยๆ

**สนธิย้ำต้องเอาคืน

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธานคมช.กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ที่ประชุม คมช.ได้มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้เรื่องดาวเทียมมาอธิบายให้ฟังถือเป็นข้อมูลหนึ่งที่จะนำมาศึกษา ทั้งนี้ การที่ตนพูดไปในวันนั้นคือเรื่องอุดมการณ์ของความรักชาติ เราจะต้องรักทรัพย์สมบัติของในชาติ ส่วนเรื่องดาวเทียมจะซื้อมา หรือจะเอาคืนมานั้น มีหลายวิธีและมีความเป็นไปได้คือจะต้องซื้อคืนมา ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนเป็นเพียงการวิเคราะห์ใน คมช.เท่านั้น ซึ่งต้องดูสถานการณ์ว่าจะพัฒนาการไปอย่างไร หากเราไม่มีทุน อาจจะให้ใช้วิธีการตั้งกองทุน ซึ่งเป็นเรื่องของในอนาคต เรื่องนี้คงจะต้องมีเจ้าภาพในการเข้ามาคิดเรื่องนี้ ทั้งนี้ วิธีการที่จะได้มา เป็นวิธีการที่ถูกต้อง และไม่มีการใช้อำนาจ คมช.ไปยึดคืน เพราะจะทำให้ระบบการค้าระหว่างประเทศเสียหาย ความถูกต้องเท่านั้นคือสิ่งที่จะต้องทำ ซึ่งทางกระทรวงไอซีทีจะต้องไปศึกษาเรื่องของสัญญาณสัมปทานต่างๆ อะไรที่เป็นสมบัติของชาติก็อยากจะให้อยู่กับชาติบ้านเมืองเท่านั้นเอง

**พาณิชย์ยันไอซีทียึดดาวเทียมได้

นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า การยึดคืนดาวเทียมจากสิงคโปร์ เป็นเรื่องของกระทรวงไอซีที ที่จะดำเนินการได้ภายใต้ พ.ร.บ.กิจการโทรคมนาคม เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า การให้สัมปทานด้านกิจการโทรคมนาคมนั้น ผู้ที่รับสัมปทานจะต้องเป็นคนไทยเท่านั้น คนต่างชาติไม่มีสิทธิ์

"กรณีดาวเทียมไทยคมที่ขณะนี้อยู่ในการครอบครองของชินคอร์ป และ ชินคอร์ป ถูกกองทุนเทมาเส็กจากสิงคโปร์ซื้อไป โดยผ่านบริษัทกุหลาบแก้ว จำกัด และกรมฯได้มีการชี้มูลในเบื้องต้นแล้วว่า กุหลาบแก้วเป็นนอมินีนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของตำรวจ ถ้าตำรวจสรุปข้อมูลและส่งฟ้องศาล และมีการตัดสินตามที่มีการชี้มูลความผิดเอาไว้ ก็สามารถที่จะยึดคืนสัมปทานได้ทันที"

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจากนี้ไป กุหลาบแก้วจะมีการปรับสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อไม่ให้เป็นนอมินี ก็ไม่ถือว่าพ้นผิด เพราะความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว และขอยืนยันว่าจะไม่มีผลตามที่มีการปรับปรุงพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ที่ให้โอกาสปรับตัวด้วย เนื่องจากกรณีที่ให้ปรับตัวเป็นเงื่อนไขให้กับบริษัทที่แต่เดิมไม่เป็นบริษัทต่างด้าว แต่พอปรับปรุงกฎหมายแล้วเป็นต่างด้าวเท่านั้น

**สภาทนายจี้ไอซีทีทวงคืนไทยคม**

นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กระทรวง ไอซีที เร่งสรุปข้อเท็จจริงว่า การที่สิงคโปร์เข้ามามีส่วนใช้สัญญาณดาวเทียมไทยคม ผิดต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่ หากสรุปผลแล้วพบว่าผิด กระทรวงไอซีที ต้องระงับการใช้สัญญาณทันที และมีสิทธิในการยกเลิกสัมปทาน นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ต้องเร่งสอบสวนหาตัวผู้ขายหุ้น และมีส่วนชักนำหรือเปิดทางให้สิงคโปร์เข้ามามีส่วนบริหารวงจรดาวเทียมไทคมให้แน่ชัดว่า บริษัทต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติหรือไม่ เพื่อดำเนินคดีข้อหา "ซื้อขายหุ้นที่กระทบความมั่นคงของชาติ"

นายเดชอุดม กล่าวว่า โดยปกติเมื่อต้องมีการลงทุนโครงการใหญ่ ในต่างประเทศของประเทศสิงคโปร์ ย่อมจะมีนักกฎหมายช่วยดูแลเรื่องกฎหมายให้อยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่มีทางที่รัฐบาลสิงคโปร์จะปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายไทย โดยกฎหมายที่สภาทนายความกล่าวถึงในวันนี้คือ กฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของชาติ คือ พ.ร.บ.ความคุ้มครองความลับของชาติ ซึ่งผู้ที่เป็นประธานสภาความมั่นคง ก็คือนายกรัฐมนตรี ที่เป็นประธานโดยตำแหน่ง ดังนั้นข้าราชการการเมือง จึงไม่มีทางที่จะปฏิเสธเช่นกันว่า ไม่รู้เรื่องกฎหมายความมั่นคงของชาติ

สภาทนายความขอย้ำอีกครั้ง รัฐบาลไทยไม่ต้องออกมาตอบคำถามตามที่รัฐบาลสิงคโปร์ออกมาตั้งคำถามไว้ แต่ในทางกลับกัน สิงคโปร์จะต้องออกมาตอบรัฐบาลไทยให้ได้ว่า รัฐบาลสิงคโปร์ได้ล่วงรู้ข้อมูล เกี่ยวกับสถานที่ สัญญาณดาวเทียมของไทยมากน้อยเพียงใด ซึ่งการที่รัฐบาลไทยไม่ตอบคำถามสิงคโปร์ จะเป็นเครื่องยืนยันว่า ใครก็ตาม ที่ได้ลวงรู้ข้อมูลของชาติหรือใครก็ตาม ที่ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาล่วงรู้ข้อมูลขอประเทศต้องถือว่ามีความผิดทั้งสิ้น

**ส่ง"จรัญ"ร่วมหารือไอซีที

นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รมว.ยุติธรรม ได้มอบหมายให้ตนและนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ผอ.สำนักงานกิจการยุติธรรม ในฐานะตัวแทนกระทรวงยุติธรรม เข้าไปช่วยเหลือด้านกฎหมาย โดยหารือกรณีดังกล่าวร่วมกับกระทรวงไอซีที และนักกฎหมายอีกสองท่าน คือ นายศาสตรา โตอ่อน และรองศาสตราจารย์ ดร. ดาราพร ถิระวัฒน์ เพื่อพิจารณาในรายละเอียดต่อไป

เมื่อถามว่ามีช่องทางสามารถทวงดาวเทียมได้หรือไม่ ปลัดยุติธรรม กล่าวว่า ยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ เพราะยังไม่ได้มีการหารือ ต้องรอให้มีการประชุมร่วมกันก่อน

**กมธ.ตำรวจเชิญเสรีพิศุทธ์ชี้แจง

นายไพศาล พืชมงคล สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)โฆษกคณะอนุกรรมาธิการการตำรวจ ในคณะกรรมาธิการการยุติธรรม สิทธิมนุษยชนและการตำรวจ สนช.แถลงว่า ที่ประชุมได้พิจารณาความล่าช้าในการดำเนินการของสตช.กับกองทุนเทมาเส็ก ที่เข้ามาซื้อหุ้นชินคอร์ป โดยมีการซื้อผ่านบริษัทนอมินี ที่มีเจ้าหน้าที่ในกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เรื่องดังกล่าวได้มีการแจ้งความ สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินการตรวจสอบเป็นเวลา 5 เดือนแล้ว แต่ยังคืบหน้า จากนั้นได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจสืบสวนคดีทางเศรษฐกิจ ซึ่งทางพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการผบ.สตช.ได้มีการตรวจสอบรายละเอียดแล้ว ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และล่าช้าอยู่ ที่ประชุมจึงมีมติเชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และนางอรจิต สิงคาลวณิช อดีตอธิบดีกรมการค้า เข้าชี้แจงในสัปดาห์หน้า ว่าเหตุใดถึงดำเนินการล่าช้า

**สื่อนอกชี้ไทยบีบเทมาเส็กขายชินแซท

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (เอฟที) ของอังกฤษ รายงานในฉบับวานนี้(20 ก.พ.)ว่า บรรดานักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลชุดที่ทหารแต่งตั้งของไทยกำลังเพิ่มแรงบีบคั้น เพื่อให้เทมาเส็ก ยอมสมัครใจปล่อยขายหุ้นชินแซทที่ถือเอาไว้

หนังสือพิมพ์แนวธุรกิจทรงอิทธิพลฉบับนี้อ้างคำพูดของนายแอนดี ชาน นักวิเคราะห์หุ้นเทเลคอมของวาณิชธนกิจ เจพี มอร์แกน ซึ่งกล่าวว่า ความตั้งใจของรัฐบาลไทยน่าจะเป็นการทำให้มีการเลิกข้อตกลงชินแซท

"คุณก็เลยใช้ปืนทุกกระบอกเหล่านี้เรียงแถวไปที่เทมาเส็ก แล้วคุณก็บอกว่า 'คุณต้องการเลิกข้อตกลงไหม หรือว่าเราควรจะเดินหน้าแผนสอง'" นายชาน กล่าวเปรียบเทียบ

ไฟแนนเชียลไทมส์ชี้ว่า ราคาหุ้นชินแซทเวลานี้อยู่ต่ำกว่าเมื่อตอนเริ่มต้นปี 49 ถึง 50% นักวิเคราะห์อย่างนายริชาร์ด โมเอ แห่งบริษัทหลักทรัพย์แมคควอรี ซีเคียวริตีส์ จึงมองว่า นี่เป็นโอกาสดีเหลือเชื่อในการที่ไทยจะเข้าซื้อกิจการคืน

นอกจากเสนอข่าวแล้ว ใน "เดอะ เล็กซ์ คอลัมน์"อันมีชื่อเสียงของไฟแนนเชียลไทมส์ ยังเขียนวิเคราะห์ว่า ถ้าเทมาเส็กเลือกที่จะขายทรัพย์สินของชินคอร์ป โดยเฉพาะชินแซท ให้แก่ฝ่ายไทยแล้ว ก็คงไม่น่าจะได้ราคาดี และจะยังไม่ได้แก้ไขปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ต่างชาติในระดับบริษัทโฮลดิ้งด้วย ทว่าเทมาเส็ก จะหาคนอื่นมาซื้อทรัพย์สินเหล่านี้ก็คงลำบากเหมือนกัน แม้จะมีกองทุนบำนาญของรัฐอยู่สองสามแห่ง ซึ่งอาจจะก้าวเข้ามาได้

เดอะ เล็กซ์ คอลัมน์ บอกว่า สำหรับฝ่ายไทยนั้น ยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง ด้วยการก็อปปี้ตัวอย่างของฮ่องกงในการปลดเปลื้องหุ้นซึ่งรัฐบาลฮ่องกงได้ไว้ตอนที่เข้าไปพยุงตลาดหลักทรัพย์ กล่าวคือ ประกาศโอนกิจการชินคอร์ปให้เป็นของชาติ จากนั้นจึงปล่อยหุ้นชินแก่นักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใช้วิธีไหน รัฐบาลไทยก็จะไม่ต้องจ่ายเงินสูงกว่าราคาตลาดอยู่ดี
กำลังโหลดความคิดเห็น