มองสถานการณ์ของบ้านเมืองตอนนี้แล้ว หลายคนออกอาการส่ายหัว ...
“ทำไมบ้านเมืองหลังยุคทักษิณ ทำไมยังยุ่งเหยิง ทำไมเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น ทำไมไฟใต้ยังไม่ดับ ทำไมพล.อ.สุรยุทธ์ จึงยังเอาคนของระบอบทักษิณมาใช้งาน ทำไม ทำไม และทำไม ...?!?” เหล่านี้เป็นคำถามที่อื้ออึงอยู่ในสังคมไทยในช่วงนี้
พูดกันอย่างตรงไปตรงมาความยุ่งเหยิงเหล่านี้ ผมเชื่อว่าแม้แต่ตัว พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเองก็อาจจะยังงงงวยอยู่ว่าช่วง 4 เดือนกว่าที่ผ่านมานี้ตัวเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง?
หลีกจากเรื่องวุ่นๆ ของรัฐบาลและคมช. ปัจจุบัน หันมามองอดีตรัฐบาล อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตพรรคที่เคยกุมอำนาจในการบริหารประเทศกันบ้างดีกว่า
อย่างที่ผมเคยกล่าวไปในคอลัมน์สัปดาห์ที่แล้วว่า นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นไป การเมืองไทยจะร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจาก ‘การดิ้นรน เอาชีวิตรอด’ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตท่านผู้นำ และเหล่าพลพรรคของพรรคไทยรักไทย
เริ่มจากตัว พ.ต.ท.ทักษิณ นับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมจนกระทั่งทุกวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังคงมีพยายามที่จะใช้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ด้วยการบินไปประเทศโน้นที ประเทศนี้ทีอย่างจงใจ ...
หนึ่ง ก็เพื่อที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในประเทศนั้นๆ (หรืออาจมีเรื่องเงินทอง การจ้างวานเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีใครทราบแน่ชัด)
สอง ก็เพื่อจะทำตัวให้เป็นข่าว ให้เป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนโลกอยู่ เพื่อที่ข่าวของตนจะได้มีโอกาสปรากฏสู่สายตาของคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไปตีกอล์ฟกับเพื่อนฝูงนักการเมืองที่สิงคโปร์ ที่จีน ที่ฮ่องกง ที่ออสเตรเลีย หรือการปล่อยข่าวว่าจะไปซื้อบ้านพักราคาเกือบ 300 ล้านบาทที่ ซิดนีย์ หรือการที่มีข่าวว่าภรรยา คือ คุณหญิงพจมานขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยโอนเงินจำนวน 200 หรือ 400 ล้านบาท ออกนอกประเทศไปซื้อบ้านในประเทศอังกฤษ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวภายในประเทศก็เริ่มจะเข้มข้นขึ้น จากการที่สมาชิกและผู้บริหารพรรคไทยรักไทยอันประกอบไปด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เป็นต้น ประกาศว่าจะเปิดตัวสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม PTV ในเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้
แม้ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง หัวหน้าพรรคไทยรักไทยจะประกาศว่า การตั้ง PTV ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทย และพรรคไทยรักไทยไม่ได้ส่งเสริมหรือสนับสนุน แต่จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของผู้ก่อตั้งสถานีดังกล่าว สถานการณ์รอบด้าน รวมถึงข่าวลือที่ระบุว่า PTV นั้นได้รับการสนับสนุนจากนายทุนใหญ่ด้านสื่อของพรรคไทยรักไทยก็เป็นที่ชี้ชัดได้แล้วว่า PTV นั้นจะกลายเป็นอาวุธเสริมให้กับพรรคไทยรักไทยร่วมกับ itv หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ในการตั้งป้อมรบกับรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ และคมช.อย่างแน่นอน
สำหรับความเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย หลายคนให้ความเห็นไว้สั้นๆ แต่น่าขบคิดดังนี้
“ยิ่งดิ้น ... ก็จะยิ่งจบไม่ดี”
จากประโยคข้างต้นสามารถขยายความได้ดังนี้คือ ยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ดิ้นรน คิดต่อสู้ คิดตอบโต้กับรัฐบาล คมช. หรือคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งตกเป็นเป้า ถูกจับตาให้การลงโทษในกระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปอย่างเข้มงวดและหมดทางรอดมากเท่านั้น อุปมาอุปไมยเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณและสมาชิกพรรคไทยรักไทยนั้นเป็นลิงที่กำลังแก้แห
‘ลิงแก้แห’- ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้แห แหก็ยิ่งพันตัว
พูดไปก็เหมือนกับเป็นเรื่องตลก พฤติกรรม ‘ลิงแก้แห’ ของ พ.ต.ท.ทักษิณและพลพรรคไทยรักไทยนั้นเกิดขึ้นมาตั้งนานนมแล้ว ตั้งแต่ตัวเองยังเป็นผู้มีอำนาจวาสนา จนกระทั่งปัจจุบันที่ต้องกลายเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ พฤติกรรมนี้ก็ยังดำรงอยู่
หลายคนให้ความเห็นว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิบัติตัวเหมือนกับอดีตผู้นำของประเทศไทยอย่าง จอมพลถนอม กิตติขจร หรือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เสียหน่อย คือ เมื่อถูกทำรัฐประหาร หล่นจากอำนาจแล้วก็ลี้ภัยไปต่างประเทศชั่วคราว ไปใช้ชีวิตสันโดษไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง พอเรื่องซาและประชาชนลืม ค่อยขออนุญาตกลับมาเมืองไทย ... เรื่องราวคงไม่ยุ่งถึงขนาดนี้
เช่นเดียวกับกรณีของพรรคไทยรักไทยที่มีคดีอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรคการเมือง หากพรรคไทยรักไทยทำตัวให้น่ารักกว่านี้ สงบเสงี่ยมเจียมตัวกว่านี้ ไม่ออกมาปกป้องผลประโยชน์ของ ‘นายใหญ่-นายหญิง’ เสียจนเกินหน้าเกินตาเช่นนี้ หนทางในการประนีประนอมเรื่องการยุบพรรค ที่มีความเกี่ยวพันไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วยก็อาจจะสะดวก โปร่งโล่งกว่าที่เป็นอยู่
เชื้อโรค ‘ลิงแก้แห’ จาก พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีความร้ายแรงเสียจนคนรอบตัวก็เริ่มออกอาการบ้างแล้ว โดยที่เห็นได้ชัดที่สุด ณ วันนี้ก็คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ ณ วันนี้เพิ่งออกมาแสดงความหวังดีกับประเทศชาติด้วยการเสนอตัวเข้ามาช่วยงาน พล.อ.สุรยุทธ์ ในการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการประสานงาน และกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทั้งๆ ที่ตัวคุณสมคิดยังมีชนักติดหลังอยู่จากกรณีทุจริตกล้ายาง, นโยบายกองทุนหมู่บ้าน, นโยบายเปิดเขตการค้าเสรี, นโยบายการแปรรูรัฐวิสาหกิจ, นโยบายประชานิยมต่างๆ เป็นต้น และที่สำคัญคุณสมคิดเองยังเป็นหนึ่งในต้นคิดในเรื่องระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทักษิโณมิกส์’ และนโยบายการตลาดของ ‘ทักษิโณมิกส์’ ที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ เสียด้วย!
ความพยายามออกมากลับลำเสนอความคิดว่าพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ในการผลักดัน ‘แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง’ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของคุณสมคิดอย่างกะทันหันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ณ วันนี้ ประชาชนจึงไม่อาจยอมรับได้ด้วยประการทั้งปวง
ไม่เพียงเท่านั้นการตรวจสอบการทุจริต-ประพฤติมิชอบของคุณสมคิดในกรณีต่างๆ ระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีโดย คตส. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมถึงกระบวนการในศาลสถิตยุติธรรมก็จะเข้มงวดและเป็นที่จับตาของประชาชน และสื่อมวลชนมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ณ วันนี้ คุณสมคิดคงได้แต่บ่นกับตัวเองในใจว่า “ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ... ตูอยู่เฉยๆ เสียก็ดี”
ไม่เพียงแค่คุณสมคิด ขุนคลัง-มือเศรษฐกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ณ วันนี้เชื้อโรค ‘ลิงแก้แห’ ยังแพร่กระจายไปมัดคอ มัดแขน มัดขา คนที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณอีกหลายคน โดยที่ผมเพิ่งไปพบเจอล่าสุดก็คือ ‘เนติบริกร’ ที่ชื่อ สุวรรณ วลัยเสถียร

ชื่อสุวรรณ วลัยเสถียร กลายเป็นที่รู้จักของสังคมไทยในวงกว้างในช่วงต้นปีมกราคม 2549 เมื่อเขาออกมาแจ้งตัวต่อสาธารณชนว่าเขาเป็น “โฆษกตระกูลชินวัตร” ในกรณีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปมูลค่า 73,300 ล้านบาทให้กับกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดยคนในตระกูลชินฯ ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว!
นักกฎหมายชั้นครูที่ชื่อ ‘สุวรรณ วลัยเสถียร’ สร้างความตื่นตะลึงให้กับสื่อมวลชนและสังคมไทยอีกครั้งระหว่างการแถลงข่าวเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับเงื่อนงำในการซื้อ-ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษี โดยครั้งหนึ่งคำพูดของนายสุวรรณถูกบันทึกไว้ในหน้าหนังสือพิมพ์ และในหน้าประวัติศาสตร์ว่า
“วันนี้ผมไม่ได้มาพูดในเรื่องจริยธรรมหรืออะไร ต้องขออภัยจริงๆ ผมก็มั่นใจมากนะ ที่ทำมาก็เรียกว่าตรงไปตรงมา ทุกอย่าง on the table หมดเลยนะครับ”
ผลกระทบจากความผิดพลาดในการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปที่ปรากฏในวันนี้ และบทบาทในการเป็นโฆษกหรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “เนติบริกรตระกูลชิน” ของคุณสุวรรณ ณ วันนั้นได้ทำลายชื่อเสียง ทำลายเครดิตของคุณสุวรรณในฐานะมือกฎหมาย มือภาษีชั้นนำของประเทศไปหมดไม่มีเหลือ
... แม้ว่าในเวลาต่อมา คุณสุวรรณจะพยายามเขียนหนังสือที่ชื่อ “จ่ายภาษีก็รวยได้ (Pay As You Earn)” ออกมาแก้ตัวหรือล้างบาปก็ตามที
“ทำไมบ้านเมืองหลังยุคทักษิณ ทำไมยังยุ่งเหยิง ทำไมเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น ทำไมไฟใต้ยังไม่ดับ ทำไมพล.อ.สุรยุทธ์ จึงยังเอาคนของระบอบทักษิณมาใช้งาน ทำไม ทำไม และทำไม ...?!?” เหล่านี้เป็นคำถามที่อื้ออึงอยู่ในสังคมไทยในช่วงนี้
พูดกันอย่างตรงไปตรงมาความยุ่งเหยิงเหล่านี้ ผมเชื่อว่าแม้แต่ตัว พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเองก็อาจจะยังงงงวยอยู่ว่าช่วง 4 เดือนกว่าที่ผ่านมานี้ตัวเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง?
หลีกจากเรื่องวุ่นๆ ของรัฐบาลและคมช. ปัจจุบัน หันมามองอดีตรัฐบาล อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตพรรคที่เคยกุมอำนาจในการบริหารประเทศกันบ้างดีกว่า
อย่างที่ผมเคยกล่าวไปในคอลัมน์สัปดาห์ที่แล้วว่า นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นไป การเมืองไทยจะร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจาก ‘การดิ้นรน เอาชีวิตรอด’ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตท่านผู้นำ และเหล่าพลพรรคของพรรคไทยรักไทย
เริ่มจากตัว พ.ต.ท.ทักษิณ นับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมจนกระทั่งทุกวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังคงมีพยายามที่จะใช้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ด้วยการบินไปประเทศโน้นที ประเทศนี้ทีอย่างจงใจ ...
หนึ่ง ก็เพื่อที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในประเทศนั้นๆ (หรืออาจมีเรื่องเงินทอง การจ้างวานเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีใครทราบแน่ชัด)
สอง ก็เพื่อจะทำตัวให้เป็นข่าว ให้เป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนโลกอยู่ เพื่อที่ข่าวของตนจะได้มีโอกาสปรากฏสู่สายตาของคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไปตีกอล์ฟกับเพื่อนฝูงนักการเมืองที่สิงคโปร์ ที่จีน ที่ฮ่องกง ที่ออสเตรเลีย หรือการปล่อยข่าวว่าจะไปซื้อบ้านพักราคาเกือบ 300 ล้านบาทที่ ซิดนีย์ หรือการที่มีข่าวว่าภรรยา คือ คุณหญิงพจมานขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยโอนเงินจำนวน 200 หรือ 400 ล้านบาท ออกนอกประเทศไปซื้อบ้านในประเทศอังกฤษ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวภายในประเทศก็เริ่มจะเข้มข้นขึ้น จากการที่สมาชิกและผู้บริหารพรรคไทยรักไทยอันประกอบไปด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เป็นต้น ประกาศว่าจะเปิดตัวสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม PTV ในเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้
แม้ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง หัวหน้าพรรคไทยรักไทยจะประกาศว่า การตั้ง PTV ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทย และพรรคไทยรักไทยไม่ได้ส่งเสริมหรือสนับสนุน แต่จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของผู้ก่อตั้งสถานีดังกล่าว สถานการณ์รอบด้าน รวมถึงข่าวลือที่ระบุว่า PTV นั้นได้รับการสนับสนุนจากนายทุนใหญ่ด้านสื่อของพรรคไทยรักไทยก็เป็นที่ชี้ชัดได้แล้วว่า PTV นั้นจะกลายเป็นอาวุธเสริมให้กับพรรคไทยรักไทยร่วมกับ itv หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ในการตั้งป้อมรบกับรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ และคมช.อย่างแน่นอน
สำหรับความเคลื่อนไหวต่างๆ ในช่วงนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย หลายคนให้ความเห็นไว้สั้นๆ แต่น่าขบคิดดังนี้
“ยิ่งดิ้น ... ก็จะยิ่งจบไม่ดี”
จากประโยคข้างต้นสามารถขยายความได้ดังนี้คือ ยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ดิ้นรน คิดต่อสู้ คิดตอบโต้กับรัฐบาล คมช. หรือคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งตกเป็นเป้า ถูกจับตาให้การลงโทษในกระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปอย่างเข้มงวดและหมดทางรอดมากเท่านั้น อุปมาอุปไมยเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณและสมาชิกพรรคไทยรักไทยนั้นเป็นลิงที่กำลังแก้แห
‘ลิงแก้แห’- ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้แห แหก็ยิ่งพันตัว
พูดไปก็เหมือนกับเป็นเรื่องตลก พฤติกรรม ‘ลิงแก้แห’ ของ พ.ต.ท.ทักษิณและพลพรรคไทยรักไทยนั้นเกิดขึ้นมาตั้งนานนมแล้ว ตั้งแต่ตัวเองยังเป็นผู้มีอำนาจวาสนา จนกระทั่งปัจจุบันที่ต้องกลายเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ พฤติกรรมนี้ก็ยังดำรงอยู่
หลายคนให้ความเห็นว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิบัติตัวเหมือนกับอดีตผู้นำของประเทศไทยอย่าง จอมพลถนอม กิตติขจร หรือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เสียหน่อย คือ เมื่อถูกทำรัฐประหาร หล่นจากอำนาจแล้วก็ลี้ภัยไปต่างประเทศชั่วคราว ไปใช้ชีวิตสันโดษไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง พอเรื่องซาและประชาชนลืม ค่อยขออนุญาตกลับมาเมืองไทย ... เรื่องราวคงไม่ยุ่งถึงขนาดนี้
เช่นเดียวกับกรณีของพรรคไทยรักไทยที่มีคดีอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญเรื่องยุบพรรคการเมือง หากพรรคไทยรักไทยทำตัวให้น่ารักกว่านี้ สงบเสงี่ยมเจียมตัวกว่านี้ ไม่ออกมาปกป้องผลประโยชน์ของ ‘นายใหญ่-นายหญิง’ เสียจนเกินหน้าเกินตาเช่นนี้ หนทางในการประนีประนอมเรื่องการยุบพรรค ที่มีความเกี่ยวพันไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วยก็อาจจะสะดวก โปร่งโล่งกว่าที่เป็นอยู่
เชื้อโรค ‘ลิงแก้แห’ จาก พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีความร้ายแรงเสียจนคนรอบตัวก็เริ่มออกอาการบ้างแล้ว โดยที่เห็นได้ชัดที่สุด ณ วันนี้ก็คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ ณ วันนี้เพิ่งออกมาแสดงความหวังดีกับประเทศชาติด้วยการเสนอตัวเข้ามาช่วยงาน พล.อ.สุรยุทธ์ ในการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการประสานงาน และกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทั้งๆ ที่ตัวคุณสมคิดยังมีชนักติดหลังอยู่จากกรณีทุจริตกล้ายาง, นโยบายกองทุนหมู่บ้าน, นโยบายเปิดเขตการค้าเสรี, นโยบายการแปรรูรัฐวิสาหกิจ, นโยบายประชานิยมต่างๆ เป็นต้น และที่สำคัญคุณสมคิดเองยังเป็นหนึ่งในต้นคิดในเรื่องระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทักษิโณมิกส์’ และนโยบายการตลาดของ ‘ทักษิโณมิกส์’ ที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ เสียด้วย!
ความพยายามออกมากลับลำเสนอความคิดว่าพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ในการผลักดัน ‘แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง’ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของคุณสมคิดอย่างกะทันหันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ณ วันนี้ ประชาชนจึงไม่อาจยอมรับได้ด้วยประการทั้งปวง
ไม่เพียงเท่านั้นการตรวจสอบการทุจริต-ประพฤติมิชอบของคุณสมคิดในกรณีต่างๆ ระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีโดย คตส. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมถึงกระบวนการในศาลสถิตยุติธรรมก็จะเข้มงวดและเป็นที่จับตาของประชาชน และสื่อมวลชนมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ณ วันนี้ คุณสมคิดคงได้แต่บ่นกับตัวเองในใจว่า “ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ... ตูอยู่เฉยๆ เสียก็ดี”
ไม่เพียงแค่คุณสมคิด ขุนคลัง-มือเศรษฐกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ณ วันนี้เชื้อโรค ‘ลิงแก้แห’ ยังแพร่กระจายไปมัดคอ มัดแขน มัดขา คนที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณอีกหลายคน โดยที่ผมเพิ่งไปพบเจอล่าสุดก็คือ ‘เนติบริกร’ ที่ชื่อ สุวรรณ วลัยเสถียร
ชื่อสุวรรณ วลัยเสถียร กลายเป็นที่รู้จักของสังคมไทยในวงกว้างในช่วงต้นปีมกราคม 2549 เมื่อเขาออกมาแจ้งตัวต่อสาธารณชนว่าเขาเป็น “โฆษกตระกูลชินวัตร” ในกรณีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปมูลค่า 73,300 ล้านบาทให้กับกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดยคนในตระกูลชินฯ ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว!
นักกฎหมายชั้นครูที่ชื่อ ‘สุวรรณ วลัยเสถียร’ สร้างความตื่นตะลึงให้กับสื่อมวลชนและสังคมไทยอีกครั้งระหว่างการแถลงข่าวเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับเงื่อนงำในการซื้อ-ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษี โดยครั้งหนึ่งคำพูดของนายสุวรรณถูกบันทึกไว้ในหน้าหนังสือพิมพ์ และในหน้าประวัติศาสตร์ว่า
“วันนี้ผมไม่ได้มาพูดในเรื่องจริยธรรมหรืออะไร ต้องขออภัยจริงๆ ผมก็มั่นใจมากนะ ที่ทำมาก็เรียกว่าตรงไปตรงมา ทุกอย่าง on the table หมดเลยนะครับ”
ผลกระทบจากความผิดพลาดในการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปที่ปรากฏในวันนี้ และบทบาทในการเป็นโฆษกหรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “เนติบริกรตระกูลชิน” ของคุณสุวรรณ ณ วันนั้นได้ทำลายชื่อเสียง ทำลายเครดิตของคุณสุวรรณในฐานะมือกฎหมาย มือภาษีชั้นนำของประเทศไปหมดไม่มีเหลือ
... แม้ว่าในเวลาต่อมา คุณสุวรรณจะพยายามเขียนหนังสือที่ชื่อ “จ่ายภาษีก็รวยได้ (Pay As You Earn)” ออกมาแก้ตัวหรือล้างบาปก็ตามที