xs
xsm
sm
md
lg

ข้า 2 เจ้า - บ่าว 2 นาย

เผยแพร่:   โดย: ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

นับเป็นความประหลาดใจอย่างที่สุด...

ประหลาดใจยิ่งกว่าวันที่คณะปฏิรูปการปกครองฯ (คปค.) เคลื่อนกำลังออกทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ

เมื่อรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ แต่งตั้งคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแม่ทัพทักษิโนมิกส์ของระบอบทักษิณ ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยให้มีหน้าที่หลักๆ ในการชี้แจงการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลไทย

ผมขอพูดตรงๆ ดังต่อไปนี้

1.ผมเห็นว่า คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถในเรื่องการตลาด แต่ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง

ถามตรงๆ เมื่อคิดถึงนายสมคิด แล้วท่านผู้อ่านนึกถึงอะไรมากกว่ากัน ระหว่าง “ทักษิโนมิกส์-ทักษิณ” กับ “เศรษฐกิจพอเพียง-พระเจ้าอยู่หัว”?

หากมองว่า ระบอบทักษิณประสบความสำเร็จในการยึดครองประเทศไทยตลอดสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องยอมรับว่า คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้รับ “ความชอบ” ไปเต็มๆ ในฐานะเป็นผู้วางพื้นฐานแนวคิดของ “ทักษิโนมิกส์” และยังเป็นกำลังสำคัญในการวางแผนขับเคลื่อน รับใช้ ดำเนินการ และปฏิบัติการตามแนวนโยบายดังกล่าว

แต่ถ้ามองว่า ระบอบทักษิณเป็นภัยร้ายแรงต่อการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และทักษิโนมิกส์ก็เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจแบบแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรม และเป็นการตัดตอนทำลายเศรษฐกิจพอเพียงในระดับรากฐาน เพราะทำให้ประชาชนมีหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ การพึ่งตนเองได้อยู่ในระดับต่ำ ในขณะความเสี่ยงทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ผ่านระบบพวกพ้องเครือญาติอุปถัมภ์ ประสิทธิภาพการแข่งขันถดถอย เกิดการทุจริตคอรัปชั่นขนานใหญ่ มีการแสวงหากำไรส่วนเกินทางเศรษฐกิจเป็นกิจวัตร

ถ้าเช่นนี้แล้ว คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ควรต้องรับ “ความผิด” ไปเต็มๆ เช่นกัน

2.คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถูก คตส. ชี้มูลความผิดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ในกรณีทุจริตกล้ายาง

โดยปกติแล้ว หากกรณีสอบสวนพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดร้ายแรง ก็จะต้องพักงาน พักราชการ หรือให้ออกจากตำแหน่งหน้าที่การงานไว้ก่อน จนกว่าจะสอบสวนแล้วเสร็จ หากพบว่าบริสุทธิ์จึงแต่งตั้งกลับเข้าทำงานต่อไป แต่กรณีคุณสมคิด รัฐบาลกลับแต่งตั้งให้เข้ามามีตำแหน่งสำคัญ เป็นถึงประธานคณะกรรมการฯ ทั้งๆ ที่ ถูกชี้มูลความผิดเบื้องต้นไปแล้ว

ยิ่งกว่านั้น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ยังต้องตอบคำถามสังคมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐอีกหลายกรณี อาทิเช่น กรณีเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ และกรณีนอมินีเทมาเสก ซึ่งสมคิด เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระรวงพาณิชย์ กรณีโครงการรับจำนำข้าวที่ทำให้เอกชนใกล้ชิดรัฐบาลได้ผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งสมคิดเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว กรณีโครงการธนาคารประชานิยม ซึ่งสมคิดเป็นต้นคิดให้โฆษณาโครงการแบบลวงหลอกประชาชนให้เข้าใจว่าดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 1 ต่อเดือน กรณีโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ ซึ่งสมคิดเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่กระทรวงการคลังไปค้ำประกันเงินกู้ 25,000 ล้าน และให้ภาครัฐรับภาระดอกเบี้ยแทนผู้รับเหมามูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท ฯลฯ

การเข้ามีตำแหน่งในสมัยรัฐบาลที่ได้ชื่อว่าเป็น “รัฐบาลคุณธรรม” เยี่ยงนี้ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้ลบล้างมลทินที่ตนเองได้เคยกระทำต่อแผ่นดินเอาไว้ หรือไม่?

3. ด้วยความเห็นใจในความเป็นคุณสมคิด แต่ผมเห็นว่า คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม

ที่ผ่านมา ระหว่างที่ประชาชนเรียกร้องให้ใครต่อใครเลิกรับใช้ระบอบทักษิณ เลิกรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่เคยปรากฏว่า คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะแสดงออกถึงการสนับสนุนประชาชนผู้ประท้วงขับไล่ทักษิณ หรือแม้แต่จะแสดงออกถึงท่าทีที่จะช่วยเหลือประเทศให้รอดพ้นจากระบอบทักษิณ

ในขณะที่ใครหลายคน แสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมในระดับต่ำสุด โดยการลาออกจากตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทักษิณ อาทิ นายวิษณุ เครืองาม นายบวรศักดิ์ อุวรรณโน ฯลฯ แต่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กลับยืนกอดอยู่กับระบอบทักษิณจนถึงนาทีสุดท้าย จนได้ชื่อว่าเป็นรองนายกฯ ผู้ถูกรัฐประหารไปพร้อมๆ กับระบอบทักษิณ

คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แม้จะเคยช่วยเหลือเกื้อกูลระบอบทักษิณมาก่อน แต่ก็ยังมีความกล้าหาญทางจริยธรรม แสดงออกอย่างน่านับถือ เมื่อตัดสินใจออกมาคัดค้านระบอบทักษิณ ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงอยู่ในอำนาจสูงสุด ผิดกันกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่พยายามออกมาแสดงตัวอย่างเหนียมๆ ในภายหลัง โดยรอจนเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ สิ้นอำนาจไปแล้ว

การพยายามอ้างว่า นายสมคิด ได้เคยปฏิบัติการในทางลับ เช่น นำข้อมูลไปบอกกล่าวแก่องคมนตรี หรือคัดค้านข้อเรียกร้องบางประการของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่บ้าง เป็นการอ้างถึงบุญคุณที่ไม่ได้มีอยู่จริง เพราะสิ่งที่สังคมเรียกร้องในระหว่างนั้น คือ การให้คนอย่างคุณสมคิดลาออกจากรัฐบาลทักษิณ หรือแสดงตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนว่าไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ เพื่อให้รัฐบาลหมดความชอบธรรมยิ่งขึ้น และอาจจะส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมลาออกแต่โดยดี ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ประเทศชาติก็ไม่ต้องมานับหนึ่งใหม่ด้วยการรัฐประหารอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้

ถามตรงๆ ว่า ถ้าไม่มีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือ ถ้ามี แต่ปรากฏว่า กองกำลังของฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับชัยชนะ คณะปฏิรูปฯ (คปค.) ตกอยู่ในฐานะกบฎของแผ่นดิน ต่อมจริยธรรมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะทำงานอย่างในวันนี้ไหม? และจะออกมาแสดงบทบาทสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง อย่างที่กำลังพยายามจะทำอยู่ในขณะนี้หรือไม่?

4. เกรงว่า นายสมคิดจะเป็น “จูบมรณะ”

การแต่งตั้งนายสมคิด ให้เข้ามีตำแหน่งเช่นนี้ ทำให้เกิดความสับสนในสังคมอย่างยิ่ง

แม้แต่ต่างประเทศเองก็สับสน เพราะขณะนี้ ประเทศไทยกำลังพยายามบอกแก่ชาวโลกว่า รัฐบาลทักษิณก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไร และรัฐบาลใหม่เปลี่ยนนโยบายมาเป็นอย่างไร แต่กลับใช้คนระดับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ มาชี้แจงว่า นโยบายของรัฐบาลชุดใหม่เป็นอย่างไร ซึ่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณจะไปชี้แจงให้ต่างชาติเข้าใจได้จริงๆ หรือว่าตนเองผู้ได้เคยก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไร

คมช. ก็จะสับสน จะเป็นการทำลายความชอบธรรมในข้ออ้างของการทำรัฐประหาร เพราะไปตั้งเอาคนที่เป็นหัวเรือใหญ่ของกระบวนการอันก่อให้เกิดระบอบทักษิณ และก่อให้เกิดข้ออ้างของการทำรัฐประหาร เข้ามาร่วมงานในรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร

รัฐมนตรี หรือทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลเอง ก็สับสน เสมือนถูกดิสเครดิต เพราะถูกมอบหมายให้ดำเนินนโยบายใหม่ แต่กลับไปแต่งตั้งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดที่แล้ว มาเป็นคนคอยอธิบาย

คตส. รู้สึกสับสน เพราะคนที่ตนกำลังสอบพบว่ามีมูลทุจริต กลับได้รับการยกย่องให้เข้ามาทำงานในรับบาลคุณธรรม

ข้าราชการ ที่เคยปล่อยเกียร์ว่าง กำลังจะเปลี่ยนมาเข้าเกียร์ห้า แต่ก็ต้องสับสน เพราะอดีตผู้บังคับบัญชาเดิมในระบอบทักษิณได้กลับมาเชิดหน้าชูตาอีกครั้ง เสมือนเป็นสัญญาณกลายๆ ว่า ขนาดคนระดับแกนของระบอบทักษิณยังกลับมาได้ดิบได้ดีขนาดนี้ คอยก่อน อย่ารีบทำอะไรไป

ทั้งหมด เป็นผลกระทบด้านลบ เสมือนเป็น “จูบมรณะ” จากการอ้าแขนรับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์เข้ามาร่วมงาน

5. พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ น่าจะได้รู้ว่า คนที่นำเอานายกนก อภิรดี และนายโชติศักดิ์ อาสภวิริยะ เข้ามาดำรงตำแหน่งบริหารสูงสุดของการบินไทย และการท่าอากาศยาน (ทอท.) ก็คือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่เอานักการตลาด หย่อนความรู้ความสามารถ ไม่สอดคล้องกับงานมาบริหารองค์กรขนาดใหญ่ที่เป็นผลประโยชน์ของแผ่นดิน จนเกิดปัญหา ทั้งการบินไทยและสนามบินสุวรรณภูมิ โด่งดังไปทั่วทั้งประเทศและทั่วโลก

หรือคราวนี้ เราจะต้องยกย่องเชิดชูบุคคลทั้ง 2 ผู้ใกล้ชิดนายสมคิด ว่าเป็นคนดี มีฝีมือ ขุนพลแห่งเศรษฐกิจพอเพียง ไปด้วยอีก 2 คน

6. เกรงว่า จะมี “วีรุบุรุษสีดำ”

ไม่แปลกใจ... ฝ่ายการเมืองจำพวก อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่แสดงออกว่าจะสนับสนุนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้เป็นผู้นำต่อไป พยายามออกมาสนับสนุนนายสมคิดในบทบาทใหม่ ก็เพราะว่าการเข้าไปมีตำแหน่งครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาส เปิดเวที ให้นายสมคิดลบล้างมลทินเดิม ได้ร่วมอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูประเทศชาติจากภาวะวิกฤติของระบอบทักษิณ เสมือนหนึ่งวีรบุรุษ อันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวนายสมคิดเองโดยตรงในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ยิ่งกว่านั้น การแต่งตั้งนายสมคิดในครั้งนี้ ยังเข้าทางการเมืองของบรรดาอดีต ส.ส. พรรคไทยรักไทย กลุ่มที่สนับสนุนนายสมคิด และกำลังพยายามสร้างกระแสดึงดูดอดีต ส.ส.กลุ่มอื่นๆ ให้เข้ามาร่วมในกลุ่มของตน

ขณะนี้ เกิดปรากฏการณ์ในพื้นที่ภาคอีสาน มีอดีต ส.ส.บางกลุ่ม พยายามแสดงตัวว่า มีเส้นสาย ความสัมพันธ์กับฝ่ายทหาร เพื่อสร้างราคาให้กับกลุ่มตนเอง และเมื่อนายสมคิดได้รับแต่งตั้งโดยรัฐบาล ก็ยิ่งเพิ่มค่า เพิ่มราคาให้อีก เสมือนหนึ่งการรับรองว่า มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นจริงๆ

ประเด็นนี้ จะเพิ่มความมัวหมอง และความคลางแคลงสงสัยในประเด็นเรื่องการพยายามจะต่อท่อ สืบทอดอำนาจ ซึ่งจะส่งผลต่อความขัดแย้งอย่างรุนแรงในบ้านเมืองในอนาคตอันใกล้

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เปรียบเสมือนทหารเอกของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ต่างอะไรกับพระยาพิชัยดาบหัก ที่เป้นทหารเอกของพระเจ้าตากสิน ครั้งเมื่อพระเจ้าตากสินถูกสำเร็จโทษจากเจ้าพระยาจักรี พระยาพิชัยดาบหักก็ไม่ยินยอมจะกลายเป็น “ข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นาย” ยอมถูกสำเร็จโทษตามพระเจ้าตากสิน นับว่ามีความเด็ดเดี่ยว แตกต่างจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อย่างสิ้นเชิง

โบราณว่า คนที่เป็น “ข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นาย” สุดท้ายแล้ว ถ้าไม่ถูกประหาร ก็คงต้องฆ่าตัวตายทางการเมือง อย่างแน่นอน

กำลังโหลดความคิดเห็น